“นี่ พวกเจ้าได้ยินหรือยัง? ผู้อาวุโสเย่ต้องการจะเข้าไปในห้วงมิติสืบทอดในหอยุทธ!”
“ไม่มีทาง? นี่หาใช่แสวงหาความตายหรอกรึ! ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยว่า จะมีใครสามารถออกมาจากที่นั่นได้!”
“ผู้อาวุโสเย่นับเป็นการดำรงอยู่ที่น่าเกรงขามแห่งยุค! แต่ไฉนเขาถึงต้องแสวงหาความตายเช่นนี้!”
“หรือเป็นไปได้ไหมว่า เหล่าผู้อาวุโสคนอื่นๆจะไม่คิดห้ามปราม แล้วเฝ้าดูอีกฝ่ายฆ่าตัวตายเช่นนี้จริงๆ?”
…
เรื่องนี้มิอาจปกปิดได้ ข่าวที่เย่หยวนวางแผนเข้าไปในห้วงมิติสืบทอด ได้แพร่กระจายไปทั่วเขตเมืองชั้นในอย่างรวดเร็ว
การกระทำครั้งนี้ของเย่หยวนต่างทำให้ทุกคนเสียสูญอย่างหนัก
ผู้อาวุโสแห่งหอโอสถวิ่งไปยังหอยุทธ์เพื่ออันใด? สรรหาความตื่นเต้นให้ชีวิตตนเอง?
พอทำเนาหากอีกฝ่ายต้องการขัดเกลาฝีมือการต่อสู้บ้าง จึงต้องการเข้าไปในหอยุทธ์เฉยๆ แต่นี่อีกฝ่ายเล่นวิ่งตรงเข้าหาห้วงมิติสืบทอด สถานที่ต้องห้ามและอันตรายที่สุดในหอยุทธ์
หรือผู้อาวุโสเย่เหนื่อยหน่ายกับชีวิตนี้แล้ว?
“หุหุ เด็กหนุ่มล้วนเป็นแบบนี้กันทุกคน คิดว่าตนเองมีความสามารถและไร้ผู้ใดทัดเทียม คิดว่าตนเองแตกต่างจากคนอื่นๆ ย่อมสามารถออกจากห้วงมิติสืบทอดได้อย่างปาฏิหาริย์ แต่ไหนเลยจะมีปัญญาออกมาได้? ตั้งแต่เมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์ก่อตั้งมา ยังไม่เคยมีใครสามารถออกมาได้!”
เมื่อผู้อาวุโสใหญ่ทราบข่าว เขาก็หัวใจพองโตขึ้นทันที
สองสามวันมานี้ เขาไม่กล้าแม้แต่ออกจากหน้าประตูจวนด้วยซ้ำ เขาไม่เหลือหน้าไปมองใครแล้ว
ผู้อาวุโสใหญ่ผู้สูงศักดิ์กลับพ่ายลงให้แก่เด็กน้อยที่เป็นเพียงจอมเทพโอสถสามดาว สิ่งนี้ช่างอัปยศเกินทานทน
แต่พอมาวันนี้ เขาค่อนข้างอารมณ์ดีเป็นอย่างยิ่ง เพราะเย่หยวนกำลังจะคิดท้าทายห้วงมิติสืบทอด
“ท่านอาจารย์ เย่หยวนคนนี้มีความหยิ่งผยองและทะนงตนเป็นที่สุด ไม่รู้จักความกว้างใหญ่ของฟ้าดิน ไม่ว่าคนประเภทนี้จะมีความสามารถมากมายมหาศาลเพียงใด สักวันย่อมมีก้าวพลาดเช่นกัน!”
ซ่งฉีหยางกล่าวเสริมอยู่ข้างกาย
หลายวันมานี้ นับเป็นเรื่องลำบากใจยิ่งสำหรับศิษย์อาจารย์คู่นี้ พวกเขารู้สึกละอายใจเกินกว่าจะเสนอหน้าไปพบใคร
หรงซูพยักหน้า ยิ้มกล่าวว่า
“แนวคิดแห่งห้วงมิติเป็นเรื่องยากเกินจะเข้าใจ กระทั่งเหล่าบรรพชนรุ่นก่อนยังต้องใช้เวลากว่าหลายหมื่นปี แต่ก็ยังไม่สามารถบรรลุชั้นสวรรค์ระดับสองได้ด้วยซ้ำ แล้วเย่หยวนคิดว่าตนเองเป็นใครกัน?”
