ตอนที่ 1638 ช่างใจกว้าง
“เย่หยวน ขอบคุณเจ้ามาก!”
ตอนนี้แม้จะอยู่ต่อหน้าเย่หยวนแต่เจิ่งชีก็ไม่สามารถห้ามน้ำตาที่ไหลนองหน้าได้
การบรรลุเป้าหมายที่เขาหมายตามานับหมื่นๆ ปีนี้มันทำให้จิตใจของเขาโล่งขึ้นมาอย่างอธิบายไม่ถูก
เดิมทีเขานั้นหมดสิ้นซึ่งความหวังใดๆ แล้ว แต่เป็นเย่หยวนที่นำเขาขึ้นมาจากห้วงแห่งความสิ้นหวังนั้น
ความขอบคุณในจิตใจของเขานั้นมันยากเกินกว่าจะใช้คำใดๆ อธิบายออกมา จึงได้แต่พูดคำสั้นๆ ง่ายเช่นนี้
เย่หยวนยิ้มตอบกลับไป “ผู้อาวุโสใหญ่นั้นช่างมีจิตใจที่แน่วแน่นัก เย่หยวนผู้นี้ขอนับถือ ความช่วยเหลือของข้านั้นมันไม่ใช่เรื่องใหญ่โตเลย แต่เราก็ไม่ควรจะอยู่ที่นี่ต่อนานนัก รีบกลับไปกันก่อนดีกว่า”
คนทั้งสองกลับมาหาพวกหนิงเทียนปิงและเย่หยวนก็ใช้แนวคิดแห่งห้วงมิติออกมา นำพาผู้คนที่เหลือรอดทั้งหลายกลับขึ้นมาจากเหวลึก
“ในที่สุดก็ได้เห็นตะวันอีกครา! การเดินทางครั้งนี้มันช่างแสนเหนื่อยยากนัก!”
“อืม จู่ๆ ก็ถูกกดพลังบ่มเพาะอย่างไม่มีเหตุผล มันรู้สึกแย่เสียจริงๆ”
“ต้องขอบคุณผู้อาวุโสเย่! ไม่เช่นนั้นคงไม่มีพวกเราคนใดรอดออกมาได้แน่”
…
คนฝั่งเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์นั้นถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
สถานที่ที่ความเป็นความตายคาบเกี่ยวขนาดนี้ แม้แต่พวกเขาที่เป็นผู้อาวุโสและผู้พิทักษ์ก็ยังไม่เคยพบเจอกับสถานที่ใดที่จะอันตรายได้ขนาดนี้มาก่อนเลย
พวกเขานั้นไม่ได้หวาดกลัวเหล่าสัตว์อสูรอันทรงพลังนั้น แต่สิ่งที่พวกเขาเกรงกลัวที่สุดคือการถูกกดพลังบ่มเพาะต่างหาก
ความไร้พลังนั้นมันทำให้ผู้คนรู้สึกสิ้นหวังขึ้นอย่างไม่สามารถควบคุมตัวเองได้
โชคยังดีที่พวกเขามีเย่หยวนด้วย จึงสามารถรอดกลับออกมาได้
ทางเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์นั้นก็มีผู้สูญเสียไปไม่น้อยเพราะการต่อสู้กับปีศาจ แต่หากเทียบกับเมืองจักรพรรดิอื่นๆ แล้วความเสียหายที่พวกเขามีนั้นนับได้ว่าน้อยที่สุด
เพราะฉะนั้นตอนนี้จิตใจของพวกเขาทั้งหลายจึงรู้สึกขอบคุณและซาบซึ้งเย่หยวนอยู่อย่างเต็มอก
เมื่อพวกเขาทั้งหลายกำลังจะแยกย้ายกันกลับไป ก็มีเงาร่างสองเงาปรากฏขึ้นมาจากภายในเหว แน่นอนว่ามันคือซ่งหยูและเล่ออี้ที่เพิ่งจะกลับขึ้นมา
ทั้งสองคนนั้นร่วมมือกันจัดการข่านซัวจนบาดเจ็บสาหัส แต่ก็ไม่สามารถปลิดชีวิตอีกฝ่ายลงได้
สุดท้ายพวกเขาจึงกลับขึ้นมาพ้นจากสนามแรงโน้มถ่วงและกลับมาเป็นยอดฝีมืออาณาจักรนภาสวรรค์เต็มตัวอีกครั้ง
ทั้งสองคนคุยกันพักหนึ่งและหันหน้ากลับมา
เย่หยวนมองดูพวกเขาทั้งสองด้วยรอยยิ้มที่เปี่ยมไปด้วยความเย็นชา “อะไรรึ? หรือพวกเจ้าคิดจะปล้นคนกลางวันแสกๆ เช่นนี้?”
