เย่หยวนเก็บดาบจักรพรรดิล้ฟ้าในมือลง และเดินสำรวจรอบข้างเล็กน้อย ก่อนพบว่าทุกมุมของสถานที่แห่งนี้ล้วนมีความเสถียรค่อนข้างสูง แตกต่างจากห้วงมิติแห่งความโกลาหลก่อนหน้าโดยสิ้นเชิง
“สถานที่แห่งนี้เป็นจุดศูนย์กลางของห้วงมิติสืบทอด ทั้งยังเป็นสถานที่ปลอดภัยที่สุดอีกด้วย แต่เมื่อมาถึงที่นี่ก็หมายความได้ว่า เจ้าจะไม่มีวันออกไปได้อีก เว้นเสียแต่ เจ้าสามารถเข้าใจแนวคิดแห่งห้วงมิติทั้งสองระดับแรกได้โดยสมบูรณ์”
ดูคล้ายว่าเย่หยวนจักตระหนักได้ถึงบางสิ่งอย่างที่เมื่อชายคนนั้นปริปากอธิบายกล่าว
เย่หยวนรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยเช่นกัน เขาทราบดีว่าสิ่งที่ชายชุดดำกล่าวไปมิได้โกหก พื้นที่มิติบริเวณปลอดภัยมากจริงๆ แตกต่างจากภายนอกที่ดูวุ่นวาย
เย่หยวนประสานมือกล่าวว่า
“สงสัยเสียงจริง ท่านมีนามขานว่าอย่างไร? แล้วติดอยู่ที่นี่มากี่ปีแล้ว?”
คู่คิ้วของชายชุดดำขมวดเข้ม กล่าวตอบน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า
“สามหาว! ไฉนรุ่นเยาว์ถึงกล่าววาจาเช่นนี้กับข้า! หากมิใช่เพราะพลังวิญญาณของสถานที่แห่งนี้เบาบาง ข้าคงกลายมาเป็นผู้อาวุโสแห่งหอยุทธไปแล้วตอนนี้!”
ในมุมมองของชายชุดดำ ตามลำดับความอาวุโส เย่หยวนควรเคารพตนในฐานที่มีอายุมากกว่า
แต่ใครจะรู้ว่าเด็กคนนี้คิดเพิกเฉยกลับเรียกเขาแค่ว่า‘ท่าน’
แม้ว่าเขาจะถูกขังอยู่ที่นี่ แต่ความภาคภูมิของเขายังคงอยู่ภายในใจไม่เสื่อมคลาย
ที่เขายังมีชีวิตรอดจวบจนปัจจุบัน นี่เป็นที่บ่งชี้ชัดแจ้งแล้วว่า เขาคืออัจฉริยะที่น่าเกรงยามอย่างยิ่งในยุคนั้น
เย่หยวนยิ้มและกล่าวว่า
“ผู้อาวุโสงั้นรึ? เช่นนั้นเอ่ยสนทนาอย่างเท่าเทียมนับว่าไม่มีปัญหาอะไร”
“ฮ่าๆๆๆ!”
เมื่อชายชุดดำได้ยินแบบนั้นก็ระเบิดเสียงหัวเราะแหบแห้งดังลั่น และกล่าวว่า
“เจ้าหนูน้อย เจ้าคิดว่าข้าติดอยู่ในนี้นานเกินไปจนสติฟั่นเฟือนแล้วกระมัง? ผมยังไม่ขึ้นเต็มที่ด้วยซ้ำ เท่าเทียมงั้นรึ? ช่างเป็นเรื่องน่าขันนัก!”
หากไม่เห็นแก่ว่า เย่หยวนเป็นชนรุ่นหลังของหอยุทธ์ ทั้งยังเป็นคนแรกที่เข้ามาในสถานที่แห่งนี้ได้ในรอบหลายปี ปานนี้เขาคงตบเย่หยวนตายคามือนานแล้ว
เจ้าหนูคนนี้กล้าปั่นหัวเขาเล่นจริงๆ!
แต่ทันทีทันใด สายตาคู่นั้นของเขาพลันเบิกโพลงขึ้นด้วยความตกใจสุดขีด พร้อมจับจ้องไปที่มือของเย่หยวนแลดูจริงจังขนานหนัก
ในมือของเย่หยวนมีป้ายตราผู้อาวุโสอยู่!
