ตอนที่ 1639 อัจฉริยะผู้ตกอับ
“ผู้อาวุโสเย่ ท่านกลับมาแล้วหรือ?” เย่หยวนนั้นกำลังเดินกลับเข้ามาในเมืองชั้นในและก็ได้เจอกับพวกหลินตงที่ออกมายิ้มกว้างต้อนรับเย่หยวน
เย่หยวนหันไปมองอีกฝ่ายด้วยหางตาก่อนจะพยักหน้าน้อยๆ และเดินผ่านมาโดยไม่คิดจะตอบกลับใดๆ ไป
แม้คำพูดหลินตงจะฟังดูสุภาพ แต่น้ำเสียงของเขานั้นไม่ได้มีความสุภาพอยู่เลย
ตรงกันข้ามมันกลับเต็มไปด้วยความเย้ยหยันต่อสภาพของอีกฝ่ายมากกว่า
ตอนนี้เพื่อนๆ ที่ข้างกายของเขาเองก็มีสีหน้าไม่ต่างกัน
ได้เห็นว่าเย่หยวนไม่สนใจจะตอบกลับมา หลินตงจึงหันไปพูดกับเพื่อนๆ “จะอวดดีเพื่อ? มันคิดว่าตัวเองยังเป็นผู้อาวุโสอยู่หรือไร? ไม่มีปัญญาจะบรรลุอาณาจักรราชันพระเจ้าแท้ๆ ยังจะมีหน้ามาเรียกตัวเองว่าอัจฉริยะ น่าขันเสียจริงๆ”
“เฮอะ เฮอะ ไม่มีปัญญาบรรลุอาณาจักรราชันพระเจ้า ไม่ว่ามันจะเป็นอัจฉริยะมาจากที่ไหนมันก็เป็นได้แค่อัจฉริยะขี้โม้!”
“ข้าได้ยินข่าวลือจากเบื้องบนมาว่า พวกเขาจะจัดการถอดมันออกจากตพแหน่งผู้อาวุโสด้วย! เฮอะ หากเป็นจริงขึ้นมาเมื่อใดใครมีความแค้นความอับอายใดๆ คงได้มาสะสางกันในวันนั้นแน่!”
“มันยังคิดว่าตัวเองนั้นเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในเมืองจักรพรรดิอยู่เลยน่ะสิถึงได้ทำท่าทางอวดดีแบบนั้นออกมาใส่เรา!”
“ฮ่าฮ่าฮ่า!”
…
คนเหล่านั้นนินทาเขาต่อหน้าอย่างไม่เกรงกลัวเย่หยวนเลยแม้แต่น้อย
ดูท่าแล้วคนพวกนี้คงไม่ได้เห็นเย่หยวนเป็นผู้อาวุโสแล้วจริงๆ
ตอนนี้เวลาได้ผ่านไปกว่า สามร้อยปีแล้วหลังจากเย่หยวนกลับมาจากเหวอัญเชิญปีศาจ!
ในช่วง สามร้อยปีที่ผ่านมาเย่หยวนพยายามไม่รู้กี่ทางต่อกี่ทาง แต่เขาก็ยังไม่สามารถหาส่วนสำคัญที่จะใช้สร้างการบ่มเพาะระดับสี่เสียที
เวลานี้ประตูบานนี้มันถูกปิดตายสำหรับเขา
เย่หยวนนั้นพยายามนึกถึงเขาแห่งถงเทียน พยายามใช้วิชาโอสถช่วยบรรลุ แต่ก็ไม่ได้ผลใดๆ
ต่อให้เก็บตัวฝึกไปเขาก็ไม่สามารถหาวิธีการบรรลุได้ เย่หยวนจึงมักจะออกมาฝึกฝนตัวเองและถึงขั้นหลอมโอสถสุริยันจักรวาลขั้นเทวะโมฆะกินอยู่บ่อยๆ
แต่ความพยายามทั้งหลายมันกลับจมหายไปในมหาสมุทร ไม่ส่งผลใดๆ กลับมาแม้แต่น้อย
ตอนนั้นเย่หยวนนั้นเป็นถึงตัวตนที่ทำให้เมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์ต้องสั่นสะท้าน แม้แต่ยอดฝีมืออาณาจักรนภาสวรรค์เบื้องบนของเมืองก็ยังยอมรับให้เย่หยวนขึ้นมาเป็นผู้อาวุโสแห่งหอโอสถ
ในช่วงเวลานั้นมันเป็นเรื่องที่ดังสนั่นไปทั่ว
ทุกคนต่างเชื่อว่าอีกไม่นานเย่หยวนคงบรรลุขึ้นเป็นยอดฝีมืออาณาจักรราชันพระเจ้า!