ซ่งฉีหยางเอ่ยกล่าวอย่างตื่นเต้นขึ้นว่า
“ผู้อาวุโสรองเองยังมิอาจหยุดเขาได้เช่นกัน ดังนั้นแล้ว ขุนพลตัวสำคัญของฝ่ายผู้อาวุโสรองก็หายไปอีกหนึ่ง! ฮ่าๆๆๆ!”
หรงซูระเบิดหัวเราะเยาะและกล่าวว่า
“เจ้าคิดว่าซวนอี้สามารถควบคุมเด็กนั้นได้ดั่งใจ? ด้วยความทะเยอทะยานของเด็กนั้น เขาไม่ยอมให้ใครอยู่เหนือหัวแน่นอน! ยิ่งไปกว่านั้นซวนอี้ก็มีฝีมือไม่ต่างจากข้าเท่าไหร่ แล้วเขาหรือจะมีสิทธิ์อะไรจะให้เย่หยวนกลายมาเป็นหนึ่งในขุนพลของมัน?”
สีหน้าการแสดงออกของซ่งฉีหยางแปรเปลี่ยนไปทันที เขาคิดไม่ถึงเรื่องนี้ไปจริงๆ
“เช่นนั้นแล้ว…ทั้งสองคนนั้นมีความสัมพันธ์กันแบบใด?”
ซ่งฉีหยานตระหนักถึงจุดยืนของเย่หยวนได้ทันที ซึ่งจุดยืนของอีกฝ่ายก็อยู่เหนือกว่าทั้งท่านอาจารย์ของเขาและซวนอี้ไปแล้ว
หรงซูแสยะยิ้มเย็นกล่าวว่า
“แบบไหนงั้นรึ? หากการสันนิษฐานของข้าถูกต้อง ซวนอี้น่าจะศึกษาเรียนรู้จากเย่หยวนมาไม่น้อย! หากเจ้าต้องการทราบว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาเป็นแบบใด คงกล่าวได้ว่าพันธมิตรคงเหมาะสมที่สุด! ด้วยความแข็งแกร่งของเย่หยวน ซวนอี้ไม่มีทางควบคุมอีกฝ่ายได้!”
“ฟู่วว…”
ซ่งฉีหยางดูดไอเย็นแช่มอย่างแสนยำเกรง
จวบจนตอนนี้เขาก็ยังไม่อยากจะเชื่อว่า เด็กน้อยที่อ่อนเยาว์ยิ่งกว่าตนจะบรรลุได้ถึงระดับชั้นที่น่ากลัวปานนี้แล้วจริงๆ
แม้แต่ท่านอาจารย์และผู้อาวุโสรองยังไม่สามารถยั่วยุได้เช่นกัน!
…
ผู้ดูแลหอยุทธ์เอ่ยถามเย่หยวนด้วยความสงสัยไม่คลายใจเสียที
“ผู้อาวุโสเย่ ท่านคิดจะเข้าท้าทายห้วงมิติสืบทอดจริงรึ?”
เขาไม่เชื่อว่า มีหรือที่เย่หยวนยังไม่เคยได้ยินเกียรติศักดิ์ของห้วงมิติสืบทอด แต่กระนั้นเย่หยวนก็ยังจะมา
เขารู้สึกว่านี่มันดูปลอมเกินไป ยังมีใครบางคนกล้าทำเรื่องโง่ๆปานนี้จริงๆ?
เพราะมั่นใจในความสามารถของตนเอง?
แน่นอน…หากเป็นหอโอสถ ย่อมไม่มีใครกล้ากังขา
แต่ที่นี่มันหอยุทธ์!
เย่หยวนยิ้มและกล่าวว่า
“ผู้ดูแลหลิงกล่าวถูกต้องแล้ว ส่งข้าเข้าไปเถิด!”
