ตัวหวู่เฉินเองก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าเส้นทางนี้มันจะสามารถไปต่อได้หรือไม่ สิ่งเดียวที่เขารู้ตอนนี้คือมันเป็นทางตัน
ความสำเร็จที่เย่หยวนมีในมหาพิภพถงเทียนขณะนี้ หลาย ๆ ด้านมันล้วนแล้วแต่มาจากวรยุทธ์การบ่มเพาะของเขาทั้งสิ้น
เขาเข้าใจดีว่าภายในใจจิตใจของเย่หยวนนั้น การยอมแพ้เสียตอนนี้มันเป็นอะไรที่ไม่มีทางยอมได้
และเมื่อเป็นแบบนั้น คำแนะนำเดียวที่เขาให้ได้ก็คือการวิ่งชนมันไปจนกว่าจะตาย
แต่ให้ต้องล้มลุกคลุกคลานแค่ไหน มันก็ยังดีกว่ายอมแพ้และมาเสียใจภายหลัง
ความสับสนใจดวงตาของเย่หยวนหายไปในทันที แทนที่มาด้วยความแน่วแน่
เขาเริ่มทำสมาธิและกลับไปยังเขาแห่งถงเทียนอีกครั้งเพื่อพยายามทำความเข้าใจในเส้นทางอีกครา
แต่สุดท้ายโชคก็ไม่เข้าข้างเขา ในพริบตาเดียวเวลาอีกสิบปีก็ได้ผ่านพ้นไป แต่เขาก็ยังไม่เห็นหนทางในการพัฒนาการบ่มเพาะขึ้นสู่ระดับสี่เสียที
“ดูเหมือนว่าการเอาแต่เก็บตัวมันจะไม่ช่วยอะไรอีกแล้ว ข้าคงต้องออกไปเดินดูโลกบ้าง เผื่อว่ามันจะจุดประกายช่วยให้ข้าบรรลุอะไรได้” เย่หยวนถอนหายใจออกมา
“อืม ออกไปเดินเล่นด้านนอกก็ดี การอนุมานนี้ของเจ้าเป็นเรื่องน่าเหลือเชื่อมาก แต่ปล่อยไว้แบบนี้ต่อไปมันคงไม่เป็นประโยชน์ต่อการฝึกวรยุทธ์นัก” หวู่เฉินบอก
เย่หยวนพยักหน้ารับ “มันช่างเป็นเรื่องที่ยุ่งยากเสียจริง ๆ หากอาณาจักรต่อไปมิใช่อาณาจักรราชันพระเจ้าแล้วมันจะเป็นอะไร? เส้นทางนี้มันจะใช้งานได้จริง ๆ เหรอ?”
เวลายี่สิบปีมานี้เย่หยวนไม่รู้เลยว่าตัวเองได้อนุมานถึงเส้นทางบรรลุไปมากแค่ไหน แต่ผลที่ออกมามันกลับตรงกันข้ามกับระบบวรยุทธ์บ่มเพาะที่เติบโต
ก่อนหน้านี้เย่หยวนไม่เคยคิดเลยว่าบัญญัติเทพแห่งถงเทียนจะมาถึงขั้นนี้ได้
แต่สุดท้ายมันก็มาเจอทางตันเข้า
ตอนนี้ระบบวรยุทธ์การบ่มเพาะของมหาพิภพถงเทียนนั้นมันเติบโตจนไม่สามารถเติบโตไปได้มากกว่านี้แล้ว
หลังจากผ่านอาณาจักรบรรพชนพระเจ้าไปก็จะเปิดโลกภายในตนเพื่อพัฒนาพลังแห่งโลกให้ตัวเองได้ใช้ กลายเป็นพลังที่เหนือล้ำจนยากหาสิ่งใดเปรียบ
แต่ไม่ว่าเย่หยวนจะพยายามคาดเดาและอนุมานไปมากแค่ไหนมันก็ไม่สามารถผ่านอาณาจักรนี้ไปได้
หวู่เฉินยิ้มออกมา “เวลามันจะช่วยทุกอย่างเอง! ตอนนี้ออกไปดูโลกภายนอกเถอะ บางทีสักวันเจ้าอาจจะได้เห็นเรื่องราวตรงหน้าอย่างกระจ่างชัดขึ้นมาก็ได้”
เย่หยวนพยักหน้าและออกจากการเก็บตัวอย่างไม่ลังเลอีก
ตอนที่เย่หยวนออกมาจากการเก็บตัว เขาก็ได้พบว่าหนิงเทียนปิงรีบมุ่งหน้ามาหาเขาทันที
“ผู้อาวุโสเย่ ในที่สุดท่านก็ออกมาจากการเก็บตัว! ตอนนี้เมืองจักรพรรดิกำลังแย่แล้ว!” หนิงเทียนปิงพูดอย่างร้อนรน
เย่หยวนนั้นแสดงสีหน้าตกใจขึ้นมา “ทำไมกัน? หรือเจ้าจะบอกว่าตอนนี้มีใครกำลังเข้าโจมตีเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์จนพินาศ?”