แต่ทว่า เหมือนกับที่ไม่มีใครคิดว่าเย่หยวนจะเก่งกาจปานนั้น พวกเขาไม่มีใครเลยที่คิดว่าเย่หยวนจะไม่สามารถบรรลุอาณาจักรราชันพระเจ้าได้จนเวลาล่วงเลยมาถึง สามร้อยปี
สำหรับคนทั่วๆ ไปแล้วการบรรลุอาณาจักรราชันพระเจ้าในเวลา สามร้อยปีถือได้ว่าเป็นเรื่องปกติ
แต่กับเย่หยวนนั้น สามร้อยมันนานจนเกินไป!
เมื่อเขาไม่สามารถบรรลุอาณาจักรราชันพระเจ้าได้เสียที มันก็เริ่มมีคำร้องเรียนและคำบ่นว่าดังขึ้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวตนที่เหนือความเข้าใจผู้คนอย่างเย่หยวนนั้นมันยิ่งดึงดูดความสนใจของผู้คนมากกว่าผุ้อาวุโสคนไหนๆ
เมื่อเกิดเสียงเหล่านี้ขึ้น นับวันมันก็จะยิ่งขยายวงออกกว้าง จนสุดท้ายแม้แต่หลินตงก็ยังกล้าที่จะมากล่าวว่าเย่หยวนต่อหน้าแบบนี้
เย่หยวนนั้นเพิ่งกลับมาจากการฝึกที่นอกเมืองและได้ยินเรื่องการปลดตำแหน่งของตัวเอง
เขาเชื่อว่ามันคงไม่ใช่ข่าวลือที่ไร้มูล ไม่เช่นนั้นหลินตงคงไม่กล้าออกมาทำเรื่องราวถึงขนาดนี้
แต่ทว่าเย่หยวนไม่ได้สนใจเลย
ตำแหน่งผู้อาวุโสนั้นมันเป็นของยิ่งใหญ่ เป็นสิ่งล้ำค่ากับคนอื่น แต่กับเย่หยวนแล้วเขาไม่ได้คิดอะไรมากมายเลยหากต้องออกจากตำแหน่งนี้
เพราะสายตาของเขามันกว้างไกลกว่าตำแหน่งผู้อาวุโสมาก
แม้จะถูกหลินตงว่ากล่าวดูถูกใดๆ เย่หยวนก็ไม่คิดจะสนใจและเดินจากมาทันที
แต่ยิ่งหลินตงได้เห็นเย่หยวนเงียบ พวกเขาก็ยิ่งคิดว่าเย่หยวนกลัว จึงยิ่งพูดจาหนักขึ้นไปต่างๆ นาๆ
พวกเขาถึงขั้นเดิมตามมาล้อเย่หยวนจนถึงที่
“ให้ตายสิ อัจฉริยะผู้ยิ่งใหญ่ของเรามันน่าสมเพชจริงๆ ฮ่าฮ่าฮ่า…”
“เรา เหล่าคนที่แสนจะธรรมดากลับบรรลุอาณาจักรราชันพระเจ้ามาได้แล้วแท้ๆ แต่เย่หยวนผู้เคยถูกเรียกว่าอัจฉริยะกลับไม่มีปัญญาที่จะบรรลุอาณาจักรราชันพระเจ้ามันทำให้ผู้คนที่ได้รู้เรื่องต้องอดขำไม่ได้จริงๆ เลย!”
“เฮอะ ทางเบื้องบนเมืองจักรพรรดิเองยอมให้มันเป็นผู้อาวุโสก็เพราะคิดว่าอีกไม่นานมันคงบรรลุอาณาจักรราชันพระเจ้าได้ แต่ตอนนี้พวกเขาคงได้แต่เสียใจที่มองคนผิดไปแล้ว!”
