งานประลองหอโอสถเป็นงานแข่งขันที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของหอโอสถ
ตั้งแต่เหล่าศิษย์สาวกจวบจนเหล่าผู้อาวุโส พวกเขาทั้งหมดต่างต้องมีส่วนร่วมในงานแข่งขันของหอโอสถทั้งสิ้น
ทั้งหมดนี้ก็เพื่อสิทธิ์ในการเข้าสู่หอโอสถ
หอโอสถเป็นหนึ่งในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์ ทั้งนี้ยังมีหอยุทธ์ที่เหล่านักสู้ทั้งหลายต่อโหยหาเช่นกัน
หอโอสถและหอยุทธ์นับเป็นหอคอยศักดิ์สิทธิ์และยังเป็นกลุ่มอำนาจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์ ไม่ว่าจะมองจากมุมไหนของเมืองก็สามารถมองเห็นหอคอยที่ตั้งสูงตระหง่านทั้งสองที่อยู่เคียงข้างกัน
ในเวลานี้เองบริเวณด้านล่างของหอโอสถต่างมีผู้คนเข้ามาร่วมตัวกันกลางจัตุรัสจำนวนมหาศาล
การประลองหอโอสถและหอยุทธ์ ต่างเป็นงานสำคัญยิ่งสำหรับเหล่าฝูงชนในเขตเมืองชั้นใน พวกเขาย่อมให้ความสนใจเป็นพิเศษ
ทันทีทันใดในบรรดาฝูงชนก็มีคนตะโกนขึ้นดังลั่น
“พวกเจ้าดูนั้นเร็ว เหล่าผู้อาวุโสออกมากันแล้ว!”
ณ มุมหนึ่งของจัตุรัสติดกับหอโอสถ มีอัฒจันทร์แท่นที่นั่งอันทรงเกียรติจัดวางไว้อยู่ นี่แห่งนี้ถูกจัดขึ้นเฉพาะเหล่าผู้อาวุโสเท่านั้น
แม้แต่ผู้ดูแลชั้นสูงยังไม่มีคุณสมบัติขึ้นไปนั่งเช่นกัน
ในเวลานี้เองเหล่าผู้อาวุโสต่างเดินกันออกมาและเข้าไปนั่งประจำตำแหน่ง
หลู่เมิงโกรธเกรี้ยวอย่างยิ่งภายในใจ
ทุกคนที่นั่งอยู่บนนั้นล้วนแต่เป็นบุคคลที่มีความสามารถเหนือชั้นกว่าเขาทั้งสิ้น
แต่ไฉนต้องมีเย่หยวนนั่งอยู่เหนือหัวตนด้วย!
“ทุกคนดูนั้นสิ! เขาคือผู้อาวุโสเย่ที่เพิ่งได้รับแต่งตั้งขึ้นมา เขายังดูเด็กมากจริงๆ!”
“เด็กเกินไป! เขาก็แค่เด็กตัวน้อยคนหนึ่งใช่หรือไม่? เหล่าศิษย์สาวกของหอโอสถบางคนยังมีอายุมากกว่าเขาเสียอีก!”
“เหอะ เหอะ มิอาจคาดพินิจได้แค่รูปลักษณ์ภายนอกเท่านั้น แต่อย่างไรก็ตาม ข้าได้ยินมาว่า ก่อนหน้านี้เขาปฏิเสธคำท้าทานของซ่งฉีหยางมาด้วย ดูท่าจะกลัวความจริงถูกเปิดเผย!”
“เหอะ กลัวความอ่อนแอของตนจะถูกเปิดเผยเสียมากกว่า? ในตอนนี้ทั่วทั้งมุมเมืองต่างลือกันว่า ผู้อาวุโสเย่แท้จริงแล้วเป็นตัวหมากของผู้อาวุโสรอง ข้าว่าข่าวนี้น่าจะเป็นเรื่องจริง”
“ถูกต้องแล้ว เด็กตัวน้อยแค่นั้นหรือจะมีคุณสมบัติเป็นผู้อาวุโสได้? ช่างน่าขัน!”
