พายุพลังวิญญาณบนท้องฟ้านั้นไม่มีทีท่าจะจางหายไปง่ายๆ ตรงกันข้ามมันดูจะรุนแรงขึ้นกว่าก่อนเสียด้วยซ้ำ
ตอนนี้พลังของเขาพึ่งขึ้นสูงจนผ่านช่วงคอขวดของอาณาจักรบรรพชนพระเจ้าชั้นกลางได้แล้ว และกำลังบรรลุสู่ชั้นปลายด้วย
เย่หยวนนั้นเป็นเหมือนกับหลุมดำที่ดูดพลังวิญญาณรอบตัวอย่างบ้าคลั่ง
เวลาร้อยปีที่ไม่ได้รับพลังวิญญาณอย่างเหมาะสมนี้มันทำให้เขาหิวกระหายในพลังอย่างมาก จึงดูดกลืนทุกสิ่งอย่างเข้าไปอย่างไม่มีหยุด
เมื่อเจิ่งชีได้เห็นภาพนั้นเขาก็เกิดมีสีหน้าสุดประหลาดใจก่อนจะกล่าวขึ้น “ท่านอาจารย์ปู่ หรือว่าเย่หยวนเขา…”
เล่งหยูพยักหน้ารับ “หากข้าไม่ได้มาเห็นด้วยตาของตัวเองก็คงไม่เชื่อหรอกว่าจะมีใครที่สามารถบรรลุแนวคิดแห่งห้วงมิติสองดาวได้จริง ๆ ด้วยเวลาแค่ร้อยปี ข้าไม่รู้หรอกนะว่าเจ้าหนุ่มคนนี้ใช้วรยุทธบ่มเพาะแบบไหน แต่การที่จะสามารถทำได้ขนาดนี้มันต้องไม่ธรรมดา ชิชิ เด็กคนนี้มันเป็นตัวตนแห่งความแข็งแกร่งจริงๆ”
เล่งหยูพูดออกมาอย่างเรียบง่าย แต่นั่นกลับกลายเป็นคลื่นลูกใหญ่ซัดเข้าสู่ดวงใจของเจิ่งชี
สองสุดยอดแนวคิดนั้นคือสิ่งที่ทุกคนต่างใฝ่ฝันหา
แต่นอกเสียจากบรรพบุรุษของหอยุทธ์แล้วมันก็ไม่เคยมีใครที่จะสามารถเข้าใจถึงมันได้อีก
หลายต่อหลายปีผ่านไป ตอนนี้หากจะบอกว่าเจิ่งชีไม่ประทับใจมันก็คงเป็นคำโกหก
แต่เขาเองก็ไม่มีปัญญาที่จะลองทำดู
กว่าแสนปีก่อนว่ากันว่าเล่งหยูเป็นอัจฉริยะที่ไม่เคยปรากฏตัวขึ้นมาก่อนในโลกหล้า!
และขนาดคนแบบนั้นยัง ‘ตาย’ ลงในห้วงมิติสืบทอด ใครจะยังกล้าเข้าไปอีก?
ไม่มีใครคาดฝันเลยว่าเย่หยวนจะสามารถเข้าใจมันได้จริงๆ
…
จิตใจของโจวเหว่ยในตอนนี้มันปั่นป่วนสับสนไปหมด ความขมขื่นที่เขามีในตอนนี้มันยากจะหาคำใดมาอธิบาย
เหตุผลที่โจวเหว่ยกล้าปฏิบัติแบบนั้นต่อเยวี่ยเมิ่งลี่ อิ้งหมัวหู่และพรรคพวกมันเป็นเพราะเขาเชื่อว่าเย่หยวนได้ตายลงไปแล้วในห้วงมิติสืบทอด
แต่ความเป็นจริงกลับไม่เป็นไปดั่งที่เขาคาด
“นี่…นี่มันเป็นไปไม่ได้! เขา…ไม่ใช่ว่าเขาตายลงในห้วงมิติสืบทอดแล้วรึ? ทำไมถึงได้ปรากฏตัวออกมาเช่นนี้?!”