…
ระหว่างที่คนเหล่านั้นกำลังพูดจาไปเรื่อยเปื่อย จู่ๆ ก็มีพลังกดดันอันรุนแรงปรากฏขึ้นมาพร้อมกับร่างชายแก่คนหนึ่งบนถนน เขาใช้สายตาอันเย็นเหยียบมองมาทางหลินตงอย่างอาฆาต
พวกหลินตงที่ได้เห็นเช่นนั้นก็ได้สติและหุบปากเงียบลงทันที
“ท-ท่านบรรพบุรุษ!” หลินตงและพวกตะโกนออกมา
“ไปให้พ้น!” เล่งหยูตะโกนไล่
“ข-ขอรับท่านบรรพบุรุษ!”
พวกหลินตงไม่คิดเลยว่าเล่งหยูจะออกมาด้วยตัวเองเช่นนี้ พวกเขากลัวจนฉี่แทบราดกางเกงก่อนจะหนีกันหัวซุกหัวซุน
เล่งหยูหันมามองเย่หยวนและกล่าวขึ้นอย่างไม่พอใจ “เจ้าเองก็เป็นถึงผู้อาวุโสแห่งหอโอสถ ทำไมยังปล่อยให้พวกมันว่ากล่าวเจ้าเช่นนั้นอีก?”
ในเวลา 300 ปีมานี้มีจำนวนยอดฝีมืออาณาจักรนภาสวรรค์เพิ่มขึ้น เพราะเขาคนนี้บรรลุอาณาจักรนภาสวรรค์ครึ่งก้าวได้สำเร็จ มันเป็นการสะสมพลังที่ยาวนานจริงๆ
ตอนนี้เล่งหยูจึงมีตำแหน่งในเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์ใหญ่ไม่แพ้อายุรุ่นของตัวเองแล้ว
เล่งหยูนั้นไม่ได้สนใจทางโลกมากมาย แต่ด้วยสภาพเจิ่งชีที่ปางตายนั้นมันจึงทำให้เล่งหยูได้รับหน้าที่ดูแลหอยุทธ์แทน
โลกใบนี้มันคือความเป็นจริง ต่อให้เล่งหยูจะแก่เฒ่าแค่ไหนแต่หากพลังฝีมือของเขาไม่ขยับเคลื่อนไปด้านหน้า และเอาแค่อายุรุ่นมาข่มขู่คนมันก็ไม่มีใครคิดที่จะเกรงกลัว
แต่ตอนนี้มันไม่มีใครกล้าที่จะดูถูกดูแคลนเขา
เย่หยวนหันไปมองหน้าเล่งหยูและพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม “เรื่องที่ว่าตำแหน่งผู้อาวุโสของข้าจะถูกถอด?”
เล่งหยูเงียบลงทันที ก่อนจะถอนหายใจยาวออกมา “เจ้านั้นไม่สามารถบรรลุขึ้นสู่อาณาจักรราชันพระเจ้าได้เสียที มันจึงเริ่มเป็นการยากที่จะปิดปากผู้คนไว้ได้! เรื่องนี้ชายแก่คนนี้เองก็ไม่เห็นด้วยอย่างสุดตัว แต่อีกสองคนนั้นก็มีเรื่องของตัวเองให้ต้องกังวล ไปโทษพวกเขาไม่ได้หรอก”
เย่หยวนนั้นรู้ดีว่าอีกสองคนที่เล่งหยูพูดถึงคือยอดฝีมืออาณาจักรนภาสวรรค์แห่งเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์
คนทั้งสองนั้น คนหนึ่งมีอายรุ่นสูงกว่าเล่งหยู ส่วนอีกคนเป็นคนรุ่นเดียวกันกับเล่งหยู
นี่คือเรื่องภายในเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์ แน่นอนว่าคำพูดของพวกเขาจึงมีน้ำหนักมากที่สุด
เย่หยวนยิ้มออกมาหลังได้ยินแบบนั้น “พี่เล่งหยูท่านกล่าวอะไร? การได้เป็นผู้อาวุโสมันก็ดี แต่การเป็นคนธรรมดาเองมันก็ไม่เลว สุดท้ายมันก็เป็นแค่ชื่อตำแหน่ง หากข้าไม่มีพลังบ่มเพาะที่สูงพอ สุดท้ายทุกอย่างมันก็สูญเปล่า”
เล่งหยูนั้นตกใจในท่าทางของเย่หยวนมาก เขาไม่นึกเลยว่าเย่หยวนจะเปิดรับมันขนาดนี้
เพราะทุกคนต่างรู้ดีว่าทรัพยากรการบ่มเพาะที่เหล่าผู้อาวุโสได้นั้นมันมากมายกว่าคนธรรมดามากแค่ไหน
สำหรับนักยุทธแล้ว อะไรคือสิ่งที่สำคัญที่สุด?