เพราะแม้เวลาด้านในศิลาจารึกบัลลังก์พิภพจะผ่านไปแล้วกว่ายี่สิบปี แต่เวลาด้านนอกมันก็เพิ่งจะผ่านไปได้แค่สองปีกว่า ๆ เท่านั้น
มันไม่ใช่เวลาที่ยาวนานเลย จึงไม่น่าจะเกิดเรื่องใหญ่ขนาดนั้นขึ้นได้
หนิงเทียนปิงจึงพูดขึ้น “ไม่พินาศแต่ก็ใกล้มากแล้ว! ตอนนี้เมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์ของเราแพ้อย่างราบคาบ!”
จากนั้นหนิงเทียนปิงก็อธิบายเรื่องราวให้เย่หยวนฟังจนได้เข้าใจในที่สุดว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
ดูเหมือนว่าไม่นานมานี้ทางผู้อาวุโสใหญ่ของเมืองจักรพรรดิธารนิรันดร์จะได้พาศิษย์หลายคนมายังเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์ บอกว่ามาเพื่อพูดคุยเรื่องสำคัญ
เดิมทีมันก็ไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่โตอะไร แต่ภายในกลุ่มที่ติดตามมาด้วยมียอดศิษย์อัจฉริยะนามกู่ฮั่น เมื่อพวกเขาทั้งหลายมาถึงเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์ เขาก็มุ่งหน้าไปท้าทายศิษย์ของหอโอสถและหอยุทธ์ไปทั่วในทันที
และกู่ฮั่นคนนี้ก็เป็นยอดคนอัจฉริยะที่รอบหมื่นปีจะมีสักคน
ในเวลาเดือนที่ผ่านมา เขาท้าดวลกับยอดศิษย์ของทั้งหอโอสถและหอยุทธ์ไปทั่ว โดยไม่แพ้เลยแม้สักครั้ง
กู่ฮั่นผู้นี้เป็นเพียงยอดฝีมืออาณาจักรราชันพระเจ้าครึ่งก้าว แต่ในคนที่มีพลังรุ่นเดียวกันกลับไม่มีใครสามารถจัดการเขาลงได้เลย
ที่น่าเกรงขามที่สุดก็คือกู่ฮั่นนั้นเก่งกาจทั้งด้านวิชาโอสถและวิชายุทธ ไม่เพียงแต่มีความสามารถด้านยุทธที่ล้นเหลือแต่เขายังเชิดหน้าใส่เหล่านักหลอมโอสถได้อย่างง่ายดายด้วย
หนิงซืออวี๋นั้นทนไม่ไหวจนไปท้ากู่ฮั่นดวลฝีมือ สุดท้ายแม้แต่นางเองก็ยังแพ้พ่าย
หลังจากหนิงซืออวี๋บรรลุอาณาจักรราชันพระเจ้าได้นางก็ได้กลายเป็นจอมเทพโอสถสี่ดาวไป และกลายเป็นอันดับหนึ่งในบรรดาศิษย์จอมเทพโอสถสามดาวไปแล้ว
แต่แม้แต่นางก็ยังพ่ายให้กับกู่ฮั่นคนนี้ แล้วเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์จะยังเอาหน้าไปไว้ที่ไหนได้?
