เย่หยวนลืมตาขึ้นทันทีและก้าวเข้าไปหาเล่งหยูในพริบตา
เขาจับคอของเล่งหยูและกล่าวขึ้นอย่างเย็นชา “ไปกัน ออกไปกันเถอะ”
พูดจบเย่หยวนก็ก้าวเท้าเดินออกไปอีกครั้ง ตอนนี้พวกเขาก้าวเข้าสู่ห้วงโกลาหลแล้วเรียบร้อย
พื้นที่มิติรอบ ๆ ตัวของพวกเขากำลังพังทลายลงอย่างต่อเนื่อง ปล่อยคลื่นพลังอันรุนแรงที่ทำให้เล่งหยูใจตกไปอยู่ที่ตาตุ่ม
พลังเหล่านี้มันรุนแรงเกินบรรยาย หากตัวเขาไปสัมผัสกับมันเข้าสักนิด ร่างกายของเขาคงแหลกเหลวอย่างไม่มีอะไรให้กลบฝังแน่
แต่ทว่าเย่หยวนกลับสามารถพาเขาออกมาได้อย่างง่ายดายราวกับกำลังเดินอยู่ในสวนหลังบ้าน เดินหลบเลี่ยงพลังเหล่านั้นอย่างไม่บาดเจ็บตรงไหนเลยแม้แต่น้อย
แม้จะเห็นภาพรอบตัวค่อย ๆ แตกสลายลงเช่นนั้น แต่ตัวเขาทั้งสองคนกลับไม่ได้รับผลกระทบอะไรราวกับว่าพวกเขาอยู่อีกในอีกโลกหนึ่ง
หลังจากความตื่นเต้นจางหาย ตอนนี้เล่งหยูก็รู้สึกอิจฉาขึ้นมาจับใจ
เขาเข้ามาในห้วงมิติสืบทอดนี้ทำไมกัน?
ไม่ใช่ว่ามาเพื่อทำความเข้าใจแนวคิดแห่งห้วงมิติหรอกหรือ?
เมื่อไม่นานมานี้เขาเอาแต่หลงอยู่กับความโอหัง คิดว่าจะใช้พรสวรรค์ที่มีในการทำความเข้าใจแนวคิดแห่งห้วงมิติเพื่อกลายเป็นยอดคน
แต่ความเป็นจริงที่เขาต้องเจอกลับทำให้เล่งหยูได้ทิ้งความหวังลง
แนวคิดแห่งห้วงมิตินั้นไม่ใช่อะไรที่อัจฉริยะทั่ว ๆ ไปจะเข้าใจมันได้
จนเมื่อไม่นานมานี้เล่งหยูก็ยังเชื่อว่ามันเป็นสิ่งที่มนุษย์ไม่มีทางเข้าใจ คนเราไม่สามารถเข้าใจแนวคิดแห่งห้วงมิติในห้วงมิติสืบทอดนี้ได้เลย
เพราะฉะนั้นตอนที่เขาเห็นเย่หยวนเข้ามาเล่งหยูถึงได้ดูถูกดูแคลนเด็กหนุ่มอย่างเต็มที่ ว่ากล่าวว่าเขาประเมินตัวเองสูงเกินไป
แต่วันนี้เขาได้เห็นแล้วว่าเด็กหนุ่มคนนี้มันสามารถสำเร็จได้จริง ๆ
ที่สำคัญเขายังใช้เวลาแค่หนึ่งร้อยปีเท่านั้น!
นั่นมันทำให้เขาแทบต้องกระอักเลือด
เด็กคนนี้มันสัตว์ประหลาดชัด ๆ
เขานั้นเป็นผู้อาวุโสแห่งหอโอสถและยังสามารถทำความเข้าใจแนวคิดแห่งห้วงมิติได้
จะเก่งกาจอะไรขนาดนั้นกัน?!
