เสียงร้องคำรามดังขึ้นเล็กน้อย ทันทีทันใด ร่างของวิหคเพลิงอมตะตัวน้อยก็แปรเปลี่ยนคล้ายกระเรียนที่มีขนาดใหญ่ขึ้น
การปรากฏตัวของมันเปรียบเสมือนดวงสุริยันลุกโชนแสนแพรวพราวอย่างหาที่เปรียบไม่
เหล่าศิษย์รุ่นน้องของซ่งฉีหยางต่างเขาสกัดปิดกั้นหนิงซื่ออวี๋เจือความตื่นตระหนกเหลือเชื่อ พวกเขาไม่คาดคิดมาก่อนเลยว่า ที่หนิงซื่ออวี๋ไล่ล่าจัดการศิษย์พี่พวกเขาซะจนหมดท่า นั้นยังหาใช้พลังทั้งหมดของนาง!
นี่คือวิหคเพลิงอมตะที่แท้จริง มันช่างทรงพลังอย่างมาก
วิหคเพลิงอมตะเป็นวิญญาณต้นกำเนิดแห่งไฟ แม้ว่าจะเป็นภาพลวงตา แต่มันก็เป็นรูปลักษณ์ที่สามารถปลดปล่อยพลังของไฟศักดิ์สิทธิ์ออกมาได้มากที่สุด!
ในทางตรงข้าม มังกรไฟของซ่งฉีหยางกลับด้อยกว่าในเรื่องนี้
มิใช่ว่าไฟศักดิ์สิทธิ์จะสามารถเปลี่ยนแปลงรูปร่างได้ตามใจอิสระ สิ่งนี้ต้องขึ้นอยู่กับระดับความแรงในการควบคุม
ผู้อ่อนด้อยไร้ซึ่งทักษะ จะสามารถแปรเปลี่ยนรูปร่างเป็นสัตว์ระดับต่ำเท่านั้น
ผู้ใดที่สามารถแปรเปลี่ยนพลังไฟศักดิ์สิทธิ์ให้กลายมาเป็นมังกรได้เหมือนกับซ่งฉีหยาง นั้นถือว่าทรงพลังอย่างมาก
แต่ในบรรดาทักษะการควบคุมไฟ การจะผนึกก่อรูปขั้นเป็นวิหคเพลิงอมตะนับว่ายากกว่าร่างมังกรไม่รู้กี่เท่า
วิหคเพลิงตัวน้อยก่อนหน้าของหนิงซื่ออวี๋ นางทำไปเพื่อมิให้ตนเองกลายมาเป็นจุดเด่นก็เท่านั้น
รูปร่างที่เล็กจ๋อยแบบนั้น แสดงให้เห็นถึงทักษะการควบคุมเพลิงที่มิได้สูงมาก
แต่ในตอนนี้รูปร่างของวิหคเพลิงอมตะแตกต่างไปจากก่อนหน้าโดยสิ้นเชิง!
การสร้างรูปแบบดังกล่าวขึ้นมาด้วยไฟศักดิ์สิทธิ์ จำต้องอาศัยทักษะการควบคุมที่สูงมาก คนธรรมดาทั่วไปไม่มีทางทำสำเร็จได้เลย
เมื่อซ่งฉีหยางเห็นภาพฉากนี้ ลูกตาของเขาแทบถลนออกมา
“หญิงสาวนางนี้แข็งแกร่งขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อใด? หรือว่า…”
จากนั้นขาต่างอดเหลียวไปมองเย่หยวนมิได้ แต่พบว่ายามนี้สีหน้าเย่หยวนช่างไร้อารมณ์ความรู้สึกนัก จนมิอาจแยกแยะอารมณ์สุขหรือเศร้าโศกได้เลย
“เป็นไปไม่ได้! หากมันเป็นคนสอนสั่ง แต่ไฉนถึงไม่แสดงสีหน้าออกมาเลย? หรือเป็นผู้อาวุโสรองกัน! เขาซ่อนคมไว้ลึกปานนี้เชียว!”
วิหคเพลิงอมตะของหนิงซื่ออวี๋เปรียบเสมือนเครื่องจักรสังหารที่เคลื่อนผ่านที่ใดวินาศสิ้นที่นั่น!
ฝั่งผู้อาวุโสใหญ่หน้าเสียหนักแสนสลดใจในทันใด กลุ่มลูกศิษย์ของตนถูกกำจัดแทบไม่เหลือ!