หากไม่ใช่ทรัพยากรการบ่มเพาะ!
เล่งหยูถอนหายใจยาวอีกครั้ง “ข้าล่ะไม่เข้าใจจริงๆ ทำไมคนมากพรสวรรค์อย่างเจ้าที่สามารถยืนเหนือล้ำผู้คนได้ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันถึงไม่สามารถบรรลุอาณาจักรราชันพระเจ้าได้เสียที! ระดับเจ้าต่อให้บรรลุขึ้นสู่อาณาจักรเทพถ่องแท้หรืออาณาจักรเทพสวรรค์ข้าก็ยังไม่คิดว่ามันแปลกเลยด้วยซ้ำ! เรื่องนี้มันกวนใจข้าจริงๆ”
เล่งหยูนั้นรู้ว่าบรรพบุรุษที่เข้าใจแนวคิดแห่งห้วงมิติระดับสองดาวได้นั้นแข็งแกร่งมากมายเพียงใด
แต่เย่หยวนใช้เวลา หนึ่งร้อยปีเท่านั้นเขากลับสามารถเข้าใจแนวคิดแห่งห้วงมิติสองดาวได้เช่นกัน พรสวรรค์และความสามารถของเด็กคนนี้มันไม่ได้ด้อยไปกว่าบรรพบุรุษคนนั้นเลย
แต่ทว่าทำไมเขาถึงไม่สามารถบรรลุอาณาจักรราชันพระเจ้าได้เสียที?
การเปิดโลกเล็กภายในตัวเองนั้นมันเป็นเรื่องที่ยากเย็นสำหรับคนอื่นๆ แต่กับเย่หยวนแล้วมันน่าจะง่ายกว่าปอกกล้วยเสียอีก
จากที่เล่งหยูคาดการณ์ไว้ เย่หยวนน่าจะบรรลุอาณาจักรราชันพระเจ้าได้ในเวลา ห้าสิบปี
แต่นี่เวลากลับผ่านไปแล้วกว่า สามร้อยปี เย่หยวนกลับยังไม่สามารถพัฒนาไปไหนได้เลย
เพราะฉะนั้นเขาจึงไม่สามารถเข้าใจเหตุผลได้ไม่ว่าเขาจะพยายามคิดมันไปมากแค่ไหน
เย่หยวนยิ้ม “วรยุทธบ่มเพาะที่ข้าใช้มันค่อนข้างจะพิเศษไม่เหมือนใคร การบรรลุอาณาจักรต้องใช้โอกาส และโอกาสนั้นมันก็ยังมาไม่ถึงข้าเสียที ข้าจึงไม่สามารถบรรลุขึ้นไปได้”
เล่งหยูกล่าวขึ้น “ไม่รู้เลยจริงๆ ว่ามันเป็นวรยุทธบ่มเพาะแบบไหนถึงสามารถทำให้อัจฉริยะระดับเจ้าติดแหง็กอยู่ได้แบบนี้! ช่างเรื่องนั้นก่อน อีกสามวันข้างหน้าจะมีการประชุมผู้อาวุโส หลายๆ คนคงเตรียมการมาพูดเรื่องเจ้ากันแน่นอน จงระวังไว้ให้ดี”
เย่หยวนจึงยิ้มตอบกลับไป “แค่ตำแหน่งผู้อาวุโส มันมิใช่เรื่องใหญ่ใดๆ หรอก”
ตอนที่ 1639 อัจฉริยะผู้ตกอับ
“ผู้อาวุโสเย่ ท่านกลับมาแล้วหรือ?” เย่หยวนนั้นกำลังเดินกลับเข้ามาในเมืองชั้นในและก็ได้เจอกับพวกหลินตงที่ออกมายิ้มกว้างต้อนรับเย่หยวน
เย่หยวนหันไปมองอีกฝ่ายด้วยหางตาก่อนจะพยักหน้าน้อยๆ และเดินผ่านมาโดยไม่คิดจะตอบกลับใดๆ ไป
แม้คำพูดหลินตงจะฟังดูสุภาพ แต่น้ำเสียงของเขานั้นไม่ได้มีความสุภาพอยู่เลย