ร่างของโจวเหว่ยนั้นสั่นสะท้านอย่างห้ามไม่อยู่ เมื่อเขาได้เห็นร่างของเย่หยวนเขาก็รู้ได้ทันทีว่าชีวิตของเขาคงจบสิ้นกันแล้ว
เมื่อร้อยปีก่อน เย่หยวนนั้นเหนือล้ำกว่าใครๆ มาก กล้าท้าทายแม้กระทั่งท่านผู้อาวุโสใหญ่หรงซู
แต่ตอนนี้เย่หยวนกลับมาพร้อมด้วยแนวคิดแห่งห้วงมิติในมือ
เย่หยวนที่เก่งกาจทั้งด้านการโอสถและการยุทธนั้นเป็นตัวตนที่ยากจะหาใครมาเปรียบในเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์นี้
หากคนอย่างเขาคิดจะกล่าวโทษใครสักคนเข้า มันก็คงไม่มีใครกล้าขัด!
“ฮ่าฮ่าฮ่า สมเป็นพี่ใหญ่จริงๆ โจวเหว่ย ไหนเจ้าว่าพี่ข้าตายในนั้นไปแล้วไง? ลองเบิกตาหมา ๆ ของเจ้าดูดี ๆ อีกทีสิว่าคนที่อยู่ตรงนั้นคือใครกัน!” อิ้งหมัวหู่หัวเราะลั่น
หลายปีมานี้พวกเขาทั้งหลายถูกโจวเหว่ยข่มเหงรังแกมามาก
ตอนนี้เมื่อได้เห็นท่าทางหัวหดเป็นตัวติดกระดองของโจวเหว่ยมันจึงทำให้ผู้คนรู้สึกปลอดโปร่งอย่างบอกไม่ถูก
โจวเหว่ยฝืนยิ้มและพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่เหมือนคนกำลังจะร้องไห้ พร้อมก้มลงคุกเข่าต่อหน้าอิ้งหมัวหู่และพูดขอร้องอย่างขื่นขม “นายน้อยอิ้งหมัวหู่ มัน…มันเป็นเพราะข้าน้อยโง่งมเอง! เรื่อง…เรื่องนี้ข้าน้อยถูกผู้คนบงการมา เพราะเช่นนั้นข้าจึงกล้าทำเรื่องราวสุดโง่งมแบบนั้นออกมา! น-นายน้อยอิ้งหมัวหู่ ช่วยโปรดแสดงความเมตตาอันล้ำฟ้าของท่านแก่ข้าน้อยด้วยเถอะ!”
เยวี่ยเมิ่งลี่และคนอื่นๆ หันมามองโจวเหว่ยราวกับเขาเป็นแค่ขยะชิ้นหนึ่ง เจ้าหมอนี่มันช่างเป็นคนเหลวแหลกไร้จุดยืด ข่มเหงผู้อ่อนแอ หวาดกลัวผู้แข็งแกร่ง เป็นแค่หญ้าที่ทำได้แค่อ่อนไหวไปตามลม
ตอนที่เย่หยวนไม่อยู่เขาทำเรื่องให้ทุกคนต้องลำบากไว้มากมาย
แต่พอเย่หยวนกลับมาเขากลับทำตัวอ่อนน้อมถ่อมตนทันที
นิสัยแบบนี้เป็นสิ่งที่ทุกผู้คนทั้งร้ายดีต่างเกลียดชังและดูแคลนอย่างถึงที่สุด
“เฮอะ จะให้นายน้อยอิ้งหมัวหู่คนนี้ช่วยเมตตาเจ้า? เจ้าไม่มีโอกาสนั้นอีกต่อไปแล้ว! มาขอร้องตอนนี้มันก็เปล่าประโยชน์ เรื่องนี้ข้าจะปล่อยให้พี่ใหญ่จัดการตัดสิน” อิ้งหมัวหู่พูดด้วยรอยยิ้มอันเย็นเยือก
“หากเจ้ารู้ว่าวันนี้จะมาถึงทำไมเมื่อก่อนถึงกล้าทำตัวเช่นนั้นเล่า! ทั้งเจ้าและซ่งฉีหยางต่างรวมหัวกัน แต่เจ้านั้นเป็นคนที่ลงมือทำทุกอย่างออกมา ข้าล่ะอยากรู้จริงๆ ว่าซ่งฉีหยางจะออกมารับหน้าแทนเจ้าไหม!” เยวี่ยเมิ่งลี่ตะคอกออกไป
ตอนนี้จิตใจของโจวเหว่ยนั้นเปี่ยมไปด้วยความเสียใจกับสิ่งที่เคยทำ!
