เมื่อได้เห็นภาพหนิงซืออวี๋อันเศร้าสร้อยตรงหน้า ทางซวนอี้ก็ไม่รู้จะต้องปลอบยังไง
เขาถอนหายใจยาวออกมา “นี่คือทางที่ตัวเขาเลือกเอง ไม่มีใครสามารถเปลี่ยนแปลงมันได้ เฮ้อ… ก่อนจากไปเขาก็สั่งให้ข้าดูแลคนใกล้ชิดของเขาให้ดีเสียด้วย คงมีแค่เรื่องนี้จริง ๆ ที่ข้าพอจะทำเพื่อเขาได้”
เพราะการเข้าไปยังห้วงมิติสืบทอดนี้ทางเย่หยวนไม่ได้พาพวกลี่เอ๋อเข้าไปด้วย
เพราะยังไงเสียการเดินทางครั้งนี้ของเขามันก็เป็นอะไรที่แสนจะอันตราย หากเขาติดอยู่ภายในห้วงโกลาหลนั้นต่อให้เย่หยวนจะมีผลึกปราณเทวะมากมายเพียงใดมันก็คงไม่พอต่อการเดินทางครั้งนี้
และเมื่อไม่มีผลึกปราณเทวะมาเป็นพลังงาน โถงบัลลังก์ม่วงเองก็เป็นได้แค่เศษเหล็ก
เป็นตอนนั้นเองที่จู่ ๆ ลู่ยี่ก็เข้ามาหาก่อนเขาจะก้มหัวลงเคารพซวนอี้และพูดขึ้นอย่างรีบร้อน “ท่านอาจารย์ ผู้อาวุโสใหญ่เรียกท่านไปเข้าประชุมผู้อาวุโส”
ซวนอี้หน้าเสียทันทีก่อนจะหัวเราะเยาะขึ้นมา “เร็วกันเสียจริง! รอกันไม่เป็นเลยรึยังไง?”
ลู่ยี่เองก็มีสีหน้าที่ไม่ค่อยดีนัก “ท่านอาจารย์ แม้เราจะไม่ได้รู้จักผู้อาวุโสเย่มานานมากนัก แต่เขาก็ได้ดูแลช่วยเหลือเรามาอย่างดี พวกเรา…”
ซวนอี้จึงตอบกลับไปอย่างเย็นชา “เจ้าโง่ หรือว่าจริง ๆ แล้วในใจเจ้าคิดว่าอาจารย์ของเจ้าคนนี้เป็นคนไม่รู้จักคุณคนอย่างนั้นรึ?”
ลู่ยี่จึงได้แต่ยิ้มออกมาด้วยสีหน้าท่าทางแสนละอาย ก่อนที่ซวนอี้จะลุกขึ้นและเดินทางไปยังหอผู้อาวุโส
…
หรงซูหันมองหน้าซวนอี้ด้วยหางตาก่อนจะพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มอันมืดมน “แม้ชายแก่คนนี้จะไม่ค่อยลงรอยกับผู้อาวุโสเย่ แต่ข้าเองก็ยังเคารพในพลังฝีมือของเขา! เดิมทีผู้อาวุโสเย่คงได้กลายมาเป็นเสาหลักแห่งเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์ของเรา น่าเสียดายที่เขาต้องจบชีวิตลงในห้วงมิติสืบทอด ชายแก่คนนี้เศร้าเสียใจยิ่งนัก!”
หรงซูทำท่าทางบีบน้ำตา คงไม่มีใครเชื่อหากจะบอกว่าการประชุมผู้อาวุโสครั้งนี้มันเกิดขึ้นเพื่อมาร่วมกันไว้อาลัยแก่เย่หยวน
และแน่นอนว่าไม่นานนักสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปและหันมาพูดกับซวนอี้ “ผู้อาวุโสที่สอง เรื่องในครั้งนี้เจ้าเป็นคนที่มีส่วนรับผิดชอบโดยตรง! เจ้านั้นเป็นผู้ที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับผู้อาวุโสเย่มากที่สุด เจ้าเองก็น่าจะรู้ดีว่าห้วงมิติสืบทอดมันเป็นสถานที่ที่อันตรายเพียงใด เหตุใดถึงไม่คิดที่จะห้ามเขากัน?”
