“ผู้อาวุโสเย่! ผู้พิทักษ์หลิน!”
“ทำความเคารพผู้อาวุโสเย่! ทำความเคารพผู้พิทักษ์หลิน!”
เมื่อเข้าสู่ตัวเมืองชั้นใน ก็เริ่มมีผู้คนจำนวนไม่น้อยลุกขึ้นทำความเคารพเย่หยวนทันที
แต่เย่หยวนมองผ่านอ่านแววตาของพวกเขาออกได้ชัดแจ้ง ช่างเป็นสายตาที่เปี่ยมล้นไปด้วยคำดูถูกและไม่พอใจอย่างยิ่ง
ในขณะที่เวลาที่พวกเขาเอ่ยทักทายผู้พิทักษ์หลินสีหน้ากลับเต็มไปด้วยความเลื่อมใส
เห็นได้ชัดว่าในสายตาของพวกเขา หลินตงเป็นบุคคลที่เคารพรักของพวกเขา ในขณะที่เย่หยวนเป็นเพียงเด็กคนหนึ่งที่จำใจต้องทำความเคารพให้
จอมเทพโอสถสามดาวในเมืองชั้นในแห่งนี้ไม่นับว่าเป็นอันใด มีผู้คนจำนวนเล็กน้อยที่อยู่ในระดับชั้นนี้
และโดยส่วนใหญ่จะเป็นเซียนอาณาจักรบรรพชนพระเจ้าชั้นปลายหรือขั้นสุดแทบทั้งหมด
ดังนั้นแล้ว เรื่องราวเช่นนี้อย่างการที่เย่หยวนขึ้นกลายเป็นผู้อาวุโสได้ หลายต่อหลายคนจึงไม่สามารถยอมรับได้เลย
ในขณะที่เย่หยวนเข้ารับตำแหน่ง เขาก็เรียกใช้หลินตงให้ไปแก้แค้นแทนตนในเรื่องส่วนตัวทันที โดยส่วนมากไม่มีผู้อาวุโสของหอโอสถคนใดทำเช่นนี้
พวกเขาไม่รู้จักเย่หยวนก็จริง แต่พอเห็นว่าข้างกายเด็กหนุ่มคนนี้คือหลินตง ทั้งหมดก็พอที่จะคาดเดาได้ทันทีว่า ไอ้เด็กเหลือขอนี่แหละคือเย่หยวนแน่นอน
“ผู้อาวุโสเย่ นี่…”
แต่หลินตงที่อยู่ข้างกายกลับรู้สึกไม่ค่อยสบายใจนัก เขาเอ่ยถามขึ้นทันที
เย่หยวนโบกมือปัดกล่าวขัดด้วยรอยยิ้มบางขึ้นว่า
“ผู้พิทักษ์หลินอย่าได้กังวลใจไป สถานการณ์เช่นนี้ ข้าคาดการณ์ไว้นานแล้ว ข้าจะโกรธเคืองได้อย่างไร? วิธีที่ดีที่สุดในการลบข้อกังขาของพวกเขาคือ ใช้ฝีมือเข้าพิชิต หวังใช้แต่อารมณ์เข้าแก้ไข มีแต่จะทำให้คนอื่นดูถูกเพิ่มมากขึ้น”
หลินตงอ้าปากค้าง เขาไม่คิดเลยว่าเย่หยวนจะกล่าวออกมาเช่นนี้
ผู้อาวุโสเย่อายุเพียงร้อยกว่าปีเองมิใช่รึ?
ไฉนวาจาความใจเข็นของเขาไม่เหมือนเด็กหนุ่มเลือดร้อนเลยสักนิด? ราวกับชายชราผู้ผ่านประสบการณ์มาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน?
กล่าวตามหลักเหตุและผล การที่เย่หยวนมีสถานะสูงส่งเช่นนี้ตั้งแต่ยังเด็ก เขาควรหัวสูงและหยิ่งผยองมิใช่รึ?
แต่เหตุใดเขาถึงไม่เห็นอารมณ์เหล่านี้จากตัวเย่หยวนเลย?
