เย่หยวนนั้นเคยต้องปวดใจเจียนตายตอนที่เสียพ่อไป จากนั้นเขาก็ยังต้องมาพบกับความสูญเสียของมู่หลินเสวียด้วย เพราะฉะนั้นเขาถึงได้ยิ่งให้ความสำคัญกับการปกป้องคนรอบตัวอย่างมาก
เขาไม่คิดที่จะให้คนใกล้ชิดของตัวเองต้องเจอกับอันตรายหรือความยากลำบากแม้แต่น้อย
เพราะฉะนั้นตอนที่เขากลับไปยังดินแดนศักดิ์สิทธิ์และได้พบเจอกับเทพนอกรีตบาปสวรรค์เขาถึงได้รับมือกับอีกฝ่ายด้วยวิธีการสุดคลื่นไส้แบบนั้น
หลายต่อหลายปีมานี้เขาได้ปกป้องดูแลผู้คนรอบกายอย่างไม่ได้คิดเลยว่าคนเหล่านั้นจะกำลังคิดและรู้สึกอย่างไรอยู่
ดูเหมือนว่าวิธีการของเขามันจะทำให้เยวี่ยเมิ่งลี่ อิ้งหมัวหู่หรือแม้แต่ลู่เอ๋อต้องใช้ชีวิตอยู่อย่างอึดอัดใจ
สำหรับเยวี่ยเมิ่งลี่ อิ้งหมัวหู่หรือแม้แต่ลู่เอ๋อนั้นพวกเขาทั้งหลายต่างเป็นคนที่มีศักดิ์ศรีของตัวเองทั้งนั้น
หากไม่เอามาเทียบกับเย่หยวน พวกเขาเองก็เป็นยอดนักยุทธระดับแนวหน้าเหมือนกัน
แม้แต่ในสถานที่ที่เปี่ยมล้นไปด้วยยอดฝีมืออย่างมหาพิภพถงเทียนนี้ พวกเขาเองก็ยังนับได้ว่าเป็นระดับหัวกะทิ
แต่วิธีการที่เย่หยวนใช้มันได้จำกัดพรสวรรค์ของทุก ๆ คนไว้
และดูเหมือนว่าในช่วงเวลาหนึ่งร้อยปีที่เขาหายไปนี้มันจะทำให้ศักดิ์ศรีที่คนเหล่านี้มีได้เผชิญหน้ากับวิกฤต
เย่หยวนถอนหายใจยาวก่อนจะพูดขึ้น “เย่เอ๋อ อิ้งหมัวหู่ ขอโทษทีนะแต่ดูท่าข้าจะไม่ได้สนใจความรู้สึกของพวกเจ้ามากจนเกินไป”
แต่อิ้งหมัวหู่กลับตอบสวนมา “พี่ใหญ่พูดบ้าอะไร! เรื่องที่พี่ใหญ่ทำให้เรา พวกเราต่างเข้าใจมันดีทั้งสิ้น ที่สำคัญพี่ใหญ่เองก็มีปัญญาที่จะทำมันได้ดีด้วย! เพียงแค่ว่าเราเองก็รู้ดีว่าหลายปีมานี้พี่ใหญ่ต้องทนลำบากตรากตรำมากแค่ไหน! เรื่องที่พวกเราอยากแข็งแกร่งนั้นมิใช่เพียงแค่เราไม่อยากเป็นภาระของพี่ใหญ่หรอก แต่เราอยากจะช่วยเป็นกำลังให้พี่ใหญ่ด้วยต่างหาก!”
เยวี่ยเมิ่งลี่จึงกล่าวขึ้นตาม “พี่หยวน ข้า…ข้าแค่อยากช่วยเป็นกำลังให้แทนที่พี่หลินเสวีย”
เย่หยวนพยักหน้าน้อย ๆ ออกมา “ได้ ข้าเข้าใจแล้ว ทุกคนนั้นต่างล้วนมีทางเดินเป็นของตัวเอง เวลาหลายปีที่ผ่านมานี้เป็นข้าเองแหละที่กังวลจนไปปิดกั้นพรสวรรค์ของพวกเจ้า พวกเจ้าจงไปเถอะ แต่…เอาเป็นว่าอีกห้าร้อยปีเท่านั้น! ห้าร้อยปีจากนี้ไม่ว่าพวกเราจะอยู่ที่ไหนกันเราก็จะกลับมาพบกันที่เมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์นี้!”