ซ่งหยูจึงกล่าวขึ้น “ส่งเขาหน่วงเทพบรรพกาลมา! มิเช่นนั้นเจ้าก็ลืมไปได้เลยว่าจะรอดออกไปจากอาณาเขตของเมืองจักรพรรดิธารนิรันดร์ได้! ต่อให้ตอนนี้เราสังหารเจ้าไม่ได้แต่เจ้าคิดหรือว่าจะหนีรอดออกไปได้?”
เย่หยวนจึงนำเขาหน่วงเทพบรรพกาลออกมาถือไว้ในมือ ก่อนจะยิ้มขึ้นน้อยๆ “หากเจ้าอยากได้ก็เอาไปเถอะ!”
พูดจบเย่หยวนก็ส่งมันออกมาเบาๆ ส่งเขาหน่วงเทพบรรพกาลอันใหญ่มหึมานั้นพุ่งตรงไปยังคนทั้งสองด้วยความเร็วสูง
คนทั้งสองไม่ได้รู้สึกถึงแนวคิดใดๆ จึงคิดว่าเย่หยวนยอมที่จะมอบมันออกมาดีๆ จริงๆ
เพราะเมื่อทั้งสองได้กลับมาเป็นยอดฝีมืออาณาจักรนภาสวรรค์แล้ว หากเย่หยวนไม่ได้ใช้แนวคิดใดๆ ออกมาแบบนี้น้ำหนักของเขาหน่วงเทพบรรพกาลเองมันก็ไม่ได้เป็นภัยกับพวกเขาเลย
เมื่อทั้งสองเห็น พวกเขาจึงตื่นเต้นดีใจอย่างบอกไม่ถูก พยายามจะยื่นมือออกมารับเขาหน่วงเทพบรรพกาลไว้ด้วยตัวเอง
แต่ทว่าเมื่อพวกเขาแตะโดนเขาหน่วงเทพบรรพกาลเข้า พวกเขาก็ได้รู้สึกพลังความหนักหน่วงของยอดเขาใหญ่มหาสมุทรไพศาลส่งมายังร่าง
ตู้ม!
“อ่อก!”
คนทั้งสองถูกโจมตีอย่างไม่ทันตั้งรับจึงทำให้ร่างของทั้งคู่ลอยกระเด็นออกไปไกล
และเขาหน่วงเทพบรรพกาลเองก็รับแรงกระแทกสะท้อนกลับมายังมือของเย่หยวนอีกครา
“พวกเจ้านี่มันช่างใจกว้างกันเสียจริงๆ หากพวกเจ้าไม่อยากได้งั้นข้าก็จะรับมันไว้เอง” เย่หยวนพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม
เรื่องนี้มันทำให้คนรอบๆ ต้องยืนนิ่งไม่กล้าไหวติง ได้แต่ยืนมองภาพตรงหน้าอย่างไม่รู้ต้องทำตัวยังไง
ซ่งหยูและเล่ออี้นั้นคือยอดฝีมืออาณาจักรนภาสวรรค์!
แม้ว่าพวกเขาจะบาดเจ็บหนักหน่วงแค่ไหน แต่อาณาจักรนภาสวรรค์นั้นก็ยังเป็นอาณาจักรนภาสวรรค์อยู่วันยันค่ำ พวกเขาคือตัวตนที่ไม่มีทางพ่ายแพ้แก่ใคร
แต่ตอนนี้เย่หยวนกลับส่งร่างของคนทั้งสองลอยละลิ่วด้วยเขาลูกนั้น!
พลังของเขาลูกนี้มันช่างทรงพลังจนเกินกว่าจะทนทานไหว
สายตาที่ทุกคนใช้มองเขาหน่วงเทพบรรพกาลนั้นเปี่ยมไปด้วยความอิจฉาริษยาและความโลภ
แต่เย่หยวนนั้นล้มยอดฝีมืออาณาจักรนภาสวรรค์จนลอยลิ่วได้ มีหรือที่ยังจะมีใครกล้าลงมือแย่งชิงเขาหน่วงเทพบรรพกาลอีก?