“แข็งแกร่งยิ่ง! หนิงซื่ออวี๋แข็งแกร่งปานนี้เชียว? ทักษะการควบคุมไฟของนางลุถึงขั้นนี้ตั้งแต่เมื่อใด”
“วิหคเพลิงอมตะนั้นราวกับมีชีวิตจริงๆ ที่ทั้งหน้าทึ่งและยิ่งใหญ่มากนัก นางทำขนาดนี้ได้อย่างไร?”
“หากเปรียบทักษะการควบคุมไฟของนาง มังกรไฟของซ่งฉีหยางกลับกลายเป็นขยะทันตา!”
…
บนอัฒจันทร์สูง เหล่าผู้อาวุโสหลายคนต่างเบิกตาโตจับจ้องภาพฉากนี้ด้วยความตื่นตกใจยิ่ง
แม้แต่ซวนอี้เองยังประหลาดใจไม่ต่าง เบื้องลึกภายในตาฉายแววสับสนยิ่งเช่นกัน
เขาเหลือบมองไปที่เย่หยวนโดยมิตั้งใจ แต่กลับมองไม่เห็นสิ่งใดผ่านใบหน้าของเขาเลย
ซวนอี้ทราบดีว่า หลายวันมานี้หนิงซื่ออวี๋เอาแต่เก็บตัวอยู่ในจวนพักของเย่หยวนโดยตลอด และมิได้ออกมาเลย
ในเมืองจักรพรรดิแห่งนี้ นอกเหนือจากเย่หยวนก็ไม่มีใครอีกแล้วที่มีความสามารถปานนี้
เขายังไม่สามารถ หรงซูเองก็เช่นกัน!
สีหน้าการแสดงออกของหรงซูยามนี้บิดเบี้ยวแสนน่าเกลียดที่สุดในชีวิต เขาไม่คิดเลยว่า การประลองไฟศักดิ์สิทธิ์ในครั้งนี้ จะกลายมาเป็นภาพฉากการสังหารหมู่เพียงฝ่ายเดียว
หนิงซื่ออวี๋นางนี้เหี้ยมโหดเกินไป เป้าหมายทั้งหมดของนางล้วนแล้วแต่เป็นเหล่าศิษย์เชื้อสายของหรงซูทั้งนั้น และนางโค่นพวกเขาทั้งหมดแทบไม่เหลือ!
ในเวทีตอนนี้เหล่าศิษย์กำลังร่ำไห้ไปทั่วทุกมุม บางคนหลีกหนีลุกลี้ลุกลนเสมือนหนูอพยพ ไม่มีใครเลยที่กล้าเผชิญหน้ากับหนิงซื่ออวี๋
ในไม่ช้าไผศักดิ์สิทธิ์ภายในเวทีก็ลดจำนวนน้อยลงเรื่อยๆ ซ่งฉีหยางถูกศิษย์พี่สามของหนิงซื่ออวี๋ปิดฉากลงได้หลังจากผ่านไปครึ่งวัน
การต่อสู้ในช่วงเวลาสุดท้าย กล่าวได้ว่าเป็นศึกสายเลือดระหว่างศิษย์ของผู้อาวุโสรอง
หลังจากนั้นหนิงซื่ออวี๋ก็เอาชนะศิษย์พี่สามของนางลงได้ และคว้าอันดับหนึ่งไป!
เมื่อผู้ดูแลที่เป็นกรรมการประกาศผลการจัดอันดับในการประลองไฟศักดิ์สิทธิ์ในครั้งนี้ ผู้คนต่างตื่นตะลึงยิ่ง แม้แต่เจ้าตัวยังแทบไม่เชื่อสายตา
“ณ ขณะนี้ ขอประกาศผลการประลองทักษะการควบคุมเพลิงในรอบแรก อันดับหนึ่งได้แก่ หนิงซื่ออวี๋ อันดับสอง เจียงเต๋า อันดับสาม…อันดับที่เก้าสิบเจ็ด ซ่งฉีหยาง อันดับที่เก้าสิบแปด…”
ช่างเป็นอันดับที่แสนน่าอับอายยิ่งนัก!
ซ่งฉีหยางซึ่งเป็นที่รู้จักในนามอัจฉริยะอันดับหนึ่งของเหล่าศิษย์ที่เป็นจอมเทพโอสถสามดาวทั้งหมด ทว่าตอนนี้เกือบไม่ผ่านเข้าสู่รอบที่สอง!
หากซ่งฉีหยางรู้ว่า เย่หยวนย้ำหนิงซื่ออวี๋ไว้แต่แรกว่า ห้ามปล่อยให้อีกฝ่ายถูกคัดออกตั้งแต่รอบแรกเด็ดขาด หากเขารู้จะรู้สึกอย่างไร?