ป้ายตราผู้อาวุโสจริงๆ!
รูม่านตาดับของชายชุดดำบีบแคบโดยพลัน เผยท่าทีสุดเหลือเชื่อขณะกล่าวลั่นอุทานว่า
“เจ้า…ไฉนเข้าถึงมีป้ายตราผู้อาวุโสแห่งหอโอสถ? จอมเทพโอสถสามดาวรึจะกลายมาเป็นผู้อาวุโสได้?! ไม่! เดี๋ยวก่อน! นี่ต้องเป็นของปลอมแน่นอน!”
เย่หยวนที่ได้ยินเช่นนั้นพลันคลี่ยิ้มออกมา และโยนป้ายตราให้อีกฝ่ายโดยตรง
อีกฝ่ายรับเข้ามือพร้อมตรวจสอบทันทีโดยละเอียด ก่อนจะเผยสีหน้าประหลาดใจหนักกว่าเก่า
ป้ายตราชิ้นนี้มิใช่ของปลอม!
“เย่หยวน! ผู้อาวุโสแห่งหอโอสถ! เจ้า…เจ้าทำได้อย่างไร?”
ชายชุดดำจับจ้องไปที่เย่หยวนพร้อมเอ่ยถามด้วยความตกใจยิ่ง
เย่หยวนยิ้มและกล่าวว่า
“การจะขึ้นมาเป็นผู้อาวุโสแห่งหอโอสถ ย่อมต้องผ่านเกณฑ์การหลอมกลั่นเป็นธรรมดา ซึ่งคุณสมบัติของข้าก็ครบถ้วนเพียงพอ มันก็แค่นั้น หากท่านสามารถออกจากที่นี่ไปได้ ท่านจะทราบโดยธรรมชาติเองว่าเกิดอะไรขึ้น”
สายตาการจับจ้องของชายชุดดำเผยแววเศร้าโศกออกมาทันที เอ่ยปากกล่าวขึ้นอย่างปวดร้าวใจว่า
“ออกไป? มาถึงที่นี่แล้วเจ้ายังจะกล้าออกไปด้านนอกนั้นอีก? ข้าเล้งหยูถูกขังอยู่ที่นี่มาเป็นเวลาหนึ่งแสนสามหมื่นปีแล้ว จวบจนตอนนี้ก็ยังหาทางออกไม่เจอ! แม้เจ้าจะเป็นถึงผู้อาวุโสหอโอสถ แต่เจ้าก็ไม่มีทางออกไปจากที่นี่ได้เช่นกัน!”
เย่หยวนกล่าวเสียงเย็นตอบว่า
“หนึ่งแสนสามหมื่นปี? ข้าไม่มีเวลามากขนาดนั้น! ข้าจักต้องออกไปให้ได้!”
เล้งหยูตะคอกเสียงแข็งกร้าวตอกว่า
“ประเมินความสามารถตนเองสูงส่งเกินไป! ทุกคนที่เข้ามาในห้วงมิติสืบทอดเพื่อศึกษาแนวคิดแห่งห้วงมิติ ยามนี้…ล้วนตายกันไปหมดแล้ว! มีเพียงข้าเท่านั้นที่ยังรอดชีวิตอยู่ได้จวบจนวันนี้! ในอดีต เราชายชราเองก็เป็นเหมือนเจ้า คิดว่าพรสวรรค์ของข้าเหนือชั้นกว่าใครๆ แต่สุดท้ายก็บรรลุได้แค่ชั้นสวรรค์ระดับหนึ่งขั้นปลายเท่านั้น! แม้พรสวรรค์ของเจ้าจะน่าประทับใจกว่าเราชายชรา แต่แสนกว่าปีที่ข้าเรียนรู้ คิดหรือว่าจะตามทันเราได้เร็วปานนั้น?”
เย่หยวนหยิบป้ายตราผู้อาวุโสเก็บเข้าที่และยิ้มกล่าวว่า
“ไม่ลองแล้วจะรู้ได้อย่างไร?”