…
เย่หยวนเองก็นั่งอยู่รวมกับเหล่าบรรดาอาวุโสเช่นกัน ซึ่งเป็นจุดเด่นของทุกคนยิ่งในยามนี้
เมื่อเทียบกับผู้อาวุโสคนอื่นๆ เย่หยวนอ่อนเยาว์กว่ามากนัก
แม้แต่เหล่าศิษย์สาวกบางคนยังมีอายุมากกว่าเขาด้วยซ้ำ
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ย่อมมิอาจเลี่ยงคำนินทาของเหล่าฝูงชนไปได้เลย
แน่นอนว่าคนที่รู้สึกไม่พอใจที่สุดคงหนีไม้พ้น ซ่งฉีหยาง
เขาเหลือบมองเย่หยวนอยู่เบื้องล่างพรางก่นเสียงเย้ยหยันไม่หยุดหย่อน
วันนี้ถึงวันเปิดเผยความจริงของเจ้าแล้ว! วันนี้ข้าจะท้าประลองกับเจ้าต่อหน้าทุกคน! ไม่เชื่อว่าวันนี้เจ้าจะเลี่ยงหลบหนีหายได้อีกต่อไป!
ซ่งฉีหยางระเบิดหัวเราะแสนขบขันภายในใจ
เมื่อเสร็จสิ้นพิธีเปิดทั้งหมดเรียบร้อย ซ่งฉีหยางก็ก้าวออกมาทันทีจากแถว และประสานมือกล่าวว่า
“ท่านผู้อาวุโสใหญ่ ข้าได้ยินมาว่า ความแกร่งกล้าของผู้อาวุโสเย่ที่เพิ่งได้รับแต่งตั้งมาเหนือชั้นยิ่ง ศิษย์คนนี้ไร้ซึ่งความสามารถ จึงต้องการคำชี้แนะจากเขาสักครา มีเหล่าศิษย์จำนวนมากมายเป็นสักขีพยาน เอาเป็นว่า ขอให้การแข่งของศิษย์คนนี้…เป็นนัดอุ่นเครื่อง!”
ทุกคนต่างไม่คิดไม่ฝันว่า เจตนาของซ่งฉีหยานจะชัดเจนเพียงรนี้ ถึงขั้นเอ่ยปากท้าทายเย่หยวนต่อหน้าสาธารณชน หากเย่หยวนยังไม่กล้ายอมรับคำท้า นี่คงกลายเป็นเรื่องตลกไปอีกนาน?
อย่างไรก็ตาม มีผู้คนไม่น้อยที่ตั้งหน้าตั้งตาคอยดูการแข่งอยู่เช่นกัน พวกเขาอยากรู้เสียว่า เย่หยวนคนนี้แท้จริงแล้วจะมีฝีมือปานใด?
ครู่หนึ่ง สายตาทั้งหมดต่างเหลียวจับจ้องมาที่เย่หยวนเป็นตาเดียว เพื่อต้องการดูว่าเย่หยวนจะรับมือตัดสินใจอย่างไร?
หรงซูเหลือบมองเย่หยวนเล็กน้อยและกล่าวว่า
“ผู้อาวุโสเย่ ยามนี้ผู้คนในเขตเมืองชั้นในต่างกังขาในตัวท่านและนำท่านไปวิจารณ์เสียๆหายๆ ทั้งบอกว่าท่านยังเด็กเกินรับตำแหน่งบ้าง ถูกชักใยโดยคนอื่นบ้าง ไฉนท่านถึงไม่ใช้โอกาสนี้แสดงความสามารถให้ทุกคนเป็นประจักษ์เสีย?”
ทั้งสองต่างกล่าวเสริมซึ่งกันและกัน หวังบีบคั้นให้เย่หยวนจนมุม
ในท้ายที่สุดแล้ว เหล่าผู้อาวุโสและเหล่าผู้ดูแลชั้นสูงทั้งหลายต่างมองเรื่องนี้เป็นเรื่องตลกอย่างหนึ่ง สุดท้ายนี้ไม่ว่าอย่างไร เย่หยวนก็เป็นเพียงหุ่นเชิดของผู้อาวุโสรอง
“ถูกต้องแล้ว ผู้อาวุโสเย่ ท่านควรใช้โอกาสนี้ลบข้อกังขาของทุกคนทิ้งไป!”