…
ส่วนอีกด้านในเวลาหนึ่งร้อยปีที่ผ่านมานี้มันเป็นชีวิตที่แสนลำบากของพวกเยวี่ยเมิ่งลี่
แม้ว่าพวกนางทั้งหลายจะได้รับการดูแลจากซวนอี้ผู้ที่เป็นผู้อาวุโสลำดับสอง แต่เขาก็เป็นถึงผู้อาวุโสลำดับสองผู้ยิ่งใหญ่ จะให้เขามาดูแลชีวิตประจำวันให้มันก็คงไม่ใช่เรื่อง
เมื่อเวลาผ่านนานเข้า ชีวิตของพวกนางทั้งหลายก็ยิ่งเจอแต่ปัญหามากขึ้น
ซวนอี้นั้นจัดที่พักขนาดใหญ่ให้พวกเขาในเมือง ปล่อยให้พวกลี่เอ๋อได้อยู่อย่างสบายใจ
ทั้งอาหารและเสื้อผ้าต่างไม่ใช่ปัญหาเลย
แต่เพียงแค่ว่าคำสั่งของซวนอี้มันก็เป็นได้แค่คำสั่งของเจ้านาย เมื่อมันมาถึงคนเบื้องล่างแล้ว เรื่องที่ว่าจะทำตามแบบไหนมันก็อีกเรื่องอย่างสิ้นเชิง
“ขี้เหนียวกันเสียจริง! ทุกวันนี้ผลึกปราณเทวะที่พวกเราได้รับมันมีแต่จะน้อยลง ๆ เป็นแบบนี้แล้วเราจะฝึกฝนบ่มเพาะวิชากันอย่างไร?” อิ้งหมัวหู่ตะโกนอย่างโกรธเคือง
ลี่เอ๋อจึงถอนหายใจและกล่าวขึ้น “พี่หยวนนั้นหายตัวไปได้หนึ่งร้อยปีแล้ว อำนาจที่เขาเคยมีมันได้จางหายไปจนหมด ตอนนี้ผู้อาวุโสที่สองยังจำบุญคุณเก่าก่อนได้และคอยดูแลเรา แต่ใครจะรู้ว่าบุญคุณนี้มันจะคอยอยู่ค้ำจุนเราไปอีกนานแค่ไหน”
อิ้งหมัวหู่จึงตอบกลับมาอย่างขุ่นแค้น “ไอ้เจ้าโจวเหว่ยนั่น มันจะข่มเหงผู้คนมากเกินไปแล้ว! ไม่ยอมล่ะ วันนี้ข้าจะไปหาผู้อาวุโสที่สอง!”
ลี่เอ๋อได้ยินแบบนั้นจึงรีบดึงตัวของอิ้งหมัวหู่ไว้ “หยุดเลย อย่าได้สร้างปัญหาอีก! ก่อนที่พี่หยวนจะกลับออกมาเราต้องไม่หาเรื่องให้ตัวเองเพิ่มอย่างเด็ดขาด! หากตอนนี้เจ้าไปหาผู้อาวุโสที่สอง แม้จะไม่นับเรื่องที่ว่าเขามีเวลาว่างมาพบเราไหม ต่อให้เจ้าได้พบเขาจริง เขาก็คงจัดการโจวเหว่ยให้แหละ แต่ต่อจากนั้นล่ะ? ในวันข้างหน้าจิตใจของโจวเหว่ยจะเปลี่ยนจากแย่กลายเป็นร้าย! บุญคุณที่พี่หยวนมีมันจะช่วยปกป้องเราได้ระยะหนึ่ง แต่หากบุญคุณนั้นถูกชดใช้จนหมดแล้วล่ะ หากพี่หยวนคิดจะอยู่ในนั้นเป็นพันปีล่ะ เจ้าคิดว่าผู้อาวุโสที่สองจะยังปกป้องเราไปได้นานขนาดนั้นรึ?”