คนเราทำอะไรต้องเหลือทางเลือกไว้หนีเสมอ แต่เขาคนนี้กลับกดดันพวกเยวี่ยเมิ่งลี่จนถึงที่สุด
“ข้า…ข้าน้อยผิดไปแล้ว! ข้าน้อยรู้ตัวดีว่าได้ทำความผิดไว้มากมายแค่ไหน ข้าน้อยมีตาหามีแววไม่ ข้ามันถูกความโลภเข้าครอบงำ ข้า…” โจวเหว่ยพูดไปก็ตบหน้าตัวเองไปด้วย
การกระทำนั้นทำให้สายตาของคนที่ผ่านไปมาต้องหันมามอง แต่โจวเหว่ยเองก็ไม่สนใจกับสายตาดูถูกพวกนั้นอีกแล้ว
โจวเหว่ยรู้ตัวอย่างดีว่าหากเขาไม่สามารถได้รับการอภัยจากคนเหล่านี้ได้ ชีวิตของเขาคงจบสิ้นลงแน่ๆ
ด้วยตำแหน่งของเขาในตอนนี้การไปหาเรื่องผู้อาวุโสนั้นมันไม่ต่างอะไรกับการรนหาที่ตาย
ที่สำคัญด้วยความสามารถของเย่หยวนในตอนนี้เขาคงได้รับตำแหน่งสำคัญในเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์ในไม่ช้า เป็นตัวตนที่แม้แต่ผู้อาวุโสใหญ่ก็ยังไม่กล้าไปยุ่งด้วยง่าย ๆ
โจวเหว่ยทั้งตบและต่อยตัวเองอย่างต่อเนื่องพร้อมพูดคำขอโทษออกมาไม่ขาดสาย มันดังและชัดเจนไปทั่วทั้งบริเวณ
แม้จะอยู่ต่อหน้าผู้คน แต่ยอดยุทธอาณาจักรราชันพระเจ้าผู้อาจหาญอย่างเขากลับตบต่อยด่ากล่าวตัวเองอย่างไม่คิดถึงศักดิ์ศรีใด ๆ
“นั่นมันผู้พิทักษ์โจวเหว่ยไม่ใช่เรอะน่ะ? ทำไมเขาถึงได้ก้มหัวทำตัวแบบนั้นต่อหน้าเหล่านักยุทธอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าแบบนั้นกัน?”
“คนพวกนั้นคือคนสนิทของผู้อาวุโสเย่ไงล่ะ โจวเหว่ยนี่ช่างโง่งม หลายปีมานี้เขานึกว่าผู้อาวุโสเย่ตายลงไปแล้วและข่มเหงรังแกคนพวกนั้นมาตลอด”
“เฮอะ ก็คงไม่มีใครคาดคิดหรือกว่าจะมีคนรอดออกมาจากห้วงมิติสืบทอดได้ แต่ผู้อาวุโสเย่กลับทำได้จริงๆ”
“อ่า เมื่อคนเรามีอำนาจขึ้นมา ขี้หมูขี้หมารอบๆ ตัวเขาก็จะได้ขึ้นสูงสู่สวรรค์ไปด้วย ต่อให้คนสนิทของเขาจะมีพลังยุทธแค่อาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าแล้วจะทำไม? จะมีใครกล้าไปลบหลู่พวกเขาเล่า?”
…
คำพูดของผู้คนที่เดินผ่านไปมานี้มันเหมือนเสียงผายลม แต่เมื่อมันลอยมาเขาหูของพวกลี่เอ๋อมันกลับทำให้เกิดความระคายเคืองไม่น้อย
ตอนนี้จิตใจของทุกผู้คนต่างล้วนเกิดอารมณ์ที่แปลกประหลาดขึ้น
และเป็นอิ้งหมัวหู่ที่พูดขึ้นมาอย่างไร้เยื่อใย “เจ้าไปให้พ้นหน้าข้า ข้าไม่อยากเห็นหน้าสวะของเจ้า! หากยังเอาแต่พูดไม่รู้จักจบแบบนี้ข้าจะไปรายงานพี่ใหญ่ให้จัดการเจ้าให้ถึงตายเลย เชื่อไหมล่ะว่าข้าทำได้จริง?”