สิ่งที่เขามีคือความสุขุมราวกับผู้ใหญ่ และความรอบคอบประดุจถือครองไม้เท้าแห่งปัญญาภายในมือ
พวกเขาเดินสำรวจอย่างไม่เร่งไม่ร้อนและตรงมาถึงจวนของเย่หยวนในตัวเมืองชั้นในท้ายที่สุด
ทันทีทันใด ปรากฏกลุ่มคนจำนวนมากมายหลั่งไหลออกมาจากสองฝั่งถนน เข้าปิดกั้นประตูหน้าจวนของเย่หยวนอย่างแน่นหนา
แต่ในบรรดาผู้คนเหล่านี้ไม่มีแม้แต่ยอดเซียนอาณาจักรราชันพระเจ้าสักคน แท้ที่จริงแล้ว พวกเขาเป็นเพียงเยาวชนหนุ่มสาวอาณาจักรบรรพชนพระเจ้า
อายุโดยเฉลี่ยของพวกเขาน่าจะเทียบเท่าได้กับหนิงซื่ออวี๋
หลินตงขมวดคิ้วเข้ม เอ่ยกล่าวเสียงเย้ยยันว่า
“ซ่งฉีหยาง พวกเจ้าคิดกบฏกระมัง?”
ผู้นำกลุ่อายุยังค่อนข้างน้อยทว่าใบหน้าช่างหล่อเหลา และระดับพลังก็สูงถึงอาณาจักรราชันพระเจ้าครึ่งขั้นแล้ว
แต่ซ่งฉีหยางกลับไม่แยแสสนใจ พร้อมกล่าวตอบไปว่า
“ผู้พิทักษ์หลิน พวกเราทราบดีว่านี่เป็นหน้าที่ของท่าน แต่ไหนเลยเด็กน้อยเช่นนี้จะเป็นผู้อาวุโสแห่งหอโอสถได้? ข้า ซ่งฉีหยางขอคัดค้าน! พวกเราทุกคน! พวกเจ้ายอมรับได้หรือไม่?!”
“พวกเราขอคัดค้าน!”
“พวกเราขอคัดค้าน!”
“หากจอมเทพโอสถสามดาวสามารถขึ้นกลายเป็นผู้อาวุโสแห่งหอโอสถได้ พวกเราคงกลายมาเป็นผู้ดูแลระดับสูงแล้วกระมัง?”
“ถูกต้อง! ข้าเองก็เป็นจอมเทพโอสถสามดาว เช่นนั้นข้าเองก็ควรได้รับตำแหน่งผู้อาวุโสด้วยใช่หรือไม่?”
…
คนกลุ่มนี้ส่งเสียงโหร้องหลากอารมณ์พุ่งพล่าน มีบางคนในหมู่พวกเขารู้สึกโกรธเกรี้ยวอย่างยิ่งจนใบหน้าแดงก่ำ เห็นได้ชัดว่า พวกเขาไม่พอใจเย่หยวนยิ่งกว่าอะไร
ข่าวลือก็ยังคงเป็นข่าวลือวันยังค่ำ ภายในเขตเมืองชั้นใน นอกจากซวนอี้และเหล่าศิษย์แล้ว ก็ไม่มีใครเคยเห็นเย่หยวนหลอมกลั่นโอสถกับตามาก่อน
ดังนั้นแล้ว การที่ให้จอมเทพโอสถสามดาวมาเป็นผู้อาวุโสของพวกเขาเช่นนี้ มีหรือที่พวกเขาจะยอมรับได้
ตำแหน่งผู้อาวุโสแห่งหอโอสถมีเพียงยอดเซียนอาณาจักรราชันพระเจ้าชั้นปลายเท่านั้น ที่มีคุณสมบัติเข้ารับตำแหน่ง
หลินตงโกรธจัดจนกัดฟันกรอด กลุ่มคนพวกนี้เคลื่อนไหวโจ่งแจ้งและหน้าด้านเกินไป! ถึงกล้าออกมาตั้งคำถามกับผู้อาวุโสเย่!
