รอบที่สามเป็นการประลองหลอมกลั่นโอสถ
รอบนี้มิอาจใช้เล่ห์เหลี่ยมใดๆได้ กล่าวว่าเป็นการแข่งขันที่ยุติธรรมที่สุด
แต่เย่หยวนมิได้กังวลอันใดเลยในตัวหนิงซื่ออวี๋
หนิงซื่ออวี๋ในปัจจุบันหาใช่หนิงซื่ออวี๋อย่างที่ผ่านมาแล้ว
นางมีประสบการณ์เฝ้ามองขอบเขตแห่งเต๋าของเขามาก็หลายครั้นหลายครา ทั้งยังได้รับการฝึกพิเศษ หากนางยังไม่สามารถหลอมกลั่นโอสถระดับสูงได้ เย่หยวนก็ขอเอาหัวฟาดกำแพงจนตายเสียดีกว่า
แน่นอนว่า หนิงซื่ออวี๋ยังมีพรสวรรค์อันน่าอัศจรรย์ ทั้งยังเข้าใจอะไรหลายๆอย่างได้อย่างรวดเร็ว นี่จึงเป็นเหตุผลที่เย่หยวนเลือกนางมาฝึก
หากเป็นคนอื่น แม้เย่หยวนจะปล่อยให้พวกเขาเข้ามาเห็นขอบเขตแห่งเต๋า แต่การจะพัฒนาฝีมือได้ภายในเวลาอันสั้นก็ยากเกินเป็นไปได้เช่นกัน
สิ่งหนึ่งที่ควรทราบ ครั้งแรกที่หนิงซื่ออวี๋ได้เห็นเย่หยวนหลอมกลั่นโอสถกับตา นางก็สามารถหลอมกลั่นโอสถปราณฤทัยสวรรค์ขั้นสูงได้แล้ว
“ฉีหยาง รอยนี้เป็นโอกาสสุดท้ายของเจ้า เจ้าจะแพ้ไม่ได้อีกแล้ว”
หรงซูยามนี้นั่งไม่ติดเก้าอี้ เขาใช้ช่วงเวลาพักลงจากอัฒจรรย์ไปหาซ่งฉีหยางเป็นการส่วนตัว เข้าอบรบชนิดตัวต่อตัว
ความตื่นตระหนกที่ส่องสะท้อนออกมาผ่านดวงตาของซ่งฉีหยางมองผ่านเห็นได้อย่างชัดแจ้ง เขาเองก็ไม่คิดเลยว่า วันนี้ตนจะมาพ่ายหมดท่าแบบนี้
เป็นเวลาหลายปีแล้วที่สายตาของเขาอยู่เหนือศีรษะสูงมาโดยตลอด และดูถูกหยามเหยียดเหล่านักหลอมโอสถในระดับชั้นเดียวกันทั้งหมด
ทว่าตอนนี้เขากลับพ่ายให้กับเด็กสาวตัวเล็กๆนางหนึ่ง
เขารู้สึกราวกับความมั่นใจทั้งหมดที่เคยมีกำลังพังทลายลงมา!
“ท่านอาจารย์ สองรอบแรกทั้งๆที่ข้ามั่นใจ… เหนือไปกว่านั้นข้าก็ฝึกซ้อนเตรียมพร้อมมาเป็นอย่างดี แต่สุดท้ายก็ยัง…”
หรงซูเข้าตบไหล่และกล่าวว่า
“แม้ข้าจะไม่สามารถจับผิดพวกมันได้ แต่สองรอบแรกมันต้องเอาชนะเราดด้วยวิธีโกงแน่นอน! แต่ในรอบที่สามนี้ เป็นการประลองหลอมกลั่นโอสถ ไม่มีลูกไม้เล่นตุกติกใดๆ เด็กนั้นไม่มีทางเปลี่ยนหนิงซื่ออวี๋เป็นคนละคนไปได้! ไม่ต้องคิดมาก ทำใจให้สงบเสีย! ตราบใดที่เจ้าเอาชนะรอบนี้ได้ อีกสองรอบนก่อนหน้าผู้คนย่อมมองข้ามไม่เอาความ! อย่าให้ความผิดหวังมาบั่นทอนความมั่นใจของเจ้า!”
ซ่งฉีหยางสูดหายใจเข้าลึกๆและพยักหน้ากล่าวว่า
“ข้ารู้ว่าข้าควรทำอย่างไรท่านอาจารย์!”