โจวเหว่ยจึงดีดตัวขึ้นจากท่าคุกเข่าในทันที “ขอรับ ขอรับ ขอรับ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้ จะไปให้พ้นหน้าท่านเดี๋ยวนี้!”
พูดจบเขาก็พุ่งตัวออกไปทันที
…
คงไม่มีใครคาดคิดว่าเย่หยวนจะใช้เวลาในการบรรลุถึงสิบวันสิบคืนติดต่อกัน
เหล่านักยุทธในเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์ต่างรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าพลังวิญญาณรอบๆ ตัวพวกเขามันเบาบางลงอย่างเห็นได้ชัด
เพราะพลังวิญญาณพวกนี้มันถูกเย่หยวนสูบไปจนหมดเกลี้ยง
ต่อให้มีคนฝึกฝนการบ่มเพาะมากแค่ไหน พวกเขาก็ทำได้แค่ทีละขั้นทีละตอน
ต่อให้พื้นที่นี้จะมีพลังงานวิญญาณที่หนาแน่น แต่พวกเขาก็ไม่มีทางดูดกลืนมันเข้าไปจนหมดได้เลย
แต่เย่หยวนล่ะ? นี่มันเป็นการกระทำที่ไม่สนใจชีวิตของตัวเองเลยแม้แต่นิด
ที่สำคัญคือพลังบ่มเพาะของเย่หยวนกลับยิ่งเพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ อย่างไม่มีหยุด
“การบรรลุของผู้อาวุโสเย่นี่มันช่างบ้าคลั่งจริงๆ ในเวลาไม่กี่วันมานี้เขากลับสามารถบรรลุจากอาณาจักรบรรพชนพระเจ้าชั้นกลางไปสู่อาณาจักรบรรพชนพระเจ้าชั้นปลายได้”
“ดูท่าแล้ว เขาคงไม่ได้คิดจะบรรลุไปถึงอาณาจักรบรรพชนพระเจ้าชั้นสุดใช่ไหมเนี่ย?”
“เป็นไปได้! เจ้าดูสิเขาบรรลุแล้ว! พระเจ้าช่วย คนเราสามารถทำการบ่มเพาะแบบนี้ได้ด้วยเรอะเนี่ย!”
…
การบรรลุชั้นของเย่หยวนนี้มันทำให้ผู้คนที่ได้เห็นต่างเกิดอารมณ์ที่แตกต่างกันไป
อาณาจักรบรรพชนพระเจ้านั้นต่างจากอาณาจักรปกติมากมายนัก การบรรลุแต่ละชั้นมันต้องใช้พลังวิญญาณที่มากมายมหาศาลอย่างเทียบเคียงกันไม่ได้
เหล่านักยุทธต่างๆ ในมหาพิภพถงเทียนต่างใช้วรยุทธบ่มเพาะที่สูงส่งกันทั้งสิ้น แต่มันก็ยังไม่เคยมีใครได้ยินข่าวการบรรลุทีเดียวสองชั้นในเวลาสั้นๆ แบบนี้
แต่เย่หยวนทำได้!
ตอนนี้พลังของเย่หยวนนั้นพุ่งขึ้นสูงจนทะลุผ่านช่วงคอขวดของอาณาจักรบรรพชนพระเจ้าชั้นปลายได้และเข้าสู่อาณาจักรบรรพชนพระเจ้าชั้นสุด
เมื่อเจิ่งชีได้เห็นแบบนี้เขาก็ตกตะลึงจนแทบลืมหายใจ
แต่เป็นเล่งหยูที่พูดขึ้นมา “เด็กคนนี้มันอยากจะชดเชยช่วงเวลาหนึ่งร้อยปีที่ไม่ได้ทำการบ่มเพาะพลัง! ดูท่าแล้วคงใช้เวลาอีกไม่นานนัก ตอนนี้มันได้เวลาชายแก่คนนี้บ้างแล้ว ชิชิ หากชายแก่คนนี้สามารถได้แบบนั้นบ้างล่ะก็มันจะดีสักแค่ไหนกัน!”
………………………………………………….