“ผู้อาวุโสเย่ประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุยังน้อย ท่านมีพื้นฐานที่สูงกว่ารุ่นเยาว์คนอื่นๆ ควรใช้โอกาสนี้แนะเหล่าผู้คน”
เหล่าผู้อาวุโสทั้งหลายต่างเห็นดีเห็นงามกับผู้อาวุโสใหญ่ หวังกดดันให้เย่หยวนเผยสีหน้าที่แท้จริงออกมา
เหล่าผู้อาวุโสและผู้ดูแลโดยส่วนใหญ่ล้วนแต่เป็นคนของผู้อาวุโสใหญ่หมด
สุดท้ายนี้ ผู้อาวุโสรองเป็นพวกไม่ค่อยจะสู้คน ดังนั้นจึงถูกผู้อาวุโสใหญ่กดขี่มาโดยตลอด
เย่หยวนครุ่นนึกภายในใจ ก่อนจะเอ่ยถามกลับไปแทนว่า
“ผู้อาวุโสใหญ่ ซ่งฉีหยางคนนี้เป็นศิษย์ของท่านใช่หรือไม่?”
หรงซูพยักหน้ากล่าวตอบว่า
“ถูกต้องแล้วผู้อาวุโสเย่”
เมื่อได้ยินแบบนั้นเย่หยวนกรนเสียงเย็นกล่าวตอบอย่างไม่พอใจไปว่า
“ผู้อาวุโสใหญ่ ศิษย์คนนี้ของท่านเพิกเฉยต่อกฎเกณฑ์และหยิ่งผยองเกินไป! ไม่กี่วันนี้ท่านเองก็คงได้ยินข่าวคราวมาบ้างแล้วกระมัง? เขาเป็นแค่จอมเทพโอสถสามดาว แต่กล้าดีอย่างไรมาท้าทายเราผู้อาวุโส? วันนี้มีเหล่าผู้ชนมากมาย ศิษย์ของท่านกลับได้ใจใหญ่ หรือนี่ต้องการบีบให้ข้าสละตำแหน่งกัน? หากผู้อาวุโสใหญ่กับผู้อาวุโสอื่นมีเจตนาคิดเช่นนี้กลับข้าจริงๆ ในสายตาของทุกคน หอโอสถคงเป็นแค่ละครฉากใหญ่ฉากหนึ่งที่พวกท่านบงการอยู่เท่านั้น? เช่นนี้หอโอสถยังเหลือบารมีอันใดในอนาคต?”
ซ่งฉีหยางที่ได้ยินแบบนั้นถึงกับสำลักจนใบหน้าแดงก่ำ
แค่จอมเทพโอสถสามดาว มิใช่ว่าเย่หยวนเองก็เป็นจอมเทพโอสถสามดาวเหมือนกันหรอกรึ?!
นอกเหนือจากนี้ซ่งฉีหยางยังมีระดับชั้นเหนือกว่าเย่หยวนถึงสองขั้น แต่อีกฝ่ายกลับหน้าด้านกล่าวออกมาเช่นนี้จริงๆ?!
แต่ซ่งฉีหยางกลับโต้เถียงอะไรมิได้เลย
สถานะศักดิ์ระหว่างเขากับเย่หยวนแตกต่างกันเกินไป!
ทันใดนั้นเอง เย่หยวนที่โยนเรื่องลำบากใจสวนกลับมาเฉียบพลัน ก็ทำเอาหรงซูประหลาดใจมิใช่น้อย
เดิมเขาไม่คิดว่าเด็กหนุ่มนามเย่หยวคนนี้จะเล่ห์เหลี่ยมจัดถึงขั้นลอบกัดผู้คนได้แสบปานนี้
แม้ว่าคำกล่าวของเขาจะฟังดูเหมือนว่าตนกำลังปฏิเสธคำท้า แต่ไม่ว่าอย่างไร หรงซูก็มิอาจสรรหาวาจามาหักล้างได้เลย
หากวัดกันที่พลังฝีมือ ซ่งฉีหยางสามารถท้าทายเย่หยวนได้จริง
แต่อย่างไรก็ตาม หากเทียบสถานะกัน ซ่งฉีหยางไม่ได้เสี้ยวแม้แต่ปลายเล็บของเย่หยวน!
การกล่าวท้าทายผู้อาวุโสเช่นนี้ไม่ต่างอะไรกับการลบหลู่เลยจริงๆ
ทว่าอย่างไร การที่เย่หยวนพยายามปฏิเสธขนาดนี้ก็ยิ่งทำให้ผู้อาวุโสใหญ่มั่นใจว่า เย่หยวนแสร้งทำเป็นลึกลับจริงๆ!