“เช่นนั้นก็ดี! หากเจ้ายังพ่ายในรอบที่สาม ก็อย่ามาเรียกข้าว่าอาจารย์อีกในอนาคต!”
เมื่อกล่าวจบ หรงซูก็สะบัดแขรนเสื้อจากไปโดยทิ้งให้ซ่งฉีหยางยืนนิ่งประดุจกิ่งไม้แห้ง
หรงซูคนนี้เป็นใครกัน? มีหรือที่เขาจะไม่ทราบว่าตอนนี้ซ่งฉีหยางกำลังคิดอะไรหรือลังเลใจอันใดอยู่?
นั้นจึงเป็นเหตุผลที่หรงซูกล่าวสะบั้นคำขาดด้วยไม้แข็งแบบนี้ ทั้งหมดก็เพื่อเรียกความมั่นใจของซ่งฉีหยางกลับคืนมา
หรงซูใช้ความเพียรพยายามอย่างหนักกับซ่งฉีหยาง แล้วเขาหรือจะทนได้อย่างไรที่ต้องไล่อีกฝ่ายออกจากอาณัติของเขา?
“การประลองรอบที่สาม หลอมกลั่นโอสถ! โอสถที่ต้องหลอมกลั่นก็คือ โอสถจิตสวรรค์วชิระพิโรธ!”
ผู้ดูแลที่เป็นกรรมการเอ่ยกล่าวขึ้น
โอสถจิตวสวรรค์วชิระพิโรธเป็นโอสถธาตุสายฟ้า ความยากในการหลอมกลั่นสูงมาก แทบจะเทียบเท่ากับโอสถประตูศิลาวายุเลยก็ว่าได้
ความยากของโอสถชนิดนี้นับว่าท้าทายฝีมือของทุกคนโดยแท้
อย่างไร ในรอบที่สามนี้หนิงซื่ออวี๋ก็ค่อนข้างเสียเปรียบอย่างชัดเจน
นางเป็นเพียงเซียนอาณาจักรบรรพชนพระเจ้าชั้นกลาง นางค่อนข้างด้อยกว่ามากในเรื่องปริมาณพลังปราณเทวะ
โอสถเหล่านี้ที่ระดับความยากสูงๆ ล้วนมีภาระในการหลอมกลั่นสูงมาก ทั้งในด้านสมาธิและพลังปราณเทวะที่นำจ่ายเป็นจำนวนมหาศาล
“ข้าสงสัยเสียว่า ในรอบที่สามนี้ หนิงซื่ออวี๋จะสร้างปาฏิหาริย์ได้หรือไม่!”
“หากไม่มีสองรอบแรก ข้าคิดว่าหนิงซื่ออวี๋ไม่มีทางทำได้แน่นอน! แต่ตอนนี้ข้ากลับตั้งตารอแล้ว!”
“ฟังว่าหนิงซื่ออวี๋ฝึกปรือหลอมกลั่นโอสถปราณฤทัยสวรรค์อยู่เป็นเวลานานแล้ว แต่ก็ไม่ประสบผลสำเร็จเสียที โอสถจิตสวรรค์วชิระพิโรธหลอมกลั่นยากกว่าโอสถปราณฤทัยสวรรค์มากนัก นางจะทำได้จริงๆรึ?”
“หากผู้อาวุโสเย่สามารถหลอมกลั่นสอนในนางหลอมกลั่นได้สำเร็จจริงๆ ข้าเกรงว่าพรุ่งนี้หน้าประตูจวนพักของผู้อาวุโสเย่คงระเบิดแน่นอน!”