เรื่องแบบนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเลยในหน้าประวัติศาสตร์ของหอโอสถ
กลุ่มคนที่ออกมาประท้วงไม่น้อยกว่าร้อยคน พวกเขาล้วนแต่เป็นเหล่าอัจฉริยะรุ่นเยาว์แห่งหอโอสถ
มีจำนวนไม่น้อยที่เป็นศิษย์เอกของเหล่าผู้อาวุโสแห่งหอโอสถอีกด้วย
ซ่งฉีหยางผู้รนี้เป็นศิษย์ของผู้อาวุโสใหญ่ เขายังเป็นอัจฉริยะรุ่นเยาว์อันดับหนึ่งแห่งหอโอสถอีกด้วย
ความแข็งแกร่งของเขากล่าวได้ว่า แทบจะโค้นล้มเหล่าเยาวชนทุกคนในหอโอสถได้
โอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับสาม ไม่มีใครกล้าหลอมกลั่น เว้นแต่เขาที่หลอมกลั่นได้จนประสบความสำเร็จ
แม้แต่ผู้อาวุโสใหญ่เองยังเอ่ยปากชื่นชมอยู่บ่อยครั้ง ว่า ตอนที่เขายังเด็ก ฝีมือของตนกลับเทียบซ่งฉีหยางไม่ติด!
สำหรับศิษย์คนนี้ ผู้อาวุโสใหญ่ค่อนข้างพึงพอใจอย่างยิ่ง
ดังนั้นแล้ว คนธรรมดาที่ขึ้นกลายเป็นผู้อาวุโสเทียบชั้นกับอาจารย์เขาได้ ซ่งฉีหยางจะยอมรับได้อย่างไร?
ตอนที่เขาได้ยินว่า จอมเทพโอสถสามดาวขึ้นกลายเป็นผู้อาวุโสแห่งหอโอสถ เขาขำแทบตายคิดว่าฟังเรื่องตลก ก่อนจะพบว่ามันเป็นความจริง แน่นอนว่าเขายอมรับไม่ได้แม้สักนิดจนระดมเหล่าเยาวชนออกมาประท้วงเช่นนี้
แน่นอนว่าซ่งฉีหยางเองก็มิใช่คนโง่เช่นกัน เขาทราบดีว่าการทำร้ายผู้อาวุโสนับเป็นความผิดร้ายแรง
หากถึงขั้นตายขึ้นมาอาจรับโทษหนักเกินแบกรับ เขาจึงไม่ใจร้อนเข้าโจมตีในทันที
เช่นนั้นจึงปลุกระดมเหล่าจอมเทพโอสถสามดาวให้ออกมาประท้วงปิดกั้นประตูหน้าจวนเย่หยวนเช่นนี้
ตามที่กล่าวไปในเมื่อมิอาจใช้กำลังก็จำต้องใช้คลื่นมวลชน ซึ่งภูมิหลังของเหล่าศิษย์พวกนี้เองก็ค่อนข้างแข็งแกร่งไม่น้อย
สันนิษฐานได้ว่า เย่หยวนไม่กล้าทำอะไรพวกเขาแน่นอน
“เจ้าประท้วงเสร็จรึยัง?”
เย่หยวนกล่าวเสียงเย็นเอ่ยขึ้น
ซ่งฉีหยางหัวเราะคำโตกล่าวว่า
“ผู้อาวุโสเย่ หากท่านต้องการจะดำรงตำแหน่งผู้อาวุโสต่อไป ท่านจำต้องมีความสามารถด้วย! วันนี้ข้า ซ่งฉีหยางขอเป็นตัวแทนของเหล่าศิษย์ทั้งหมดเพื่อประลองกับท่าน! ท่านกล้ารับคำท้าหรือไม่?”
ซ่งฉีหยางผู้นี้กล้าหาญไม่เกรงกลัวผู้ใด และไม่มีใครที่เขาต้องกลัว
ในขณะที่คำกล่าวเหล่านี้เอ่ยดังขึ้น กระทั่งดวงตาคู่นั้นของหลินตงยังฉายแววสนใจ
กล่าวตามตรง การที่เย่หยวนได้รับตำแหน่งสูงส่งเช่นนี้ตั้งแต่ยังเด็ก หลินตงก็อยากรู้ว่าแท้จริงแล้ว เย่หยวนทรงพลังเพียงใด
ในขณะเดียวกัน ซ่งฉีหยางนับเป็นมาตรฐานของเหล่าอัจฉริยะจอมเทพโอสถสามดาวแห่งหอโอสถอย่างไม่ต้องสงสัย
การให้เขาเข้าท้าทายเย่หยวนนับเป็นวิธีที่ดีที่สุดแล้ว
ด้วยเหตุนี้หลินตงจึงตระหนักได้ทันทีว่า เรื่องในวันนี้คงไม่จบลงง่ายๆแน่นอน
ในฐานะผู้อาวุโสของเย่หยวน เขาต้องเอาชนะซ่งฉีหยางให้ได้เพื่อลบข้อกังขา
หากเย่หยวนแพ้เขาจักสูญเสียทุกอย่าง และอาจกระทบไปถึงผู้อาวุโสรองด้วยเช่นกัน
เรื่องนี้ต้องมีคนชักใยอยู่เบื้องหลังแน่นอน!