เหล่าศิษย์เชื้อสายของผู้อาวุโสใหญ่แต่ละคนมืดมนอย่างหาที่เปรียบไม่
โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับผู้อาวุโสใหญ่ เขาในยามนี้ไม่สามารถรักษาความสงบใจได้อีกต่อไป และทรุดตัวลงทั้งแบบนั้นคาที่นั่ง
ซ่งฉีหยางกัดฟันแน่นด้วยความโกรธเกรี้ยวสุดขีด ใบหน้าของเขาแดงก่ำในทันใด
วันนี้กล่าวได้ว่า เขาเสียหน้าชนิดที่ถูกบดละเอียด!
เขาไม่คิดไม่ฝันมาก่อนเลยว่า ตัวเขาเองจะตกอยู่ใกล้อันดับร้อยขนาดนี้ ตัวเขาผ่านรอบแรกมาได้อย่างฉิวเฉียด
เมื่อเหลือบมองไปยังเหล่าศิษย์ของผู้อาวุโสรองด้วยสายตาแสนเคียดแค้น ซ่งฉีหยางก็ขบฟันแน่นเอ่ยกล่าวขึ้นด้วยวาจาแสนเกลียดชังว่า
“พวกเจ้าจำไว้ให้ดี! ในรอบที่สอง ข้าจะชดใช้ทั้งต้นและดอก!”
บรรยายกาศบนอัฒจรรย์ที่นั่งยามนี้ค่อนข้างอึดอัด
ฝ่ายผู้อาวุโสใหญ่อยู่เหนือกว่าทุกคน ดังนั้นแล้วโดยส่วนใหญ่ไม่มีใครกล้าล้ำเส้นเขาเท่าไหร่หนัก
ดังนั้นแม้ว่าฝ่ายผู้อาวุโสรองจะได้รับชัยชนะครั้งใหญ่ แต่ก็ไม่มีใครกล้าเอ่ยปากแสดงความยินดีเช่นกัน
ดังนั้นทุกคนจึงก้มหน้าก้มตาลงไม่พูดอะไรเลย
อย่างไรก็ตาม เหล่าผู้อาวุโสยังคงรู้สึกขอบคุณผู้อาวุโสรองและหนิงซื่ออวี๋อยู่ภายในใจ
การที่ฝ่ายผู้อาวุโสใหญ่เอาชนะผู้คนอื่นๆชนิดกวาดล้างแทบทั้งหมด ทำให้สิทธิ์การผ่านเข้ารอบของเหล่าศิษย์ของผู้อาวุโสคนอื่นๆได้น้อยลงเช่นกัน การที่หนิงซื่ออวี๋มาช่วยกำจัดออกไปได้เช่นนี้ ทำให้เหล่าศิษย์ของพวกเขามีที่ยืนมากยิ่งขึ้น
แต่ตอนนี้หนิงซื่ออวี๋ก็สร้างความวุ่นวายให้ไม่น้อยเลย หลายคนที่เป็นตัวเกร็งของฝ่ายผู้อาวุโสใหญ่ถูกกำจัดทิ้งแทบไม่เหลือ
สำหรับเรื่องพวกนี้เหล่าศิษย์ของผู้อาวุโสคนอื่นๆต่างมีความสุขอย่างยิ่ง
“ฮ่าๆๆๆ! เจ้าศิษย์น้องตัวแสบ เจ้าช่างน่าทึ่งโดยแท้!”
“หลังจากนี้ข้าต้องมองเจ้าใหม่แล้วจริงๆ พัฒนาการในช่วงสิบวันนี้ของศิษย์น้องช่างน่าสะพรึงเกินไป!”
ลวี่อี้ยังยกนิ้วให้และเอ่ยชมขึ้นว่า
“เจ้าตัวแสบ เจ้านี่มันสุดยอดจริงๆ! ด้วยทักษะการควบคุมไฟของเจ้า แม้แต่ศิษย์พี่ใหญ่คนนี้ยังไม่กล้ารับประกันเลยว่าจะเอาชนะเจ้าได้! ท่านปรมาจารย์เย่ช่างน่าทึ่งโดยแท้! เขาใช้เวลาเพียงสิบวันก็ทำให้เจ้าพัฒนาถึงเพียงนี้!”
หนิงศื่อมุ่ยหน้าเอ่ยกล่าวอย่างไม่พอใจว่า
“ศิษย์พี่ใหญ่ ไม่คิดเอ่ยชื่นชมพรสวรรค์ของน้องคนนี้เลยรึไง! พรสวรรค์ข้าเองก็หาใช่ธรรมดา! มิใช่เอาแต่ชมท่านปรมาจารย์เย่อย่างเดียว!”