อวัยวะภายในของซ่งหยูและเล่ออี้นั้นบาดเจ็บหนักมาก ลมหายใจของพวกเขาติดขัดจนไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้อีก
พวกเขาไม่เคยคิดเลยว่าพลังของการขว้างแค่นั้นมันจะรุนแรงขนาดนี้
ประมาท!
เด็กคนนี้มันจะยอมคายของที่มันกินไปแล้วออกมาง่ายๆ ได้อย่างไรกัน?
แต่พวกเขาก็ไม่เคยคาดคิดเหมือนกันว่าเขาหน่วงเทพบรรพกาลมันจะหนักหน่วงถึงขนาดนี้ หนักถึงขนาดที่ปะทะร่างกายของยอดฝีมืออาณาจักรนภาสวรรค์จนบาดเจ็บได้ขนาดนี้
แน่นอนว่าเรื่องนี้มันเกิดขึ้นได้ก็เพราะว่าเดิมทีพวกเขานั้นบาดเจ็บหนักมาก่อน จึงมีกำลังเหลือไม่ถึง หนึ่งในสิบ
ตอนนี้เมื่ออาการบาดเจ็บเดิมซ้ำเข้ากับอาการบาดเจ็บใหม่ พวกเขาทั้งสองจึงไม่สามารถขยับเคลื่อนไหวใดๆ ได้เลย
เย่หยวนยกมือขึ้นมาประกบขอบคุณหลิงจี้คุน “ผู้อาวุโสใหญ่ พวกเราขอตัวไม่ต้องไปส่งพวกเราหรอก”
หลิงจี้คุนนั้นมีสีหน้าไม่ค่อยสู้ดีเช่นกัน เพราะยังไงเสียซ่งหยูก็เป็นคนของพวกเขา เป็นยอดผู้อาวุโส
แต่ขนาดคนระดับนั้นยังพ่ายแก่เย่หยวน มีหรือที่หลิงจี้คุนจะกล้าลงมือทำอะไรอีก?
เพราะฉะนั้นเย่หยวนจึงพาคนเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์บินกลับออกไปได้อย่างง่ายดาย
…
ข่าวเรื่องที่ว่าเย่หยวนได้รับสมบัติกลับมานั้นมันโด่งดังไปทั่ว จนทำให้เบื้องบนของเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์ต้องเกิดความปั่นป่วน
นอกเสียจากเรื่องนี้มันยังมีเรื่องอื่นเกิดขึ้นมาอีก เพราะผู้อาวุโสที่สองซวนอี้ได้บรรลุสู่อาณาจักรนภาสวรรค์ครึ่งก้าวแล้ว!
แน่นอนว่าทั้งหมดนี้มันต้องขอบคุณเย่หยวน!
คนเบื้องบนจึงได้ประกาศออกมาว่าจะให้ซวนอี้ดำรงตำแหน่งผู้อาวุโสใหญ่หอโอสถแทนหรงซู
นั่นทำให้ภายในเมืองประดับประดาไปด้วยธงจักรพรรดิ
ซวนอี้เมื่อได้รับข่าวการกลับมาของเย่หยวนเขาก็รีบออกมาต้อนรับในทันที
“หึหึ ยินดีด้วยผู้อาวุโสใหญ่!” เย่หยวนยกมือขึ้นประกบแสดงความคารวะ
ซวนอี้จึงหัวเราะขึ้น “เด็กน้อยเจ้ายังจะมีหน้ามาพูดเช่นนี้อีก! หากไม่ใช่เพราะเจ้ามีหรือที่ข้าคนนี้จะบรรลุอาณาจักรได้”
เย่หยวนจึงยิ้มตอบไป “เรื่องนั้นมันล้วนมาจากความสามารถอันยิ่งใหญ่ของผู้อาวุโสใหญ่ ข้าไปเกี่ยวอะไรด้วยกัน? แล้วก็… ผู้อาวุโสที่สองคงไม่ค่อยพอใจใช่หรือไม่?”