ตรงกันข้ามมันกลับเต็มไปด้วยความเย้ยหยันต่อสภาพของอีกฝ่ายมากกว่า
ตอนนี้เพื่อนๆ ที่ข้างกายของเขาเองก็มีสีหน้าไม่ต่างกัน
ได้เห็นว่าเย่หยวนไม่สนใจจะตอบกลับมา หลินตงจึงหันไปพูดกับเพื่อนๆ “จะอวดดีเพื่อ? มันคิดว่าตัวเองยังเป็นผู้อาวุโสอยู่หรือไร? ไม่มีปัญญาจะบรรลุอาณาจักรราชันพระเจ้าแท้ๆ ยังจะมีหน้ามาเรียกตัวเองว่าอัจฉริยะ น่าขันเสียจริงๆ”
“เฮอะ เฮอะ ไม่มีปัญญาบรรลุอาณาจักรราชันพระเจ้า ไม่ว่ามันจะเป็นอัจฉริยะมาจากที่ไหนมันก็เป็นได้แค่อัจฉริยะขี้โม้!”
“ข้าได้ยินข่าวลือจากเบื้องบนมาว่า พวกเขาจะจัดการถอดมันออกจากตพแหน่งผู้อาวุโสด้วย! เฮอะ หากเป็นจริงขึ้นมาเมื่อใดใครมีความแค้นความอับอายใดๆ คงได้มาสะสางกันในวันนั้นแน่!”
“มันยังคิดว่าตัวเองนั้นเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในเมืองจักรพรรดิอยู่เลยน่ะสิถึงได้ทำท่าทางอวดดีแบบนั้นออกมาใส่เรา!”
“ฮ่าฮ่าฮ่า!”
…
คนเหล่านั้นนินทาเขาต่อหน้าอย่างไม่เกรงกลัวเย่หยวนเลยแม้แต่น้อย
ดูท่าแล้วคนพวกนี้คงไม่ได้เห็นเย่หยวนเป็นผู้อาวุโสแล้วจริงๆ
ตอนนี้เวลาได้ผ่านไปกว่า สามร้อยปีแล้วหลังจากเย่หยวนกลับมาจากเหวอัญเชิญปีศาจ!
ในช่วง สามร้อยปีที่ผ่านมาเย่หยวนพยายามไม่รู้กี่ทางต่อกี่ทาง แต่เขาก็ยังไม่สามารถหาส่วนสำคัญที่จะใช้สร้างการบ่มเพาะระดับสี่เสียที
เวลานี้ประตูบานนี้มันถูกปิดตายสำหรับเขา
เย่หยวนนั้นพยายามนึกถึงเขาแห่งถงเทียน พยายามใช้วิชาโอสถช่วยบรรลุ แต่ก็ไม่ได้ผลใดๆ
ต่อให้เก็บตัวฝึกไปเขาก็ไม่สามารถหาวิธีการบรรลุได้ เย่หยวนจึงมักจะออกมาฝึกฝนตัวเองและถึงขั้นหลอมโอสถสุริยันจักรวาลขั้นเทวะโมฆะกินอยู่บ่อยๆ
แต่ความพยายามทั้งหลายมันกลับจมหายไปในมหาสมุทร ไม่ส่งผลใดๆ กลับมาแม้แต่น้อย
ตอนนั้นเย่หยวนนั้นเป็นถึงตัวตนที่ทำให้เมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์ต้องสั่นสะท้าน แม้แต่ยอดฝีมืออาณาจักรนภาสวรรค์เบื้องบนของเมืองก็ยังยอมรับให้เย่หยวนขึ้นมาเป็นผู้อาวุโสแห่งหอโอสถ
ในช่วงเวลานั้นมันเป็นเรื่องที่ดังสนั่นไปทั่ว
ทุกคนต่างเชื่อว่าอีกไม่นานเย่หยวนคงบรรลุขึ้นเป็นยอดฝีมืออาณาจักรราชันพระเจ้า!