เมื่อทุกคนได้ยินแบบนั้นพวกเขาก็ต่างแสดงสีหน้าท่าทางโล่งใจออกมา เงื่อนไขแบบนี้ไม่ใช่เรื่องที่พวกเขาทั้งหลายคิดจะปฏิเสธอยู่แล้ว
เย่หยวนเองก็เข้าใจในตัวพวกเขาดี หากพวกเขาตั้งใจมาหาตัวเขาขนาดนี้แล้ว มันก็หมายความว่าการตัดสินใจทั้งหมดมันจบลงไปก่อนแล้ว นี่เป็นแค่การมาบอกกล่าวผลการตัดสินใจเท่านั้น
ลี่เอ๋อนั้นแม้จะดูอ่อนโยนต่างจากอิ้งหมัวหู่ แต่ภายในจิตใจของนางจริง ๆ แล้วก็เป็นคนที่เข้มแข็งไม่น้อย
ไม่เช่นนั้นตอนนั้นนางคงไม่คิดลงไปโลกเบื้องล่างจนได้พบกับเย่หยวนหรอก
และในจำนวนคนทั้งหลาย คนที่เย่หยวนเป็นห่วงที่สุดก็คือลู่เอ๋อ
ลู่เอ๋อนั้นเป็นคนที่ใสซื่อบริสุทธิ์ไม่รู้จักความโหดร้ายของโลกที่แท้จริง ในโลกแห่งจอมยุทธที่บิดเบี้ยวแบบนี้นางคงไม่พ้นต้องไปเจอเรื่องแย่ ๆ เข้าสักวันแน่
เพื่อการนั้นเย่หยวนจึงได้มอบกุ้ยหยุนไปให้แก่ลู่เอ๋อเพื่อให้เขาปกป้องดูแลลู่เอ๋อตลอดการเดินทาง
นอกจากนี้เย่หยวนยังได้มอบสมบัติราชันพระเจ้าเลิศล้ำให้กับทุก ๆ คนไปด้วย
ด้วยสมบัติราชันพระเจ้าเลิศล้ำในมือ พวกเขาทั้งหลายจะสามารถต่อสู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทำให้โอกาสรอดชีวิตของทุก ๆ คนเพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย
ในวันที่พวกเขาออกเดินทาง เย่หยวนกลับไม่คิดที่จะออกไปส่งแม้แต่น้อย
เพราะต่อให้เขาจะออกไปส่งไกลถึงหมื่นลี้แต่สุดท้ายพวกเขาก็ต้องลาจากอยู่ดี
เรื่องราวต่าง ๆ นั้นไม่สามารถคาดเดาได้เลยในการเดินทางครั้งนี้ ทำให้เย่หยวนไม่กล้ามากพอที่จะเผชิญหน้ากับมัน
เขาเก็บตัวอยู่ในคฤหาสน์เย่ด้วยท่าทางที่แสนเศร้าหมอง
“ผู้อาวุโส ข้ามันยังไม่แข็งแกร่งพอ!” เย่หยวนถอนหายใจยาวพร้อมกล่าวคำบ่นให้หวู่เฉินฟัง
หวู่เฉินเงียบไปพักใหญ่ก่อนจะเปิดปากพูดขึ้น “เจ้าทำได้ดีมากแล้ว! ชีวิตเรามันก็เหมือนดวงจันทรา มีข้างขึ้น มีข้างแรม คนเราเองก็มีความโศกเศร้าและการลาจาก เหล่ายอดฝีมืออาณาจักรเต๋าบรรพกาลนั้นยืนอยู่เหนือโลกหล้า แต่ในชีวิตของพวกเขาเองก็ย่อมมีการจากลา จะมีสักกี่คนที่ทนทานรับมันไว้ได้อย่างง่ายดาย? สุดท้ายยอดฝีมืออาณาจักรพระเจ้าก็หาใช่พระเจ้าที่แท้จริงไม่!”
เย่หยวนยิ้มออกมาอย่างขื่นขม “ข้าเข้าใจเหตุผลทั้งหมดดี แต่เมื่อวันนี้มาถึงสุดท้ายข้าก็ยังทำใจยอมรับมันไม่ลง ข้าต้องรีบแข็งแกร่งขึ้นให้เร็วที่สุด แข็งแกร่งจนไม่ต้องให้พวกลี่เอ๋อมาห่วงอีกต่อไป แข็งแกร่งจนไม่มีใครกล้าต้านทานข้าอีก!”