ซวนอี้ถอนหายใจ “เรอะ? ชายแก่คนนี้มันไม่ได้สนใจเรื่องชื่อเสียงใดๆ หรอก แต่หรงซุมันต่างกัน ทุกวันนี้เขาเอาแต่อ้างว่าไม่สบายและไม่ยอมออกมาเสียที เรียกว่าใกล้จะถอนตัวแล้วด้วยซ้ำ”
เย่หยวนพยักหน้า “หากเขาไม่ทำอะไรเลย งั้นท่านก็ยิ่งต้องระวัง เพราะแค่ตอนนี้เขาเองก็ยังไม่น่าจะทำอะไรได้มากนัก”
ซวนอี้พยักหน้ารับ เพราะเรื่องพวกนี้มันไม่ใช่ของถนัดของเขาเลยจริงๆ
แต่ที่เขามาวันนี้ไม่ได้มาเพื่อคุยเรื่องเหล่านี้ เขาจึงขมวดคิ้วขึ้น “เจิ่งชีใช้ดาบคลั่งเลือนสลายลงไปในครั้งนี้ มันทำให้ตอนนี้พลังบ่มเพาะของเขาลดต่ำลงมาก อายุขัยเองก็เสียหาย ข้า… ข้าไม่รู้แล้วจริงๆ ว่าต้องทำอย่างไร!”
เย่หยวนนั้นใช้โอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับสาม เพื่อรักษาชีวิตเจิ่งชีไว้ได้ แต่ไม่สามารถรักษาเขาให้หายขาดได้
ตอนนี้พลังบ่มเพาะของเจิ่งชีลดเหลือแค่อาณาจักรราชันพระเจ้าชั้นต้นเท่านั้น ที่สำคัญอายุขัยของเขาเองก็เหลือไม่มากนัก เป็นสภาพที่สาหัสปางตายอย่างแท้จริง
ซวนอี้นั้นเพิ่งจะขึ้นมารับตำแหน่งผู้อาวุโสใหญ่ ภาระนี้จึงตกลงมาที่เขาอย่างเต็มแรง
แต่ความเสียหายที่เจิ่งชีได้รับมันรุนแรงมากเกินไป โอสถธรรมดาๆ ไม่มีผลใดๆ กับเขาเลยแม้แต่น้อย แต่ให้ซวนอี้บรรลุอาณาจักรได้ เขาก็ยังไม่สามารถหลอมโอสถที่ดีพอได้
การหลอมโอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับสี่ นั้นมันต่างจากการหลอมโอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับ 3 อย่างสิ้นเชิง สำหรับซวนอี้แล้วการจะหลอมโอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับสี่ คุณภาพสูงนั้นมันเป็นไปไม่ได้เลย
เพราะฉะนั้นเขาถึงได้มาหาเย่หยวนเพื่อขอคำแนะนำ
เย่หยวนที่ได้ยินเรื่องราวก็ได้แต่ถอนหายใจออกมา “ตอนนี้ข้าเองก็หลอมโอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับ 4 ไม่ได้จนไม่รู้ต้องทำยังไงแล้วเหมือนกัน! ข้าจะแนะนำวิธีการเฉพาะหน้าให้ ตอนนี้ท่านแค่ต้องพยายามรักษาชีวิตผู้อาวุโสใหญ่เจิ่งชีไว้ให้ได้นานที่สุดก่อน ที่เหลือคงต้องรอให้ข้าบรรลุขึ้นอาณาจักรราชันพระเจ้าก่อนถึงจะพอทำอะไรได้”
ซวนอี้เบิกตากว้างด้วยความดีใจ “การออกไปเดินทางครั้งนี้เจ้าคงพบวิธีในการบรรลุแล้วกระมัง?”
แต่เย่หยวนได้แต่ยิ้มแห้งๆ ตอบกลับไป “เอาจริงๆ ข้าเองก็ยังไม่ทราบเลย”
ซวนอี้นั้นเปลี่ยนสีหน้าไปเมื่อได้ยิน เดิมทีด้วยพรสวรรค์อันเหนือล้นของเย่หยวน การบรรลุอาณาจักรราชันพระเจ้ามันไม่น่าจะเป็นเรื่องยากเลยแม้แต่น้อย
ต่อให้เขาจะไม่สามารถทำได้ในช่วงเวลาหนึ่ง แต่มันก็ไม่น่าจะถึงขั้นไม่รู้แนวทางในการบรรลุเลย!
“เป็นไปได้ยังไงกัน? วรยุทธบ่มเพาะที่เจ้าใช้มันแกร่งกล้ามากแท้ๆ การที่เจ้าจะขึ้นสู่อาณาจักรราชันพระเจ้ามันน่าจะไม่ใช่เรื่องยากเย็นเลยหาเจ้าคิดจะทำ” ซวนอี้บอก