แต่ทว่า เหมือนกับที่ไม่มีใครคิดว่าเย่หยวนจะเก่งกาจปานนั้น พวกเขาไม่มีใครเลยที่คิดว่าเย่หยวนจะไม่สามารถบรรลุอาณาจักรราชันพระเจ้าได้จนเวลาล่วงเลยมาถึง สามร้อยปี
สำหรับคนทั่วๆ ไปแล้วการบรรลุอาณาจักรราชันพระเจ้าในเวลา สามร้อยปีถือได้ว่าเป็นเรื่องปกติ
แต่กับเย่หยวนนั้น สามร้อยมันนานจนเกินไป!
เมื่อเขาไม่สามารถบรรลุอาณาจักรราชันพระเจ้าได้เสียที มันก็เริ่มมีคำร้องเรียนและคำบ่นว่าดังขึ้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวตนที่เหนือความเข้าใจผู้คนอย่างเย่หยวนนั้นมันยิ่งดึงดูดความสนใจของผู้คนมากกว่าผุ้อาวุโสคนไหนๆ
เมื่อเกิดเสียงเหล่านี้ขึ้น นับวันมันก็จะยิ่งขยายวงออกกว้าง จนสุดท้ายแม้แต่หลินตงก็ยังกล้าที่จะมากล่าวว่าเย่หยวนต่อหน้าแบบนี้
เย่หยวนนั้นเพิ่งกลับมาจากการฝึกที่นอกเมืองและได้ยินเรื่องการปลดตำแหน่งของตัวเอง
เขาเชื่อว่ามันคงไม่ใช่ข่าวลือที่ไร้มูล ไม่เช่นนั้นหลินตงคงไม่กล้าออกมาทำเรื่องราวถึงขนาดนี้
แต่ทว่าเย่หยวนไม่ได้สนใจเลย
ตำแหน่งผู้อาวุโสนั้นมันเป็นของยิ่งใหญ่ เป็นสิ่งล้ำค่ากับคนอื่น แต่กับเย่หยวนแล้วเขาไม่ได้คิดอะไรมากมายเลยหากต้องออกจากตำแหน่งนี้
เพราะสายตาของเขามันกว้างไกลกว่าตำแหน่งผู้อาวุโสมาก
แม้จะถูกหลินตงว่ากล่าวดูถูกใดๆ เย่หยวนก็ไม่คิดจะสนใจและเดินจากมาทันที
แต่ยิ่งหลินตงได้เห็นเย่หยวนเงียบ พวกเขาก็ยิ่งคิดว่าเย่หยวนกลัว จึงยิ่งพูดจาหนักขึ้นไปต่างๆ นาๆ
พวกเขาถึงขั้นเดิมตามมาล้อเย่หยวนจนถึงที่
“ให้ตายสิ อัจฉริยะผู้ยิ่งใหญ่ของเรามันน่าสมเพชจริงๆ ฮ่าฮ่าฮ่า…”
“เรา เหล่าคนที่แสนจะธรรมดากลับบรรลุอาณาจักรราชันพระเจ้ามาได้แล้วแท้ๆ แต่เย่หยวนผู้เคยถูกเรียกว่าอัจฉริยะกลับไม่มีปัญญาที่จะบรรลุอาณาจักรราชันพระเจ้ามันทำให้ผู้คนที่ได้รู้เรื่องต้องอดขำไม่ได้จริงๆ เลย!”
“เฮอะ ทางเบื้องบนเมืองจักรพรรดิเองยอมให้มันเป็นผู้อาวุโสก็เพราะคิดว่าอีกไม่นานมันคงบรรลุอาณาจักรราชันพระเจ้าได้ แต่ตอนนี้พวกเขาคงได้แต่เสียใจที่มองคนผิดไปแล้ว!”