ที่สำคัญกู่ฮั่นคือคนนี้สามารถท้าทายยอดฝีมือของหอโอสถและหอยุทธ์ได้ทั้งหมด
ทำให้หนิงเทียนปิงถึงขั้นบอกว่าตอนนี้เมืองจักรพรรดิใกล้พินาศเต็มที
เล่าจบหนิงเทียนปิงก็พูดเสริม “ข้าเสียดายจริง ๆ ที่ตัวเองดันบรรลุชั้นมาก่อน ไม่เช่นนั้นข้าคงได้ไปสั่งสอนเด็กน้อยคนนี้ด้วยตัวเองแล้ว! ผู้อาวุโสเย่ ท่านคงไม่เข้าใจว่าเจ้าเด็กคนนั้นมันเหลือขอแค่ไหน!”
เมื่อเย่หยวนได้ยินหนิงเทียนปิงเล่ามาทั้งหมด ได้รู้ว่าแม้แต่หนิงซืออวี๋ยังต้องพ่ายแพ้ลงเขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกตกใจ
เพราะตอนนี้หนิงซืออวี๋นั้นมีความเข้าใจในศาสตร์แห่งโอสถในระดับที่ประทับใจเขามาก
มันก็ไม่ถึงขั้นที่ว่านางแข็งแกร่งที่สุดในเหล่าจอมเทพโอสถสามดาว แต่ในหมู่จอมเทพโอสถสาวดาวคงมีแค่ไม่กี่คนที่จะชนะนางลงได้
เพราะแม้แต่ซ่งฉีหยางก็ยังแพ้พ่ายให้แก่นาง
แม้ว่าคนระดับซ่งฉีหยางจะเอามาเทียบเคียงกับเย่หยวนไม่ได้ แต่เขาเองก็เก่งกาจอย่างไม่ต้องสงสัย
และที่น่ากลัวที่สุดก็คือเด็กคนที่ว่านี้แข็งแกร่งทั้งด้านยุทธและด้านโอสถ ไม่ใช่แค่วิชาโอสถที่เหนือล้ำ แต่วิชายุทธเองก็เก่งกาจเหนือทุกผู้คน ถึงขนาดชนะศิษย์อาณาจักรบรรพชนพระเจ้าอันดับหนึ่งของเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์ได้
ได้ยินแบบนั้นเย่หยวนก็เกิดสงสัยขึ้นทันที “ตอนนี้เขาสามารถชนะเหล่าคนรุ่นใหม่ของเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์ได้หมดแล้ว มันก็น่าจะจบแล้วไม่ใช่รึ? ยังมีอะไรให้ต้องรีบร้อนอีก?”
หนิงเทียนปิงตอบมาด้วยสีหน้าไม่สู้ดี “มันจะจบง่าย ๆ แบบนั้นได้อย่างไรกัน? ตอนนี้เจ้าเด็กคนนั้นมันกำลังท้าประลองกับซ่งฉีหยาง! ในวิชายุทธเขาไม่สามารถก้าวข้ามระดับได้ง่าย ๆ แต่ในวิชาโอสถเขากลับคิดที่จะล้มจอมเทพโอสถสี่ดาวลง!”