ยามนี้หลินตงอดเหลียวมองเย่หยวนมิได้ เขาต้องการดูว่าอีกฝ่ายจะตัดสินใจอย่างไร
แต่ใครจะรู้ว่า ในเวลานี้เย่หยวนกลับไม่สนใจแยแสมันเลย และเอ่ยตอบเสียงเย็นกลับไปว่า
“ผู้พิทักษ์หลิน โยนพวกมันทั้งหมดออกไป เกะกะลูกตาข้า”
ทันทีที่คำกล่าวเหล่านี้เอ่ยดังออกไป สีหน้าการแสดงออกของเหล่าเยาวชนพวกนั้นก็แปรเปลี่ยนในทันใด
ซ่งฉีหยางที่ได้ยินแบบนั้นยิ่งเย้ยหยันหนักข้อเข้าไปใหญ่
“ปรากฏว่าผู้อาวุโสเย่ที่เพิ่งได้รับแต่งตั้งขึ้นมา จะมีดีแต่ปากและไม่กล้าแม้แต่รับคำท้าของผู้เยาว์! เรื่องนี้ข้าจะส่งรายงานไปยังหอโอสถโดยตรงและบอกว่าผู้อาวุโสเย่ไม่คู่ควรแก่ตำแหน่งนี้! พวกเจ้าทุกคนคิดเห็นอย่างไร?”
เหล่าเยาวชนคนอื่นๆต่างพยักหน้าทันที และคิดกันไปว่าเย่หยวนเพียงเลี่ยงวลีมิอาจให้ทุกคนค้นพบความอ่อนแอที่หลบซ่อนอยู่
“ใช่แล้ว! จอมเทพโอสถสามดาวอย่างมันจะเป็นผู้อาวุโสได้อย่างไร!”
“ไม่แม้แต่กล้ารับคำท้า พวกเรายอมไม่ได้!”
“ชายคนนี้เป็นแค่พวกขี้โกหกเท่านั้นจรืงๆ! แสร้งทำตัวเป็นใหญ่ เช่นนั้น หอโอสถควรลงโทษะเขาสถานะหนัก!”
…
ซ่งฉีหยางรู้สึกยินดีปรีใจกับตัวเองยิ่ง เขาได้ข้อสรุปแล้วว่า สุดท้ายนี้เย่หยวนก็เป็นแค่พวกสวะไร้ความสามารถ!
ชายคนนี้กลัวว่าความจริงจะถูกค้นพบ!
ดูเหมือนว่าคำวิเคราะห์ของหลู่เมิงจะสมเหตุสมผลนัก ปรากฏว่าเย่หยวนเป็นเพียงหุ่นเชิดของผู้อาวุโสรองเท่านั้น
“ผู้พิทักษ์หลินยังมัวยืนเก้ออันใด? หรือเป็นไปได้ไหมว่า…ต้องให้ข้าจัดการเอง?”
เย่หยวนกล่าวเสียงเย็น
สีหน้าการแสดงออกของหลินตงยามนี้ค่อนข้างขัดแย้งหนัก คนที่เขาต้องจัดการเบื้องหน้าเป็นถึงศิษย์ของผู้อาวุโสใหญ่!
เมื่อเห็นว่าหลินตงไม่กล้าเคลื่อนไหว ซ่งฉีหยางยิ่งรู้สึกได้ใจมากขึ้นพร้อมกล่าวว่า
“ฮ่าๆ ผู้อาวุโสของข้า ไม่กล้าเผชิญหน้ากับข้าตรงๆรึไง? หรือมีดีแต่สั่งคนอื่น? คนอย่างท่านไม่เหมาะสมกับตำแหน่งผู้อาวุโสเลยแม้แต่น้อย!”
วูบบบ!
ซ่งฉีหยางระเบิดหัวเราะอย่างพึงพอใจ แต่ทันใดนั้นวิสัยทัศน์เบื้องหน้าพลันพล่ามัวหนัก กว่าจะรู้สึกตัวอีกทีร่างของตัวเองก็ถูกโยนทิ้งออกไปไกลแล้ว
…………………………………