หวู่เฉินจึงพูดขึ้น “เรื่องนั้นข้าไม่เคยสงสัยอยู่แล้ว!”
…
การจากลาไปของพวกลี่เอ๋อมันยิ่งทำให้เย่หยวนตั้งใจแน่วแน่มากขึ้นกว่าเก่า
จากนั้นมาเขาก็ยิ่งโยนตัวเองเข้าสู่การฝึกฝนบ่มเพาะที่หนักหน่วงกว่าเดิม
หลายวันมานี้เย่หยวนได้เก็บตัวอยู่ในศิลาจารึกบัลลังก์พิภพเพื่อพยายามทำให้บัญญัติเทพแห่งถงเทียนขึ้นสู่ระดับสี่
แต่ความเป็นจริงกลับไม่เป็นดั่งหวัง เพราะแม้เขาจะเก็บตัวอยู่ในศิลาจารึกบัลลังก์พิภพมานานนับสิบปีเขาก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะมองเห็นทางไปต่อเลย
การพัฒนาจากอาณาจักรบรรพชนพระเจ้าสู่อาณาจักรราชันพระเจ้านั้นเป็นเส้นทางที่ยากเย็นมากสำหรับนักยุทธ
คนอย่างหนิงเทียนปิงนั้นเป็นเพียงแค่คนส่วนน้อยมาก ๆ
หลาย ๆ คนนั้นไม่รู้เสียด้วยซ้ำว่าอะไรที่กำลังปิดขวางทางขึ้นสู่อาณาจักรราชันพระเจ้าของตัวเอง
และตอนนี้การบ่มเพาะของเย่หยวนก็ได้มาเจอเข้ากับทางตันเป็นครั้งแรก
“ผู้อาวุโส ทำไมข้าถึงได้รู้สึกสับสนเช่นนี้กัน? เหล่าอาณาจักรราชันพระเจ้านั้นจะศึกษาเส้นทางของตนและเปิดโลกภายในของตัวเองขึ้น มีพลังเหนือฟ้าดิน นั่นคือวิธีการที่คนเราจะก้าวเข้าสู่อาณาจักรราชันพระเจ้าไม่ใช่รึ แต่ทำไมในเวลาสิบกว่าปีที่ข้าศึกษาวิธีนั้นมามันกลับไม่มีทีท่าว่าจะสำเร็จเลยล่ะ? ข้าไปพลาดตรงไหนกัน? หรือว่า…จริง ๆ แล้วข้าจะพลาดมาตั้งแต่ต้น?”
หลังไม่สามารถเดินหน้าได้เป็นเวลานาน เย่หยวนก็เริ่มเกิดความรู้สึกสับสนขึ้นในใจจนสุดท้ายทนไม่ไหวต้องบ่นระบายออกมา
ในเวลาสิบกว่าปีมานี้เย่หยวนได้ลองหาทางมากมายมหาศาลที่เขาถงเทียนเพื่อที่จะเปิดโลกภายในของตัวเองออก
แต่ไม่ว่าจะพยายามไปมากเท่าไหร่ เสี่ยงดวงดูมากแค่ไหน คำตอบเดียวที่เขาได้มาก็คือ เส้นทางนี้ปิดตาย!