…
ระหว่างที่คนเหล่านั้นกำลังพูดจาไปเรื่อยเปื่อย จู่ๆ ก็มีพลังกดดันอันรุนแรงปรากฏขึ้นมาพร้อมกับร่างชายแก่คนหนึ่งบนถนน เขาใช้สายตาอันเย็นเหยียบมองมาทางหลินตงอย่างอาฆาต
พวกหลินตงที่ได้เห็นเช่นนั้นก็ได้สติและหุบปากเงียบลงทันที
“ท-ท่านบรรพบุรุษ!” หลินตงและพวกตะโกนออกมา
“ไปให้พ้น!” เล่งหยูตะโกนไล่
“ข-ขอรับท่านบรรพบุรุษ!”
พวกหลินตงไม่คิดเลยว่าเล่งหยูจะออกมาด้วยตัวเองเช่นนี้ พวกเขากลัวจนฉี่แทบราดกางเกงก่อนจะหนีกันหัวซุกหัวซุน
เล่งหยูหันมามองเย่หยวนและกล่าวขึ้นอย่างไม่พอใจ “เจ้าเองก็เป็นถึงผู้อาวุโสแห่งหอโอสถ ทำไมยังปล่อยให้พวกมันว่ากล่าวเจ้าเช่นนั้นอีก?”
ในเวลา 300 ปีมานี้มีจำนวนยอดฝีมืออาณาจักรนภาสวรรค์เพิ่มขึ้น เพราะเขาคนนี้บรรลุอาณาจักรนภาสวรรค์ครึ่งก้าวได้สำเร็จ มันเป็นการสะสมพลังที่ยาวนานจริงๆ
ตอนนี้เล่งหยูจึงมีตำแหน่งในเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์ใหญ่ไม่แพ้อายุรุ่นของตัวเองแล้ว
เล่งหยูนั้นไม่ได้สนใจทางโลกมากมาย แต่ด้วยสภาพเจิ่งชีที่ปางตายนั้นมันจึงทำให้เล่งหยูได้รับหน้าที่ดูแลหอยุทธ์แทน
โลกใบนี้มันคือความเป็นจริง ต่อให้เล่งหยูจะแก่เฒ่าแค่ไหนแต่หากพลังฝีมือของเขาไม่ขยับเคลื่อนไปด้านหน้า และเอาแค่อายุรุ่นมาข่มขู่คนมันก็ไม่มีใครคิดที่จะเกรงกลัว
แต่ตอนนี้มันไม่มีใครกล้าที่จะดูถูกดูแคลนเขา
เย่หยวนหันไปมองหน้าเล่งหยูและพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม “เรื่องที่ว่าตำแหน่งผู้อาวุโสของข้าจะถูกถอด?”
เล่งหยูเงียบลงทันที ก่อนจะถอนหายใจยาวออกมา “เจ้านั้นไม่สามารถบรรลุขึ้นสู่อาณาจักรราชันพระเจ้าได้เสียที มันจึงเริ่มเป็นการยากที่จะปิดปากผู้คนไว้ได้! เรื่องนี้ชายแก่คนนี้เองก็ไม่เห็นด้วยอย่างสุดตัว แต่อีกสองคนนั้นก็มีเรื่องของตัวเองให้ต้องกังวล ไปโทษพวกเขาไม่ได้หรอก”
เย่หยวนนั้นรู้ดีว่าอีกสองคนที่เล่งหยูพูดถึงคือยอดฝีมืออาณาจักรนภาสวรรค์แห่งเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์
คนทั้งสองนั้น คนหนึ่งมีอายรุ่นสูงกว่าเล่งหยู ส่วนอีกคนเป็นคนรุ่นเดียวกันกับเล่งหยู
นี่คือเรื่องภายในเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์ แน่นอนว่าคำพูดของพวกเขาจึงมีน้ำหนักมากที่สุด
เย่หยวนยิ้มออกมาหลังได้ยินแบบนั้น “พี่เล่งหยูท่านกล่าวอะไร? การได้เป็นผู้อาวุโสมันก็ดี แต่การเป็นคนธรรมดาเองมันก็ไม่เลว สุดท้ายมันก็เป็นแค่ชื่อตำแหน่ง หากข้าไม่มีพลังบ่มเพาะที่สูงพอ สุดท้ายทุกอย่างมันก็สูญเปล่า”
เล่งหยูนั้นตกใจในท่าทางของเย่หยวนมาก เขาไม่นึกเลยว่าเย่หยวนจะเปิดรับมันขนาดนี้
เพราะทุกคนต่างรู้ดีว่าทรัพยากรการบ่มเพาะที่เหล่าผู้อาวุโสได้นั้นมันมากมายกว่าคนธรรมดามากแค่ไหน
สำหรับนักยุทธแล้ว อะไรคือสิ่งที่สำคัญที่สุด?