…
ในสองรอบแรก ทุกคนต่างพินิจวิเคราะห์หนิงซื่ออวี๋ในแง่ที่ไม้ดีเท่าไหร่นัก แต่ใครจะไปคิดว่า หนิงซื่ออวี๋กลับกลายมาเป็นม้ามืดตัวเต็ง ที่เข้าบดขยี้คู่แข่งทั้งหมด รวมไปถึงยอดอัจฉริยะอย่างซ่งฉีหยางจนยามนี้ท้อแท้ไปแล้ว
ดังนั้นทุกคนจึงตั้งหน้าตั้งตารอดูอยู่เช่นกัน
แต่บางคนที่ทราบเรื่องราวก่อนหน้านี้ของหนิงซื่ออวี๋ก็อดสงสัยมิได้ ว่านางจะหลอมกลั่นได้สำเร็จจริงๆหรือไม่
ทุกคนรอบข้างตรงเบนความสนใจตรงไปที่นาง แต่หนิงซื่ออวี๋ยามนี้ยังคงไม่ขยับไปไหน
เย่หยวนบอกนางว่าอย่าเพิ่งใจร้อนเป็นอันขาด ก่อนจะเริ่มลงมือหลอมกลั่นโอสถควรนึกถึงภาพฉากที่เขาเคยหลอมกลั่นโอสถให้ดูอย่างที่ผ่านมา และปรับสภาวะจิตและร่างกายขึ้นสู่สภาวะสุดยอด
หนิงซื่ออวี๋เชื่อฟังทุกคำพูดของเย่หยวนโดยธรรมชาติ ดังนั้นนางจึงไม่รีบร้อนเคลื่อนไหวใดๆ
“หื้ม? นางกำลังทำอะไรกันแน่? หรือเพราะทราบดีว่าตนไม่สามารถหลอมกลั่นมันได้ จึงจงใจไม่เคลื่อนไหว?”
สภาพจิตใจของซ่งฉีหหยางยามนี้กลับไม่สงบนิ่งเอาเสีย เขามิอาจคลายความสงสัยอดนึกถึงหนิงซื่ออวี๋มิได้
การกระทำอันผิดแปลกของหนิงซื่ออวี๋เตะตาของเขาอย่างจัง
ตอนนี้เขาก็ค่อนข้างสูญเสียความมั่นใจไปหลายส่วน เมื่อเห็นภาพฉากนี้ยิ่งครุ่นกังวลสงสัยเข้าไปใหญ่
“หึ!”
หรงซูกรนเสียงเย็นคำโต ซ่งฉีหยางสะดุ้งเฮือกได้สติในทันใดและเร่งมุ่งสมาธิจดจ่ออยู่กับการหลอมกลั่นตรงหน้า
“ผู้อาวุโสใหญ่ การกระทำของท่านเช่นนี้…คล้ายว่าละเมิดกฎกระมัง?”
ซวนอี้ค่อยๆลืมตาพร้อมเอ่ยกล่าวขึ้นอย่างใจเย็น
สีหน้าการแสดงออกของหรงซูพลันแปรเปลี่ยน ใบหน้าแดงระเรื่อ ใจสั่นระรัวเอ่ยกล่าวขึ้นอย่างเยือกเย็นว่า
“เราชายชราทำอะไรผิด?”
เห็นได้ขัดว่าเขาส่งสัญญาณให้ซ่งฉีหยางได้สติฟื้นตัวขึ้นโดยเจตนา ทว่าตอนนี้เขากลับปฏิเสธกลับไปอย่างหน้าด้านๆ
ผู้อาวุโสคนอื่นๆล้วนรู้สึกว่าการกระทำเช่นนี้ค่อนข้างขวานผ่าซากเกินไป เพียงว่าถึงจะหงุดหงิดเพียงใด แต่ก็ไม่มีใครกล้าปริปากกล่าว
ซวนอี้ตัวแข็งค้างไปครู่ก่อนจะปิดปากหลับตาลงทันที
ตาแก่คนนี้หน้าด้านเกินไป!
ส่วนเย่หยวนเหลือบมองหรงซูเล็กน้อย ทว่าก็หาได้ส่งเสียงเอ่ยกล่าวอันใด
ในขณะนั้นเอง จู่ๆหนิงซื่ออวี๋ก็ลืมตาตื่นขึ้นและเริ่มหลอมกลั่นโอสถในทันที!
คู่ดวงตาไสวของเย่หยวนพลันสว่างวาบ พลางพยักหน้าให้กับตัวเอง
ความรู้ความเข้าใจของหญิงสาวนางนี้ดีกว่าที่เขาคิดไว้เสียอีก
คล้อยเฝ้ามองหนิงซื่ออวี๋ที่ลงมืออย่างคร่องแคร่วด้วยท่าทีแสนสงบประดุจเมฆาลอยล่อง ธารวารีไหลผ่าน สรรพสิ่งราบรื่นเป็นไปอย่างธรรมชาติ
เหล่าผู้อาวุโสไม่น้อยที่เปล่งเสียงสูดเย็นเข้าออก เห็นได้ชัดว่า ฝีไม้ลายมือของหนิงซื่ออวี๋น่าดึงดูดไม่น้อยจริงๆ
ขอบเขตของเหล่าผู้อาวุโสล้วนสูงลิบลิ่วกันทุกคน พวกเขาย่อมสามารถมองผ่านอ่านความเหนือชั้นเหล่านี้ได้ออกเพียงปราดตา
ณ ปัจจุบันหนิงซื่ออวี๋ราวกับเข้าสู่สภาวะตัดชั่วฟ้าแล้ว และไม่มีสรรพสิ่งใดสามารถรบกวนนางได้อีกต่อไป
ภายใต้สภาวะเช่นนี้ ประสิทธิภาพการหลอมกลั่นโอสถย่อมได้ผลเป็นสองเท่าจากในหนึ่งความพยายาม
“ซื่ออวี๋นางนี้ ดูแตกต่างจากเมื่อก่อนไปมากจริงๆ!”