เรื่องนี้จริง ๆ ซวนอี้เองก็รู้สึกผิดกับมันอยู่เต็มหัวใจ
เขาถอนหายใจยาวก่อนจะพยักหน้ารับ “ที่ผู้อาวุโสใหญ่พูดมามันก็ถูก เรื่องในครั้งนี้ข้านั้นมีส่วนรับผิดชอบอย่างมากจริง ๆ หากตอนนั้นข้าห้ามเขาอย่างดึงดันมากกว่านี้บางทีผู้อาวุโสเย่ก็อาจจะไม่ได้เข้าไปในนั้น”
หรงซูจึงพยักหน้าและพูดอย่างเย็นชาออกมา “มาคิดได้ตอนนี้มันจะช่วยอะไร? เมื่อเจ้าไม่คิดจะปฏิเสธเช่นนั้นข้าขอสั่งริบทรัพยากรฝึกฝนของเจ้าเป็นเวลาสิบปี มีอะไรจะค้านไหม?”
ใบหน้าของซวนอี้กระตุกขึ้นทันทีที่ได้ยิน แต่เขาก็ไม่ตอบอะไรกลับไปและเดินออกมาจากที่ประชุมทันที
ผู้อาวุโสใหญ่มองดูแผ่นหลังที่ค่อย ๆ จากไปของซวนอี้พร้อมรอยยิ้มที่มุมปาก
…
ในวันเดียวกันนี้เองทางหลินตงเองก็ได้พาคนมากมายมายังคฤหาสน์เย่
วันนี้เขามาเพื่อไล่พวกลี่เอ๋อออกไป
ตอนนี้เย่หยวนได้ตายลงไปแล้ว เพราะฉะนั้นผู้อาวุโสใหญ่จึงคิดที่จะไล่ล้างสิ่งต่าง ๆ ที่เย่หยวนเหลือทิ้งไว้ให้หมด
“พ่อบ้านหลง เจอกันอีกแล้วนะ” หลินตงมองดูหลงซานด้วยรอยยิ้มที่ไม่เหมือนเป็นการยิ้มสักเท่าไหร่
หลงซานจึงหัวเราะตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เจ้าดูท่ามีความสุขเสียจริงนะ เฮอะ!”
หลินตงรักษารอยยิ้มเดิมไว้และตอบกลับไป “จะไม่ให้ข้ามีความสุขได้อย่างไรกัน? ไม่นานมานี้เจ้ายังเอาแต่ว่ากล่าวสั่งสอนข้า แต่ดูสภาพเจ้าตอนนี้สิ ไม่มีแม้แต่ที่จะซุกหัวนอนอีกต่อไป ดูท่าสิ่งที่ข้าเลือกมันจะไม่ผิดจริง ๆ”
หลงซานสะอึกขึ้นมาทันทีที่ได้ยิน แต่ฝั่งอิ้งหมัวหู่ที่อยู่ข้าง ๆ กลับไม่สามารถทนได้และพูดแทรกขึ้นมา “หลินตง ขอข้าบอกเข้าเลยนะ พี่ข้าไม่มีทางตายแน่! เมื่อเขากลับมาพวกเจ้าเตรียมตัวกันไว้ให้ดีเถอะ!”
หลินตงหัวเราะออกมาเสียงดังทันทีที่ได้ยินแบบนั้น “ฮ่าฮ่า ดูสีหน้าเจ้าสิ ดูท่าเจ้าจะไม่เชื่อจริง ๆ สินะว่าเย่หยวนได้ตายลงแล้ว! พวกเจ้ามันช่างมีความมั่นใจที่เปี่ยมล้นเสียจริง ๆ ห้วงมิติสืบทอดแห่งหอยุทธ์นั้นเป็นสถานที่ไม่เคยมีใครเข้าไปแล้วรอดกลับออกมาได้! แล้วเจ้ายังจะเชื่อว่าเย่หยวนจะกลับมาได้อีก? ช่างน่าขันเสียจริง ๆ ให้ตายสิ!”