ผู้ดูแลหลิงทำอะไรไท่ถูกอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะเปิดใช้งานค่ายกลประตูมิติ
เย่หยวนเดินตรงเข้าไปในประตูมิตินั้นทันที ประกายแสงสว่างวาบสาดกะพริบ ทันทีทันใดเขาก็เข้ามาถึงภายในหอยุทธ์
“สถานที่แห่งนี้คือ…”
เย่หยวนกวาดสายตามองโดยรอบ ยามนี้อดสูดหายใจเย็นเจือเหลือเชื่อมิได้
ราวกับตอนนี้ เขายืนอยู่ท่ามกลางกระจกเงานับไม่ถ้วน
เพียงปราดตามองผ่านแค่แวบเดียว เย่หยวนก็รู้สึกได้ทันที สายตาของเขาพล่ามัวอย่างหนักจนเวียนหัว
“สถานที่แห่งนี้คือ ห้วงแห่งความโกลาหล ภาพสะท้อนจะฉายปรากฏนับไม่ถ้วนรอบสารทิศ หากไม่สามารถหาทางออกที่แท้จริงได้ เจ้าจะหลงทางอยู่ในห้วงแห่งความโกลาหลตลอดกาล นอกจากนี้เองช่องว่างระหว่างมิติที่ก่อตัวขึ้นยังเสมือนกับห้วงอากาศระหว่างดินแดน ก้าวพลาดเพียงก้าวเดียว ร่างของเจ้าจะถูกบดขยี้ไม่เหลือ!”
สุ้มเสียงของหวู่เฉินดังก้องออกมาผ่านห้วงความคิดของเย่หยวน
เย่หยวนเข้าใจในทันที แต่ด้วยความประหลาดใจ เขาจึงเอ่ยกล่าวขึ้นว่า
“คิดค้นวิธีเช่นนี้เพื่อปลูกฝังแนวคิดแห่งห้วงมิติลงไป เป็นเรื่องที่คาดไม่ถึงเสียจริง ท่านอาวุโสคนใดสามารถทิ้งมรดกเช่นนี้ได้? นับเป็นยอดอัจฉริยะอย่างแท้จริง!”
“เหอะ อย่าเพิ่งรีบเอ่ยชมคนอื่นไป ห้วงมิติซ้อนทับนี้มิใช่เรื่องง่ายที่จะฝ่าฟันออกไป มิฉะนั้นคงไม่มีเหล่าอัจฉริยะจำนวนมากมายพลาดท่าในที่แห่งนี้เป็นแน่ แม้แต่เจ้าเอง…หากก้าวพลาดไปเพียงก้าวเดียว เจ้าอาจตายได้ทันที!”
หวู่เฉินเอ่ยปากเตือนทันใด
เย่หยวนพยักหน้ากล่าวว่า
“ข้ารู้สึกได้ถึงแนวคิดแห่งห้วงมิติในที่แห่งนี้ แม้ตอนนี้ข้าจักเข้าใจเพียงผิวเผิน แต่เพียงชั้นสวรรค์ระดับหนึ่งก็สามารถย่อขนาดดินแดนให้เล็กจิ๋วเหลือเพียงนิ้วเดียวได้! ข้าไม่ควรประมาทเด็ดขาด!”
ในทีแรก เย่หยวนเข้าใจแนวคิดแห่งห้วงมิติผ่านเต๋าแห่งดาบเท่านั้น และที่เหลือกลับไม่รู้อะไรเลย
ต่อมา ความเข้าใจของเย่หยวนที่มีต่อแนวคิดแห่งห้วงมิติก็เพิ่มพูนขึ้นจนลึกซึ้งมากขึ้นเรื่อยๆ
ชั้นสวรรค์ระดับหนึ่ง ถือเป็นการประยุกต์ใช้กับพื้นที่บริเวณเล็กๆ
กล่าวคือ สามารถย่อหดดินให้เล็กเท่าอณู
ความเข้าใจเพียงแค่นี้ก็สามารถทำให้ผู้คนประหลาดใจเกินพรรณนาแล้ว
แต่อย่างไร ความเข้าใจของเย่หยวนกลับเป็นเพียงหางอึ่งเท่านั้น สิ่งที่อาศัยพึ่งพาจริงๆยังคงเป็นเต๋าแห่งดาบ
แนวคิดแห่งห้วงมิติที่เย่หยวนใช้ได้ จำต้องสำแดงผ่านเต๋าแห่งดาบออกมาเท่านั้น
หากผู้ใดสามารถทำความเข้าใจต่อแนวคิดแห่งห้วงมิติชั้นสวรรค์ระดับหนึ่งได้โดยสมบูรณ์ ความแข็งแกร่งที่ได้รับจจะแตกต่างไปจากแต่ก่อนโดยสิ้นเชิง
“แย่แล้ว! ห้วงมิติแห่งนี้เคลื่อนไหวอยู่ตลอดมิได้หยุดนิ่ง! เย่หยวน ระวังตัว!”