ทันทีทันใด เล้งหยูก็ดูสงบลงเล็กน้อยและกล่าวเสียงเย็นขึ้นว่า
“ย้อนกลับไปในตอนที่เราชายชราเพิ่งมาถึงที่นี่ เราเองก็เหมือนกับเจ้าในตอนนี้ไม่มีผิด จิตใจลุกโชนใฝ่เรียนรู้ แต่สุดท้ายกลับถูกความสิ้นหวังกลืนกินไม่เหลือ! ไม่เชื่อลองดูก็ได้!”
เย่หยวนยิ้มแต่มิได้เอ่ยตอบอันใด จากนั้นเขาก็เริ่มนั่งขัดสมาธิทันที
สามปีที่ผ่านมานี้ ความเข้าใจของเย่หยวนต่อแนวคิดแห่งห้วงมิติผ่านเต๋าดาบได้บรรลุไปอีกขั้นแล้ว
เขาจำต้องหาที่สงบเพื่อนั่งสมาธิไตร่ตรองต่อผลกำไรในระยะสามปีนี้ให้ถี่ถ้วนและลึกซึ้ง
เย่หยวนค่อยๆเข้าสู่ห้วงสมาธิ
สำหรับเล้งหยู่ที่อยู่ข้างๆ มีหวู่เฉินค่อยเฝ้าระวังอยู่อบบนั้น เย่หยวนหาได้กังวลไม่
หากเล้งหยูโจมตีขึ้นมา หวู่เฉินจะเข้าควบคุมโถงบัลลังก์ม่วง ดึงเย่หยวนเข้าไปข้างในทันที
เล้งหยูยังคงจับจ้องเย่หยวนที่กำลังนั่งสมาธิไม่คลายอ่อน สายตาคู่นั้นเปี่ยมล้นไปด้วยความรังเกียจ
เล้งหยูหัวเราะเยาะคำโต กล่าวเย้ยขึ้นว่า
“คำเตือนของเราชายชราไม่เข้าหูเจ้าเลยรึไง! พยายามวิ่งชนกำแพงจนสะบักสะบอม ยามนั้นเจ้าจะเข้าใจความสิ้นหวังแบบเดียวกับที่เราชายชราคนนี้รู้สึก!”
…
เวลาผ่านไป เย่หยวนยังคงนั่งสมาธิอยู่แบบนั้นมานานกว่าครึ่งปีแล้ว
ในวันนี้จู่ๆพลันเกิดแรงกระเพื่อมขึ้นกลางห้วงมิติ
ทันทีทันใด เล้งหยูเลืมตาตื่นขึ้น จับจ้องไปที่เย่หยวนด้วยความประหลาดใจยิ่งยวด
“เจ้าเด็กนี่ทะลวงขึ้นสู่ชั้นสวรรค์ระดับหนึ่งขั้นกลางแล้ว? เร็วปานนี้เชียว? ปรากฏว่าเขาเข้าใจแนวคิดแห่งห้วงมิติขั้นต้นตั้งแต่แรกแล้ว! ไม่น่าแปลกใจที่ไฉนถึงฝ่ามาถึงที่นี่ได้! ดูท่าความสามารถของเจ้าเด็กนี่จะไม่ธรรมดาจริงๆ!”
ปฏิกิริยาของเล้งหยูอ่อนไหวต่อแนวคิดแห่งห้วงมิติอย่างมาก เย่หยวนที่สามารถแรงสั่นกระเพื่อมกลางห้วงมิติได้ขนาดนี้ อีกฝ่ายจักต้องบรรลุชั้นสวรรค์ระดับหนึ่งขั้นกลางแล้วอย่างไม่ต้องสงสัย
ตลอดสามปีและนั่งทบทวนอีกครึ่งปีเต็ม ในที่สุดเย่หยวนก็ทะลวงปัญหาคอขวดผ่านไปได้
ในเวลานี้เอง เย่หยวนค่อยๆลุกขึ้นพร้อมหยิบดาบจักรพรรดิล้ำฟ้าออกมา และกระโดดจนเข้าสู่ห้วงแห่งความโกลาหลอีกครั้ง
เล้งหยูจับจ้องภาพฉากนี้ด้วยความมึนงงสุดขีด จับจ้องเงาหลังเย่หยวนที่หายไป ยามนี้อดฉงนใจมิได้เลย
“เจ้าเด็กนั้นจะออกไปทรมานตัวเล่นที่ห้วงมิติด้านนอกเพื่ออันใด?”