ลี่เอ๋อหันไปมองหน้าหลินตงอย่างเย็นชา “แค่คนอื่นไม่มีปัญญากลับออกมา ไม่ได้หมายความว่าพี่เย่จะออกมาไม่ได้เสียหน่อย! หากเจ้าไม่เชื่อเราก็มารอดูกัน!”
หลินตงได้แต่คิดในใจว่าคนกลุ่มนี้มันช่างหัวแข็งไม่ยอมรับความเป็นจริง วันนี้ทีแรกเขาคิดจะมาไล่พวกเขาออกไปอย่างสุภาพ ใครจะไปคิดกันล่ะว่าคนพวกนี้มันจะหัวแข็งไม่ยอมเชื่อว่าเย่หยวนได้ตายลงไปแล้ว
สีหน้าของเขาเริ่มแสดงความไม่พอใจก่อนจะพูดขึ้น “พวกเจ้าทั้งหลาย อย่าคิดว่าแค่มีผู้อาวุโสที่สองคุ้มกะลาหัวแล้วจะทำตัวกร่างยังไงก็ได้เหมือนเมื่อก่อนนะ! ข้าขอบอกเลยว่าหากไม่มีเย่หยวนพวกเจ้ามันก็เป็นแต่ได้มดปลวก! ไม่นานศพของพวกเจ้าจะต้องตายอยู่ข้างถนน! รีบ ๆ ไส้หัวออกไปได้แล้ว!”
อิ้งหมัวหู่ยังคิดจะที่ต่อปากต่อคำต่อ แต่ลี่เอ๋อกลับเป็นคนที่ห้ามไว้และพูดออกมาอย่างเรียบ ๆ “ไปกันเถอะ!”
…
“เด็กน้อย เจ้าอย่าได้ทำอะไรเปลืองตัวอีกเลย! ถ้าเจ้ายังคิดทำแบบนี้สักวันเจ้าจะได้ตายไปจริง ๆ นะ” เล่งหยูหันมามองเย่หยวนที่ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลพร้อมพูดเตือนอย่างเย็นชา
เขาเองก็ไม่ได้อยากจะอยู่ในนี้นัก แต่ว่าห้วงโกลาหลที่ด้านนอกมันอันตรายจนเกินไป
พลาดพลั้งแค่ครั้งเดียวมันก็มากพอจะส่งเขาลงนรกไปได้
ในช่วงเวลาหลายปีมานี้เขาเฝ้ามองดูเย่หยวนในห้วงโกลาหลซ้ำแล้วซ้ำเล่า เขาเอาตัวเองเข้าไปเสี่ยงตายจนเจ็บหนักกลับมาทุกครั้ง เพราะฉะนั้นในใจของเล่งหยูจึงมักจะคอยด่าเย่หยวนว่าเป็นพวกบ้าอยู่เสมอ ๆ
ความเหงาที่ต้องอยู่เดียวดายกว่าหนึ่งแสนสามหมื่นปีมันทำให้เล่งหยูต้องการใครสักคนคุยด้วยอย่างมาก
และหากคน ๆ นั้นที่เขาได้เจอต้องตายลงเสียก่อน เล่งหยูคงได้ร้องไห้ออกมาเป็นสายเลือดแน่ ๆ
แต่เย่หยวนกลับหัวเราะและตอบกลับมา “ข้ามาที่นี่เพื่อจะฝึกฝนทำความเข้าใจแนวคิดแห่งห้วงมิติ หากไม่เข้าไปในห้วงโกลาหลแล้วจะให้ข้าทำอย่างไร? ให้นอนรอความตายอยู่ในนี้อย่างนั้นรึ?”