ลี่เอ๋อนั้นสามารถมองสถานการณ์ภาพรวมในตอนนี้ได้อย่างเด็ดขาด
เดิมทีด้วยพลังของพวกนางทั้งหลาย มันไม่มีทางเลยที่จะได้เข้ามาอยู่เขตชั้นในของเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์
เหตุผลเดียวที่พวกนางยังอยู่ในนี้ได้นั้นเป็นเพราะบารมีของเย่หยวน
ผู้อาวุโสที่สองนั้นเป็นยอดคนดีที่หาตัวจับได้ยาก แต่เขาก็ยังมีหน้าที่ต้องคอยจัดการอย่างไม่หยุดหย่อน เขาไม่ได้อยู่ในโลกเดียวกับคนทั่ว ๆ ไปเลย
ทีแรกบางทีผู้อาวุโสที่สองอาจจะดูแลพวกเขาเพราะบุญคุณที่ติดค้างเย่หยวน
แต่ทว่าบุญคุณเมื่อตอบแทนไปเรื่อย ๆ สักวันมันก็ต้องหมด
และยอดฝีมือระดับผู้อาวุโสที่สองนั้นหากเข้าสู่การเก็บตัวทีหนึ่งมันอาจจะกินเวลานับร้อยปี พันปี แล้วเขาจะยังดูแลพวกนางต่อได้ยังไง
เพราะพวกนางหลายคนเป็นได้แค่ประชากรชั้นต่ำของเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์ การได้มาอยู่ในคฤหาสน์ใหญ่โตแบบนี้มันแปลกประหลาดมาตั้งแต่แรกแล้ว
ในสถานการณ์แบบนี้ มีหรือที่คนจะไม่หันมามองด้วยความริษยา?
เยวี่ยเมิ่งลี่นั้นมองเห็นภาพอย่างชัดเจน ตราบใดที่เย่หยวนยังไม่กลับมา สถานการณ์แบบนี้ก็จะดำเนินต่อไปอย่างไม่สิ้นสุด
การไปหาผู้อาวุโสที่สองตอนนี้มันอาจจะทำให้พวกเขาได้รับการช่วยเหลือชั่วคราวมา แต่มันจะทำให้สถานการณ์โดยภาพรวมนั้นแย่ลง
“งั้น…งั้นเราสมควรที่จะถูกข่มเหงแบบนี้ต่อไปรึ?” อิ้งหมัวหู่พูดออกมาอย่างไม่ค่อยพอใจนัก
ลี่เอ๋อนั้นจึงได้แต่ถอนหายใจ “เมื่อพี่หยวนไม่อยู่ เพราะก็มีต้องดูแลตัวเองเท่านั้น! หากมีใครสักคนในหมู่พวกเราเป็นอันตรายไป เจ้าคิดว่าผลที่ตามมามันจะเป็นยังไง? หากเป็นอย่างนั้นพี่หยวนต้องเผชิญหน้ากับเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์นี้เลยนะ!”
อิ้งหมัวหู่เปลี่ยนสีหน้าไปทันทีที่ได้ยิน ตอนนี้เหงื่อเย็นเหยียบค่อย ๆ ไหลท่วมกายของเขาหลังนึกภาพตาม
ด้วยนิสัยของเย่หยวนแล้ว เขาต้องแสดงออกมาอย่างไม่ปิดบังแน่ เมื่อเกิดความขัดแย้งกับกองกำลังของเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์แล้ว ต่อให้ผลมันจะออกมาเป็นยังไงมันก็ไม่ใช่เรื่องที่ดีแน่ ๆ
“พี่ลี่เอ๋อ นายน้อยไม่ได้ออกมาตั้งนานขนาดนี้ หรือว่าเขาจะไปเจอกับอันตรายใดเข้า?” ลู่เอ๋อพูดอย่างกังวลใจ
ลี่เอ๋อจึงยิ้มขึ้นปลอบ “นี่คือนายน้อยของเจ้านะ หรือว่าเจ้าจะยังไม่รู้จักเขาดี? ต่อให้คนทั้งโลกคิดว่าเขาตาย เราก็ต้องเชื่อมั่นในตัวเขาไว้!”
ลู่เอ๋อจึงพยักหน้ารับออกมา “อืม หากนายน้อยออกมาเมื่อไหร่เขาคงทำให้ทั้งเมืองปั่นป่วนอีกครั้งแน่ ๆ ให้พวกที่มารังแกเราได้รู้ซึ้งถึงรสชาติ!”
“ฮ่าๆๆ! นี่มันก็ผ่านมาตั้งหนึ่งร้อยปีแล้วพวกเจ้ายังไม่ตื่นจากฝันหวานเสียทีเรอะ? นายน้อยของพวกเจ้า เย่หยวนมันออกมาอีกไม่ได้แล้ว!”
