ตอนที่ 1642 ไล่ล่า
การจากไปของเย่หยวนในครั้งนี้มันดูกระจอกงอกง่อยไม่น้อย เพราะนอกจากพวกซวนอี้ เล่งหยูและเจิ่งชีแล้ว มันก็ไม่มีใครอีกเลยที่ตามมาส่ง
เล่งหยูตบบ่าเย่หยวนและพูดให้กำลังใจเขา “เด็กน้อยเจ้าทำได้แน่ ชายแก่คนนี้จะรอวันที่เจ้าได้ก้าวข้ามประตูมังกร”
เย่หยวนยิ้มตอบกลับไป “ข้าไม่เคยสงสัยเรื่องนั้นอยู่แล้ว”
เล่งหยูจึงหัวเราะลั่นเมื่อได้ยิน “ดีมาก เด็กที่มีทุกอย่างเพียบพร้อมเจ้านี่ข้าไม่เคยพบเคยเจอมาก่อนจริง ๆ แต่การเดินทางครั้งนี้มันแสนไกล จงระวังตัวไว้ให้ดีเถิด!”
หากเป็นอัจฉริยะธรรมดา ๆ การติดอยู่ในอาณาจักรเดิม ๆ แบบนี้มานานหลายต่อหลายปี พวกเขาอาจจะหมดแรงที่จะอยู่ต่อและปล่อยให้ตัวเองจมอยู่กับความสิ้นหวัง
แต่เล่งหยูนั้นไม่เห็นอารมณ์ด้านลบใด ๆ ออกมาจากตัวของเย่หยวนเลยแม้แต่น้อย
เขายังคงมีท่าทีสดใสและสดชื่น ทำให้ผู้ได้พบเห็นรู้สึกโล่งใจและสงบอย่างบอกไม่ถูก
นี่คือสิ่งที่ทำให้พวกเล่งหยูทั้งหลายมั่นใจ มั่นใจว่าสักวันเย่หยวนต้องบรรลุอาณาจักรขึ้นมาได้แน่ ๆ
เย่หยวนพยักหน้ารับ “ขอโปรดวางใจ เย่ผู้นี้มีไม้เด็ดใช้ปกป้องตัวเองได้ไม่ยาก พวกเจ้าทั้งหลายจงรอฟังข่าวดีเถิด ปัญหาเดียวที่กวนใจข้าตอนนี้คือข้าไม่สามารถรักษาผู้อาวุโสใหญ่ให้หายได้ก่อนจะออกเดินทาง”
เจิ่งชีนั้นมีสภาพที่ย่ำแย่มากเหมือนคนป่วยหนักใกล้ตายเต็มที แต่เขาก็ยังสามารถมีชีวิตทนอยู่มาได้จนถึงทุกวันนี้
เมื่อได้ยินว่าเย่หยวนจะเดินทางออกจากเมือง เจิ่งชีจึงยืนยันอย่างสุดตัวว่าเขาจะต้องออกมาส่งเย่หยวนให้ได้
เจิ่งชียิ้มออกมา “หากไม่ใช่เพราะเจ้า ชายแก่คนนี้คงไม่มีชีวิตไปแล้วเสียด้วยซ้ำ ตอนนี้เมื่อความแค้นของอาจารย์ถูกสะสางแล้ว ชายแก่คนนี้ก็ไม่มีอะไรค้างคาในโลกอีก เจ้าจงไปเถอะ หากข้าทนมาจนถึงทุกวันนี้ได้ข้าก็ทนรอจนกว่าเจ้าจะกลับมาได้!”