“เฮอะ ตอนที่ข้าเข้ามาใหม่ ๆ ข้าก็คิดแบบนั้นแหละ วิ่งเข้าวิ่งออกห้วงโกลาหลทุกวี่วัน คิดว่าตัวเองจะฝึกฝนทำความเข้าใจแนวคิดแห่งห้วงมิติได้ แต่เวลาที่ผ่านไปนับพันปีมันทำให้ข้ายิ่งเข้าใจแนวคิดแห่งห้วงมิติน้อยลง ๆ กลับกันบาดแผลที่ข้าได้มันกลับหนักหนาขึ้นเรื่อย ๆ จนถึงวันหนึ่งที่ข้าแทบเอาชีวิตรอดกลับมาไม่ได้ ข้าจึงเลิกคิดที่จะเข้าไปยังห้วงโกลาหล” เล่งหยูเล่า
เล่งหยูนั้นหวาดกลัว ตอนนั้นเขาบาดเจ็บหนักมากจนเกือบตายในห้วงโกลาหล
และหลังจากกลับมาถึงหลุมมิตินี้ เขาก็ต้องใช้เวลาในการพักฟื้นรักษาตัวกว่าสิบปี
ตั้งแต่นั้นมาเขาก็ไม่กล้าที่จะเข้าไปยังห้วงโกลาหลอีกต่อไป
ห้วงโกลาหลที่เย่หยวนได้เคยสัมผัสนั้นมันยังเป็นแค่ส่วนเล็ก ๆ ส่วนหนึ่งของห้วงมิติสืบทอดทั้งหมด พลังของมันนั้นไม่ได้นับว่าแข็งแกร่งอะไรมากมายนัก
แต่หลุมมิติห้วงโกลาหลนี้ต่างออกไป หากมันเกิดพังลงมา พลังที่มันมีคงเรียกได้ว่าเกิดจินตนาการ
แค่ผิดพลาดไปก้าวเดียวชีวิตและการฝึกฝนทั้งหมดคงกลายเป็นศูนย์ในทันที
เย่หยวนยิ้มและตอบ “หากข้าเป็นเจ้าข้าคงเข้าไปอีก!”
พูดจบเย่หยวนก็ไม่สนใจเล่งหยูอีกต่อไป เขาเริ่มการทำสมาธิทันที
เล่งหยูนั้นไม่ได้รู้เลยว่าในช่วงเวลาไม่กี่ปีมานี้ความเข้าใจในแนวคิดแห่งห้วงมิติของเย่หยวนนั้นเพิ่มขึ้นอย่างมากมาย การที่เขานั่งสมาธิในหลุมมิติแห่งนี้ก็เพื่อทำการไตร่ตรองถึงจุดบกพร่องต่าง ๆ เท่านั้น
และตราบใดที่เย่หยวนยังไม่บรรลุระดับ เล่งหยูก็ไม่มีทางรู้ถึงเรื่องนี้ได้เลย
การศึกษาแนวคิดแห่งห้วงมิติด้วยแนวคิดแห่งดาบนั้นมันนับว่าเป็นทางลัดจริง ๆ
แม้ว่าตอนนี้ระดับความยากของมันจะเพิ่มขึ้นมากเป็นร้อยเท่า หรืออาจจะเป็นพันเท่า แต่เย่หยวนนั้นก็สามารถพัฒนาตัวเองได้อย่างไม่มีหยุดเช่นกัน
เย่หยวนพูดออกมา และเขาก็ทำมันได้จริง ๆ
หลาย ๆ ครั้งเย่หยวนจะกลับออกมาจากห้วงโกลาหลในสภาพใกล้ตาย
ทำให้เล่งหยูได้แต่ด่าและท้าทายเขาอยู่ไม่ไกล แต่หลังจากเย่หยวนรักษาอาการบาดเจ็บของตัวเองได้แล้วเขาก็จะมุ่งหน้ากลับเข้าไปในห้วงโกลาหลอีกครั้งอย่างไม่ลังเล
สีหน้าของเล่งหยูในตอนนั้นมันเป็นอะไรที่ยากเกินจะอธิบาย
นอกเสียจากการด่าว่าเย่หยวนอย่างไม่มีหยุดแล้วเล่งหยูก็ไม่รู้จริง ๆ ว่าเขาจะพูดคุยอะไรกับคนบ้าแบบนี้ได้อีก
วันเวลาได้ผ่านไปเช่นนี้ จากวันต่อวัน สู่ปีต่อปี ความเข้าใจในแนวคิดแห่งห้วงมิติของเย่หยวนเองก็เพิ่มมากขึ้นในทุกวัน
…………………………………………..