ลวี่อี้หัวเราะกับตัวเอง พลางเอ่ยกล่าวว่า
“อย่ากล่าวแบบนั้นไป! ท่านปรมาจารย์เย่เป็นคนอาวุโสที่ควรเคารพ จะข้ามหน้าข้ามตาชมเจ้าได้อย่างไร?”
“เจ้า!”
หนิงซื่ออวี๋กระทืบเท้าไปมาด้วยความโกรธ ทำเอาทุกคนรอบข้างพลางระเบิดหัวเราะเสียงดังลั่น
คล้อยหลังระเบิดหัวเราะจนอิ่มเอิ่มใจกันแล้ว ติงซุนก็เอ่ยถามขึ้นอย่างสงสัยว่า
“เจ้าตัวแสบ บอกพวกเรามาเลย ท่านปรมาจารย์เย่ฝึกพิเศษอีท่าไหนให้เจ้าในช่วงสิบวันมานี้ ถึงทำให้ทักษะการควบคุมไฟของเจ้าพัฒนาขึ้นผิดหูผิดตา?”
รูม่านตาดำของหนิงซื่ออวี๋หดแคบตีบลงทันใด เนื้อตัวสั่นเทาขึ้นโดยมิตั้งใจ
เห็นได้ชัดว่าสิบวันแห่งประสบการณ์อันแสนขมขื่น หาใช่ประสบการณ์ที่น่าพอใจนักสำหรับนาง
มัน…แม้กระทั่งคำว่าน่ากลัวยังน้อยเกินไปกับสิ่งที่นางพบเจอ!
“ศิษย์พี่สอง ท่านไม่จำเป็นต้องเอ่ยถามข้าอีกแล้ว! หากท่านสนใจไฉนถึงไม่ไปขอรอท่านปรมาจารย์เย่ให้สอนท่านเองล่ะ?”
หนิงซื่ออวี๋กล่าวตอบ
กลุ่มศิษย์พี่แลกเปลี่ยนสบตากันเล็กน้อย แต่พวกเขาก็ตระหนักดีว่า สิบวันมานี้ศิษย์น้องของพวกเขาเองก็หาใช่ใช้ชีวิตราบรื่นนัก
ในทางตรงกันข้าม พวกเขาคิดไม่ออกจริงๆว่า ศิษย์น้องของพวกเขาต้องเผชิญพบประสบการณ์ที่แสนโหดร้ายปานใด
แต่ในเมื่อศิษย์ของพวกเขาทนได้ พวกเขาเองก็น่าจะทนได้เป็นธรรมดา
เมื่อนึกถึงทักษะการควบคุมไฟของศิษย์น้อย แววตาของเหล่าศิษย์พี่ก็เริ่มช่างแววมุ่งมั่นขึ้นทันที
สำหรับนักหลอมโอสถ ทักษะการควบไฟเป็นเรื่องที่สำคัญเกินไป
ทักษะการควบคุมไฟที่แข็งแกร่งจะส่งให้เม็ดโอสถที่หลอมกลั่นได้แข็งแกร่งขึ้นตามไปด้วย!
“ตอนนี่เหล่าผู้พิทักษ์จงก้าวขึ้นสู่เวที เตรียมการประลองรอบแรก ทักษะการควบคุมไฟ!”
ผู้ดูแลซึ่งทำหน้าที่กรรมการเอ่ยกล่าวขึ้นมา
การประลองทักษะการควบคุมไฟนี้แบ่งออกเป็นสองกลุ่มใหญ่ เหล่าผู้พิทักษ์หรือก็คือเหล่าจอมเทพโอสถสี่ดาวยังต้องต่อสู้ชิงชัยเพื่อรับสิทธิ์ในการเข้าสู่หอโอสถ
ในท้ายที่สุดนี้ ลวี่อี้ก็เป็นลองเล็กน้อยและถูกศิษย์พี่ใหญ่ของฝ่ายหรงซูโค่นลงไปได้
เว้นเสียแต่ทักษะการควบคุมไฟของลวี่อี้ต่างทำให้เหล่าศิษย์คนอื่นๆของหรงซูส่ายหัว และต้องเหงื่อแตกพลักด้วยความหวาดกลัวเช่นกัน
เมื่อเห็นเย่หยวนหลอมกลั่นโอสถกับตาในรอบนั้น ก็ทำให้ลวี่อีพัฒนาขึ้นรอบด้านเช่นกัน
ปัจจุบันความแข็งแกร่งของเขาเหนือชั้นกว่าตนเองในอดีตขึ้นอีกก้าวหนึ่งแล้ว
หลังจากจากประลองทักษะการควบคุมไฟเสร็จสิ้นลง รอบที่สองก็กำลังจะเริ่มต้นขึ้นในไม่ช้า
…………………………………