ตอนนั้นเองที่มีเสียงหัวเราะหนึ่งดังก้องกังวานขึ้น พร้อมประโยคที่เต็มไปด้วยคำดูถูก
เมื่ออิ้งหมัวหู่ได้เห็นใบหน้าของผู้มาเยือน เขาก็ตะโกนขึ้นดว้ยความโกรธทันที “โจวเหว่ย เจ้ามาทำไม?”
นี่คือโจวเหว่ย ผู้พิทักษ์ระดับต่ำของหอยุทธ มีตำแหน่งในจวนเจ้าเมือง
และตอนนี้เขาก็ได้รับหน้าที่ให้มาดูแลพวกเยวี่ยเมิ่งลี่
เพราะนี่เป็นคำสั่งของผู้อาวุโสที่สองโดยตรง ในตอนปีแรก ๆ เขาจึงไม่ได้ทำตัวเลวทรามมากนัก
แต่ไม่นานนักเขาก็โดนซ่งฉีหยางซื้อตัวไป
ทำให้วันเวลาหลังจากนั้นของพวกเยวี่ยเมิ่งลี่ลำบากมากขึ้นในทุก ๆ วัน
ยิ่งนานวันเข้า ผู้อาวุโสที่สองก็ยิ่งงานยุ่ง ทำให้ไม่มีเวลามาสนใจเรื่องนี้อีก
แม้เขาจะได้สั่งให้ลู่ยี่จัดการเรื่องราวต่าง ๆ เกี่ยวกับพวกลี่เอ๋อไปแล้ว แต่ลู่ยี่เองก็มีหน้าที่และการฝึกฝนบ่มเพาะพลังของตัวเอง เพราะฉะนั้นแค่เขาหาเวลามาพบพวกลี่เอ๋อได้ปีละครั้งก็ถือว่าดีมากแล้ว
เมื่อเวลาแบบนั้นผ่านไป ความกล้าของโจวเหว่ยจึงยิ่งเพิ่มพูน
โจวเหว่ยเดินเข้ามากลางโถงและพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มแสนเย็นชา “ข้ามาบอกน่ะ จากกฎของจวนเจ้าเมือง ตั้งแต่วันนี้ไปพวกเจ้าต้องจ่ายห้าแสนผลึกปราณเทวะต่อคนในทุก ๆ ปี หากไม่มีปัญญาจะจ่ายก็จงออกไปจากเมืองชั้นในเสียให้เร็ว! เมืองชั้นในของเราไม่ต้อนรับพวกขี้เกียจสันหลังยาว!”
คนละห้าแสนผลึกปราณเทวะ นี่ไม่ใช่จำนวนที่น้อย ๆ เลย
แม้เย่หยวนจะทิ้งผลึกปราณเทวะไว้ให้พวกเขาในจำนวนหนึ่ง แต่หากต้องจ่ายแบบนี้ไป พวกเขาคงอยู่ได้ไม่นานนัก
เมื่ออิ้งหมัวหู่ได้ยินแบบนั้นเขาก็คำรามขู่ขึ้นทันที “โจวเหว่ย อย่าคิดข่มเหงกันให้มากไป! ที่เราได้อยู่ที่นี่มันเป็นเพราะคำสั่งของผู้อาวุโสที่สอง เจ้ากล้าขู่บังคับเราแบบนี้เรอะ?”
โจวเหว่ยจึงหัวเราะคิกคักก่อนจะตอบมา “เจ้าต่างหากล่ะที่ต้องรู้จักขอบเขตบ้าง! หากข้าเป็นพวกเจ้าข้าคงออกจากเมืองชั้นในไปด้วยตัวเองแล้ว อยู่ที่นี่ต่อไปก็มีแต่จะสร้างความอับอายให้ตัวเอง! ผู้อาวุโสที่สอง? ผู้อาวุโสที่สองท่านมีงานให้ทำไม่มีหมด ท่านจะมาสนใจพวกคนไร้ค่าอย่างพวกเจ้าเรอะ?”
………………………………………………..