“หรือเป็นไปได้ไหมที่ผู้อ่าวุโสเย่จามีกลวิธีสั่งสอนนางจนทำให้พัฒนาขึ้นทันตาแบบนี้?”
“หากนางสามารถหลอมกลั่นโอสถจิตสวรรค์วชิระพิโรธได้จริงๆ คงเหลือเชื่ออย่างยิ่งยวด!”
…
เหล่าผู้อาวุโสทั้งหลายต่างอ้าปากกันค้างเติ่ง พวกเขาย่อมตระหนักทราบ หนิงซื่ออวี๋ในปัจจุบันมิอาจเปรียบเทียบกับกาลอดีตได้อีกต่อไป
ไม่ว่าผลสุดท้ายจะเป็นอย่างไร ซ่งฉีหยางยังได้ชื่อว่า อัจฉริยะอันดับหนึ่งในหมู่จอมเทพโอสถถามดาวทั้งหมด เขาถูกเหล่าผู้คนระดับสูงเพ่งเล็ง
ในทางตรงกันข้าม แม้ว่าซ่งฉีหยางจะมุ่งสมาธิจดจ่ออยู่กับการหลอมกลั่นโอสถได้ก็จริง แต่สภาพจิตใจยามนี้ของเขากลับลนลานเกินไป และเป็นเรื่องยากนักที่จะปลดปล่อยศักยภาพทั้งหมดออกมา
ความแข็งแกร่งของเขาในขณะนี้ลดลงอย่างมาก
เวลาผ่านไปแสนแช่มช้า เนื่องจากระดับพลังของหนิงซื่ออวี๋ยังคงขาดตก จึงทำให้ทั่วใบหน้าของนางหยาดเหงื่อเริ่มซึมออกจนหยดลงพื้นต่อเนื่อง
แต่พินิจจากทั่วทั้งร่างของนาง ท่าทียังคงสงบนิ่งและดูลึกลับเกินหยั่งถึง และไม่เห็นท่าทีเหนื่อยอ่อนแต่อย่างใด
ในหัวของนางตอนนี้มีอยู่เพียงสิ่งเดียว นั้นคือการหลอมกลั่นโอสถ
ทันใดนั้นเสียงร้องของนางก็ดังสนั่น
“ขึ้นรูปโอสถ!”
นางเป็นคนสุดท้ายในบรรดาทุกคนที่เริ่มลงมือหลอมกลั่น แต่กลับเป็นคนแรกที่ทำเสร็จ!
ท่ามกลางฝูงชนปรากฏคลื่นอุทานลั่นแซ่ซ้อนดังกึกก้อง
พวกเขาไม่คิดไม่ฝันมาก่อนเลยว่า หนิงซื่ออวี๋จะสามารถหลอมกลั่นโอสถจิตสวรรค์วชิระพิโรธออกมาได้จริงๆ!
แม้แต่ตัวนางเองยังเงยหน้าขึ้นมองเย่หยวนด้วยใบหน้าแสนตื่นอกตื่นเต้น
เย่หยวนคลี่ยิ้มเล็กน้อยด้วยความพึงพอใจ ซึ่งนี่ยิ่งทำให้หนิงซื่ออวี๋ยิ่งดีอกดีใจเข้าไปใหญ่
ไม่นาน เม็ดโอสถของซ่งฉีหยางก็เริ่มมอดดับลง
“หึ!”
แต่เสี้ยวหัวเลี้ยวหัวต่อนี่เอง ทันทีทันใดเย่หยวนพลันเปล่งเสียงเย็นเผยดังออกจากโพรงจมูก
ซ่งฉีหยางในตอนนี้ราวกับกำลังบีบคอกดดันตนเองถึงขีดสุด ชนิดที่ว่าหายใจไม่ออกเจียนตายแล้ว
…………………………………