ปฏิกิริยาของหรงซูต้านรับเตรียมตอบโต้เร็วมากเช่นกัน พร้อมส่งสัญญาณให้หลู่เมิงลงมือทันที
หลู่เมิงลอบพยักหน้าเข้าใจโดยไว และลุกขึ้นกล่าวว่า
“เย่หยวน! สงสัยยิ่งว่าเราชายชราผู้นี้มีคุณสมบัติท้าทายเจ้าหรือไม่?!”
“ไร้มารยาทสิ้นดี!”
ในขณะที่หลู่เมิงเอ่ยปากท้าทาย เย่หยวนลุกขึ้นพรวดพร้อมตบโต๊ะเสียงดังปัง
“เจ้าคิดว่าตนเองเป็นใครกัน ถึงกล้าพูดจาไม่มีหางเสียง ซ้ำร้ายยังเรียกชื่อผู้อาวุโสคนนี้ห้วนๆ!?”
สีหน้าการแสดงออกของหลู่เมิงมืดทมิฬลงในทันใด การที่เด็กน้อยคนหนึ่งที่รุ่นราวคราวเดียวกับหลานชายของตน กล้าเอ่ยปากตวาดเสียงดังใส่ตนเช่นนี้ นับว่าเป็นความอัปยศครั้งใหญ่หลวง!
อาศัยที่หลู่เมิงเป็นคนสนิทของผู้อาวุโสใหญ่ ดังนั้นแล้วโดยปกติทั่วไปเขามักจะเรียกชื่อผู้อาวุโสคนอื่นๆห้วนๆแบบนี้ทั้งนั้น
เพราะผู้อาวุโสบางคนยังเด็กกว่าเขาด้วยซ้ำ ทว่ากลับไม่มีใครใช้ประโยชน์จากสถานะศักดิ์ที่สูงกว่า เพื่อกดศีรษะของเขาลงเลยสักคน
แต่ใครจะไปรู้ว่า เย่หยวนกลับกระแทกเขาจมดินในชั่วอึดใจ!
เย่หยวนเผยสีหน้าไม่พอใจอย่างยิ่งออกมา และหันไปกล่าวกับหรงซูว่า
“ท่านผู้อาวุโสใหญ่ ข้าคิดว่า ทางหอโอสถจำต้องจัดระเบียบครั้งใหญ่ให้เหมาะสม พวกระดับชั้นต่ำกว่ากล้าปีนเกลียวเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใด? ไฉน…หลังจากงานประลองนี้จบลง เราไม่ปรึกษาหาหรือเรื่องนี้กันเสียหน่อย?”
หรงซูยังไม่ทันเปิดปากเอ่ยตอบ ในเวลานั้นซวนอี้ก็คลี่ยิ้มเอ่ยตอบแทนไปว่า
“ผู้อาวุโสเย่กล่าวมีเหตุผล เรื่องเช่นนี้ไม่ควรปล่อยผ่าน หลังจากนี้ควรหารือร่วมกันหาทางแก้ไขอย่างเหมาะสม”
หลังจากกล่าวจบเขาก็ปิดปากหลับตาราวกับไม่เคยกล่าวอันใด
วาจาที่ออกมาจากปากผู้อาวุโสรอง ค่อนข้างมีน้ำหนักกว่าเย่หยวนมากนักต่อฝูงชน
เนื่องจากวันนี้เป็นวันประลอง เช่นนั้นการจะจัดการทันทีในวันนี้ ดูท่าจะไม่เหมาะสม ดังนั้นจึงถือว่าฉวยโอกาสได้ด่าไปโดยไม่เสียอะไรเลย
อย่างไรก็ตาม โดยปกติแล้วผู้อาวุโสรองมีปากมีเสียงต่อคำกับคนอื่นที่ไหน?
สิ่งนี้อดทำให้ผู้อาวุโสใหญ่ตกใจมิได้ เขาตื่นตะลึงอยู่ลับๆภายในใจ
ปรากฏว่าเย่หยวนคนนี้รับมือได้ยากโดยแท้!
เด็กคนนี้ฝีปากคมกล้าแตกต่างไปจากพวกซวนอี้และเหล่าลูกศิษย์ของมันโดยสิ้นเชิง!
ทันทีทันใดหรงซูเอ่ยปากกล่าวขึ้นอย่างช่วยมิได้ว่า
“ผู้ดูแลหลู่เมิง ไฉนเจ้ายังไม่รีบขอโทษผู้อาวุโสเย่อีก?”
…………………………………