เย่หยวนจากไปเป็นเวลานานหลายปี
เมื่อเขากลับมาอีกครั้ง ทั่วร่างกายของเย่หยวนเต็มไปด้วยบาดแผลฉกรรจ์เหวอะหวะ เห็นได้ชัดว่าเขาได้รับบาดเจ็บสาหัสจากห้วงมิติด้านนอกมา
โชคยังดีที่เย่หยวนพกโอสถติดตัวมาจำนวนไม่น้อย หลังจากที่กินโอสถฟื้นฟูลงไป เขาก็กลับไปนั่งสมาธิอย่างเงียบงันอีกครั้ง
หลังจากที่ทบทวนผลกำไรที่ได้มาในช่วงหลายปี เขาก็ถือดาบกระโจนออกไปยังห้วงมิติด้านนอกอีกครั้ง และกลับมาพร้อมบาดแผลฉกรรจ์ ทำแบบนี้ซ้ำแล้วซ้ำเหล่า
เล้งหยูยังคงจับจ้องภาพฉากนี้โดยมิได้ปริปากแสดงความคิดเห็นใดๆ
ในมุมมองของเขา ที่เย่หยวนบรรลุได้ก่อนหน้าล้วนเกิดการความบังเอิญเท่านั้น
แต่อย่างไร ยิ่งแนวคิดแห่งห้วงมิติลึกซึ้งขึ้นเท่าไหร่ เวลาที่ใช้ย่อมเพิ่มขึ้นเป็นหลายสิบทวี
อาจมากถึงสิบถึงสองหมื่นปี หรืออย่างเลวร้ายที่สุดคือใช้เวลาทั้งชั่วชีวิตที่เหลือก็ไม่สามารถบรรลุได้อีกต่อไป!
หากแนวคิดแห่งห้วงมิติบรรลุกันได้ง่ายปานนั้น เล้งหยูคงไม่ต้องติดอยู่ที่นี่มากว่าหนึ่งแสนสามหมื่นปี
…
“เจ้าเคยได้ยินหรือไม่? ผู้อาวุโสเย่สิ้นใจอยู่ในห้วงมิติสืบทอดแล้ว!”
“ข่าวใหญ่ขนาดนี้เป็นไปได้ไหมที่ข้าไม่เคยได้ยิน?”
“ช่างน่าเสียดายยิ่งนัก ยอดอัจฉริยะเฉกเช่นเขา ไฉนถึงต้องหาเรื่องตายเช่นนี้ด้วย!”
“ไม่มีใครเคยออกมาจากห้วงมิติสืบทอดได้ เขาคิดว่าตนเองเป็นใครถึงตัดสินใจทำเรื่องบ้าบิ่นเช่นนี้?”
…
เป็นเวลากว่าสามปีแล้วที่เย่หยวนเข้าไปในห้วงมิติสืบทอด ในที่สุดจุดแสงของเขาก็หายไป
สิ่งนี้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า เย่หยวนได้ตายลงไปแล้วในห้วงมิติสืบทอด
เมื่อข่าวนี้แพร่กระจายออกมาจากหอยุทธ์ ก็ต่างทำให้เขตเมืองชั้นในทั้งหมดต้องสั่นสะเทือน!
ยอดอัจฉริยะที่เคยสว่างไสวดุจแสงสุริยันในช่วงเวลาสั้นๆ ยามนี้กลับอับแสงไปตลอดกาลเสียแล้วในห้วงมิติสืบทอด
บางคนรู้สึกเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทั้งยังมีเห็นใจและทั้งหัวเราะเยาะ
แต่ยามนี้ไม่มีใครสงสัยอีกต่อไปแล้วว่า เย่หยวนจะออกมาจากที่นั่นได้หรือไม่?
“ฮึก ฮึก…ข้าไม่เชื่อ! ข้าไม่เชื่อ!! ผู้อาวุโสเย่จะต้องออกมาจากที่นั่นได้แน่นอน! เขาไม่มีทางตายอยู่ในนั้น!”
หนิงซื่ออวี๋ทิ้งตัวซบลงบนไล่ของผู้อาวุโสรอง นางร้องไห้คร่ำครวญไม่หยุดหย่อน
…………………………………