หากไม่ใช่ทรัพยากรการบ่มเพาะ!
เล่งหยูถอนหายใจยาวอีกครั้ง “ข้าล่ะไม่เข้าใจจริงๆ ทำไมคนมากพรสวรรค์อย่างเจ้าที่สามารถยืนเหนือล้ำผู้คนได้ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันถึงไม่สามารถบรรลุอาณาจักรราชันพระเจ้าได้เสียที! ระดับเจ้าต่อให้บรรลุขึ้นสู่อาณาจักรเทพถ่องแท้หรืออาณาจักรเทพสวรรค์ข้าก็ยังไม่คิดว่ามันแปลกเลยด้วยซ้ำ! เรื่องนี้มันกวนใจข้าจริงๆ”
เล่งหยูนั้นรู้ว่าบรรพบุรุษที่เข้าใจแนวคิดแห่งห้วงมิติระดับสองดาวได้นั้นแข็งแกร่งมากมายเพียงใด
แต่เย่หยวนใช้เวลา หนึ่งร้อยปีเท่านั้นเขากลับสามารถเข้าใจแนวคิดแห่งห้วงมิติสองดาวได้เช่นกัน พรสวรรค์และความสามารถของเด็กคนนี้มันไม่ได้ด้อยไปกว่าบรรพบุรุษคนนั้นเลย
แต่ทว่าทำไมเขาถึงไม่สามารถบรรลุอาณาจักรราชันพระเจ้าได้เสียที?
การเปิดโลกเล็กภายในตัวเองนั้นมันเป็นเรื่องที่ยากเย็นสำหรับคนอื่นๆ แต่กับเย่หยวนแล้วมันน่าจะง่ายกว่าปอกกล้วยเสียอีก
จากที่เล่งหยูคาดการณ์ไว้ เย่หยวนน่าจะบรรลุอาณาจักรราชันพระเจ้าได้ในเวลา ห้าสิบปี
แต่นี่เวลากลับผ่านไปแล้วกว่า สามร้อยปี เย่หยวนกลับยังไม่สามารถพัฒนาไปไหนได้เลย
เพราะฉะนั้นเขาจึงไม่สามารถเข้าใจเหตุผลได้ไม่ว่าเขาจะพยายามคิดมันไปมากแค่ไหน
เย่หยวนยิ้ม “วรยุทธบ่มเพาะที่ข้าใช้มันค่อนข้างจะพิเศษไม่เหมือนใคร การบรรลุอาณาจักรต้องใช้โอกาส และโอกาสนั้นมันก็ยังมาไม่ถึงข้าเสียที ข้าจึงไม่สามารถบรรลุขึ้นไปได้”
เล่งหยูกล่าวขึ้น “ไม่รู้เลยจริงๆ ว่ามันเป็นวรยุทธบ่มเพาะแบบไหนถึงสามารถทำให้อัจฉริยะระดับเจ้าติดแหง็กอยู่ได้แบบนี้! ช่างเรื่องนั้นก่อน อีกสามวันข้างหน้าจะมีการประชุมผู้อาวุโส หลายๆ คนคงเตรียมการมาพูดเรื่องเจ้ากันแน่นอน จงระวังไว้ให้ดี”
เย่หยวนจึงยิ้มตอบกลับไป “แค่ตำแหน่งผู้อาวุโส มันมิใช่เรื่องใหญ่ใดๆ หรอก”