จู่ๆหวู่เฉินก็เอ่ยกล่าวออกมา
แน่นอนว่าห้วงมิติเหล่านั้นเริ่มทับซ้อนเคลื่อนขยับ
แกร๊ก! แกร๊ก!
เสียงบีบตัวของห้วงมิติค่อยๆเคลื่อนเข้าชนกัน
บริเวณที่เย่หยวนยืนอยู่แทบแหลกสลายกลายเป็นผุยผง
เพียงแค่ยืนอยู่นิ่งๆโดยไม่ทำอะไรก็สามารถฆ่าเย่หยวนได้ในชั่วพริบตา
เย่หยวนหรือยังใจแข็งยืนอยู่เฉยๆ เขาระดมแนวคิดแห่งห้วงมิติที่มี ก่อนเคลื่อนขยับไปยังบริเวณอื่น
แต่ในไม่ช้า พื้นที่บริเวณเหล่านั้นก็เริ่มพังทลายลงอีกครั้ง!
เย่หยวนรู้สึกถึงภัยอันตรายอย่างหาที่เปรียบไม่ เขาเร่งทะยานเหาะเหินผ่านห้วงมิติออกไปอย่างต่อเนื่อง
แต่ในไม่ช้า เขาก็ค้นพบว่า ความเข้าใจต่อแนวคิดแห่งห้วงมิติของเขายังไม่เพียงพอ
ห้วงมิตแห่งนี้เริ่มจมดิ่งสู่คาวมโกลาหล รอยแตกและช่องโหว่ระหว่างห้วงมิติเริ่มแสดงให้เห็นมากขึ้นเรื่อยๆ
หากเป็นคนอื่นที่ไม่มีความเข้าใจต่อแนวคิดแห่งห้วงมิติเลย ปานนี้คงหลุดออกไปยังห้วงอวกาศและถูกฉีกเป็นชิ้นๆนานแล้ว
…
หอยุทธ์ชั้นแรก ซึ่งเป็นโถงหลักใจกลางของหอยุทธ์ทั้งหมด
หลังผ่านไปหลายวัน ใบหน้าที่แสนคุ้นเคยอย่างผู้อาวุโสใหญ่หรงซูก็ปรากฏตัวขึ้นที่นี่
“หลิงหยุน ข้าได้ยินมาว่า ผู้อาวุโสเย่เข้าท้าทายในห้วงมิติสืบทอดแล้ว ตอนนี้สถานการณ์เป็นอย่างไรบ้าง?”
หรงซูเอ่ยถาม
หลิงหยุนคือผู้ดูแลคนนั้นที่คอยเฝ้าประตูมิตินี้เอาไว้
เมื่อเห็นผู้อาวุโสใหญ่เอ่ยถามถึงเรื่องนี้ เขาก็ส่ายหัวกล่าวว่า
“สถานการณ์ไม่ดีนัก กลิ่นอายของผู้อาวุโสเย่เริ่มเบาบางลงต่อเนื่อง เป็นไปได้ว่า…ในไม่ช้าเขาอาจหลงเข้าสู่ห้วงอวกาศได้”
ขณะที่เอ่ยกล่าว เขาก็ร่ายอาคมแขนงหนึ่งและยิงออกไปเบื้องหน้า ภาพฉายพลันสว่างขึ้น
บนภาพฉากปรากฏจุดเหลืองจุดหนึ่งอยู่ หรงซูรู้ได้ทันทีว่า นี่เป็นสัญญาณแสดงกลิ่นอายชีวิตของเย่หยวน
และในเวลานี้จุดสีเหลืองบนนั้นก็จางอ่อนแทบจะมองไม่เห็นแล้ว
…………………………………