ศึกษาเส้นทางของตัวเองในฐานะราชันพระเจ้า เปิดโลกภายใน และปกครองทุกสิ่ง นี่คือเส้นทางที่เหล่ายอดฝีมือในมหาพิภพถงเทียนล้วนเคยผ่านกันทั้งสิ้น
แต่เย่หยวนกลับไม่เข้าใจเลยว่าทำไมจากการที่เขาดูวรยุทธ์การบ่มเพาะสามระดับแรกของตัวเองมา เส้นทางที่อยู่ตรงหน้านี้มันกลับไม่ถูกต้อง
เขาเองก็พยายามที่จะใช้กำลังในการบรรลุมาหลายครั้งเช่นกัน แต่มันกลับล้มเหลวลงอย่างไม่เป็นท่าทุก ๆ ครั้งไป
นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตเลยที่เย่หยวนเกิดรู้สึกไม่มั่นใจในเส้นทางที่ตัวเองเลือกเดิน
แน่นอนว่าหวู่เฉินเห็นทุกการกระทำของเย่หยวนอยู่ตลอด
แต่สำหรับตัวเขาเองแล้ว หากให้พูดตรง ๆ เขาเองก็ไม่เข้าใจมันเหมือนกัน หวู่เฉินได้แต่ถอนหายใจออกมา “ตั้งแต่ตอนข้าก็ได้บอกเจ้าไว้แล้วว่าเส้นทางที่เจ้าเลือกนี้มันจะยากเย็นแสนเข็ญ เพราะมันเป็นเส้นทางที่ไม่เคยมีใครเดินบุกเบิกมาก่อน การบ่มเพาะสามระดับแรกของเจ้านั้นมันแข็งแกร่งมากจริง ๆ ชายแก่คนนี้ใช้ชีวิตในดินแดนศักดิ์สิทธิ์และเดินทางไปทั่วมหาพิภพถงเทียนมานับล้านปี แต่ก็ยังไม่เคยพบเจอวรยุทธ์การบ่มเพาะที่แข็งแกร่งขนาดนี้มาก่อน! แต่ตอนนี้การบ่มเพาะของเจ้าได้มาถึงริมแม่น้ำใหญ่แล้ว หากเจ้าข้ามไปได้จากนี้มันก็คงไม่มีอะไรที่ยากเย็นอีก แต่หากเจ้าไม่สามารถข้ามมันไปได้…เจ้าก็คงต้องหยุดใช้วรยุทธ์นี้และไปเริ่มต้นทำการบ่มเพาะเอาใหม่!”
สีหน้าของเย่หยวนเปลี่ยนไปในทันที เพราะนั่นคือผลที่เขาไม่อยากยอมรับมากที่สุด
เขานั้นมั่นใจว่าแม้ตัวเองจะทิ้งบัญญัติเทพแห่งถงเทียนและหันไปเริ่มใช้การบ่มเพาะจอมเทพนิรันดร์อีกครั้งมันก็น่าจะสามารถพาเขาขึ้นสู่จุดที่สูงส่งได้
แต่วิธีการแบบนั้นมันคงทำให้เขาต้องเสียโอกาสในการช่วยมู่หลินเสวียไปในชีวิตนี้
นั่นเป็นเรื่องที่เขาไม่ต้องการมากที่สุด
หากเขาไม่สามารถช่วยมู่หลินเสวียได้ แล้วเขาจะยังต้องทนทุกข์ทรมานไปอีกทำไม?
ต่อให้เขาได้กลายเป็นยอดจักรพรรดิสวรรค์ได้ในอนาคต มีพลังอำนาจเหนือฟ้าทั้งมหาพิภพถงเทียนต้องยอมสยบ แต่มันจะมีประโยชน์อะไร?
หากเจ้าไม่อยู่แล้วข้าจะยังมีชีวิตอยู่ต่อไปเพื่ออะไร?!
ตอนนี้เย่หยวนได้พบเจอกับอุปสรรคชิ้นใหญ่ที่สุดในชีวิตเท่าที่เคยเจอมา
หวู่เฉินหันมามองเย่หยวนและพูดขึ้น “เย่หยวน หากให้พูดตามหลักเหตุผลจริง ๆ ข้าคิดว่าเจ้าควรละทิ้งเส้นทางนี้เสีย! ความไม่แน่นอนของเส้นทางนี้มันมีมากเกินไป!”
เย่หยวนหันกลับไปมองหวู่เฉินอย่างเงียบงัน รอให้อีกฝ่ายพูดขึ้นต่อ
เพราะเขารู้ดีว่าหวู่เฉินไม่ได้อยากจะหมายความแบบนั้นออกมาแน่ ๆ
และไม่นานนักหวู่เฉินก็ยิ้มและพูดขึ้นอย่างอ่อนโยน “ชายแก่คนนี้เป็นวิญญาณประดิษฐ์ที่ใช้ชีวิตมาอย่างยาวนานจนยากจะนับ แต่ก็ยังไม่เคยทำเรื่องบ้า ๆ แบบนี้มาก่อน แต่วันนี้ชายแก่จะขอให้คำแนะนำแก่เจ้าอย่างหนึ่ง จงเชื่อมั่นในตัวเอง!”
…………………………………………