ตอนนี้เวลาได้ผ่านไปกว่าหนึ่งร้อยปีแล้ว ด้วยความสามารถระดับซ่งฉีหยาง มันไม่แปลกเลยที่จะสามารถบรรลุอาณาจักรราชันพระเจ้าได้
และในตอนนี้เขาก็ได้ขึ้นเป็นผู้พิทักษ์ชั้นล่างของหอโอสถแล้ว เป็นจอมเทพโอสถสี่ดาว
ด้วยฝีมือระดับนี้ เขาจึงถูกยกย่องให้เป็นยอดคนในหมู่จอมเทพโอสถสี่ดาว
และการเอาชนะคนแบบนี้ลงมันก็เท่ากับการทุบหน้าจอมเทพโอสถสี่ดาวทั้งหลายไปด้วย
เย่หยวนหัวเราะออกมาหลังได้ยินแบบนั้น “เด็กคนนี้มันน่าสนใจ!”
แน่นอนว่าวิชาหลอมโอสถนั้นมันแตกต่างจากวิชายุทธมาก
ในวิชายุทธแล้ว อาณาจักรบรรพชนพระเจ้าไม่มีทางสู้อาณาจักรราชันพระเจ้าได้อย่างเด็ดขาด
แต่วิชาหลอมโอสถมันต่างกัน แม้จะเป็นจอมเทพโอสถสี่ดาวมันก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะหลอมโอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับสามได้ทุกตัว
และต่อให้หลอมได้ คุณภาพที่ได้มันก็ไม่แน่นอน
หนิงเทียนปิงจึงถามขึ้นอย่างสงสัย “เช่นนั้นรึ? ตอนนี้เหล่านักยุทธทั้งเมืองต่างพูดถึงเรื่องของหอโอสถและหอยุทธอย่างไม่ขาดปาก ปล่อยไว้แบบนี้เราคงได้เสียหน้าจนต้องมุดแผ่นดินหนีเป็นแน่”
เย่หยวนเดินเข้าไปตบบ่าและกล่าวขึ้น “พาข้าไปดูที”
…
ในลานหอโอสถ ซ่งฉีหยางกำลังเหงื่อไหลท่วมหน้าพร้อมด่าว่ากู่ฮั่นไปจนถึงโคตรเหง้า
เด็กคนนี้มันช่างร้ายกาจเสียจริง ถึงกับเลือกโอสถที่ยากเย็นระดับนี้ขึ้นมาได้
ตอนนี้สิ่งที่พวกเขากำลังหลอมอยู่เป็นโอสถที่ยากเย็นและสามารถผิดพลาดลงได้ง่าย ๆ ทุกเวลา
หลังจากขึ้นมาเป็นจอมเทพโอสถสี่ดาวแล้ว คนผู้นั้นก็ย่อมต้องเข้าใจวิชาการหลอมโอสถมากกว่าเก่า
เพราะฉะนั้นการที่เลือกโอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับสามมาแบบนี้มันจึงน่าจะเป็นความได้เปรียบ
แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นมันก็ยังยากเย็น
เพราะโอสถที่พวกเขากำลังหลอมนั้นมีนามว่าโอสถดวงใจเมฆาอมตะ เป็นหนึ่งในโอสถที่หลอมยากที่สุดในหมู่โอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับสาม
ความยากง่ายของการหลอมโอสถนั้นเป็นเรื่องที่วัดได้ยาก เพราะโอสถแต่ละตัวก็มีความยากง่ายที่ต่างกันไป
แต่หากต้องจัดออกมาจริง ๆ นับเป็นเก้าระดับ โอสถศิลาวายุสวรรค์หรือโอสถวิญญาณอัสนีสวรรค์สีชาดก็น่าจะอยู่ในระดับห้าส่วนโอสถดวงใจเมฆาอมตะนี้จะจัดอยู่ในระดับหก
ส่วนโอสถสุริยันจักรวาลนั้นเป็นอะไรที่อยู่ในระดับเก้า!
หลังจากซ่งฉีหยางบรรลุมาเป็นจอมเทพโอสถสี่ดาวได้แล้ว เขาจึงพอจะเริ่มหลอมโอสถระดับความยากหกได้บ้าง
เพราะฉะนั้นการหลอมของเขาในตอนนี้จึงเป็นเรื่องที่ยากเย็นมาก
………………………………………………….