เมื่อได้เห็นว่าสภาพจิตใจของเจิ่งชียังดี เย่หยวนก็ยิ้มและพยักหน้ารับ
ที่ด้านข้าง หนิงซืออวี๋นั้นมีท่าทางไม่ค่อยพอใจมาก ก่อนจะบ่นออกมาเบา ๆ “หนิงเทียนปิงนี่มันช่างไร้สำนึกเสียจริง ๆ ไหนว่าจะออกมาส่งเขาด้วยกัน แต่สุดท้ายกลับหายหน้าไปเนี่ย”
เวลากว่า 300 ปีมานี้หนิงซืออวี๋เองก็สามารถบรรลุขึ้นสู่อาณาจักรราชันพระเจ้าได้แล้วและกลายเป็นจอมเทพโอสถ 4 ดาว
นี่เองก็เป็นส่วนหนึ่งในเหตุผลของความไม่พอใจจากทุก ๆ คนรอบตัว
เพราะหนิงซืออวี๋ผู้นี้นับได้ว่าเป็นศิษย์ของเย่หยวนไปครึ่งตัว ตอนนี้แม้แต่ศิษย์ยังบรรลุได้ แต่อาจารย์กลับยังย่ำอยู่ในอาณาจักรบรรพชนพระเจ้า มันเป็นเรื่องที่ทำให้ผู้คนต่างดูถูกเขาหนักขึ้น
แต่ว่าตัวหนิงซืออวี๋นั้นไม่ได้คิดอะไรแบบนั้นเลย นางรู้สึกขอบพระคุณในตัวเย่หยวนมาก
เพราะหากไม่มีเย่หยวนแล้ว มีหรือที่นางจะบรรลุได้รวดเร็วขนาดนี้ แถมเขายังช่วยสอนเรื่องราวต่าง ๆ ในวิชาโอสถให้นางอีกมากมาย
เย่หยวนยิ้มตอบมา “หากสวรรค์อยากให้เราลาจากเราก็ไม่มีทางใด ๆ ไปขัดขืนได้ แค่พวกเจ้ามากันในวันนี้ข้าก็รู้สึกซาบซึ้งจนไม่รู้จะขอบคุณอย่างไรแล้ว”
เพราะเพื่อนแท้คือเพื่อนยามยาก!
การนับว่าคนเรามีเพื่อนแท้มากแค่ไหนนั้นไม่ได้นับจากจำนวนคนที่อยู่รอบ ๆ ตัวเมื่อเรามีอำนาจและเงินตรา แต่เป็นการนับคนที่ยังยอมอยู่รอบตัวเราเวลาเราลำบากและหัวเราะไปด้วยกันในยามที่เราตกร่วงลงมาสู่จุดต่ำสุด
และแน่นอนว่าผู้คนที่ยืนอยู่เบื้องหน้าเย่หยวนในวันนี้คือเพื่อนแท้ของเขาในเมืองเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์อย่างไม่ต้องสงสัย
แต่เรื่องของหนิงเทียนปิงนั้นกลับอยู่นอกเหนือการคาดการณ์ของเย่หยวนไปมาก
เพราะด้วยความเข้าใจที่ตัวเขามีต่อหนิงเทียนปิง เขาไม่น่าจะเป็นคนที่เลวร้ายใด ๆ
เว้นเสียแต่ว่าเขาจะปกปิดนิสัยที่แท้จริงได้เก่งกาจปานนั้น
แต่นายน้อยอย่างหนิงเทียนปิง เขาก็ไม่น่าจะเป็นคนที่เลวทรามไปถึงแก่นได้
“เอาล่ะ แม้ต่อให้พวกเจ้าเดินไปส่งแจกไกลนับหมื่นลี้แต่สุดท้ายเราก็ต้องลาจาก เพราะฉะนั้นทุกคนโปรดกลับเข้าเมืองเถอะ”
เย่หยวนยกมือขึ้นประกบหมัดเป็นท่าแสดงความคารวะต่อทุกคนเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะหันหน้าเดินจากไป
…
บนยอดหอยุทธ์ มีสายตาสองคู่กำลังจ้องมองการจากไปของเย่หยวน
“พี่โซ ท่านแน่ใจเรื่องเย่หยวนแล้วรึ?” เหอชงถามชายวัยกลางคนที่อยู่ด้านข้าง
และการที่ทำให้คนอย่างเหอชงเรียกว่าพี่โซได้แบบนี้ แน่นอนว่าเขาคนนี้ต้องเป็นเจ้าเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์ โซชูเจียผู้ที่ทำอะไรเคลื่อนไหวอย่างลับ ๆ ไม่ให้ใครรู้ตลอดมา
โซชูเจียยิ้มตอบ “เด็กคนนี้มันไม่ใช่คนที่ตื้นเขินแบบนั้นหรอก! แค่ติดหล่มนิดหน่อยจะเป็นอะไรไป? สุดท้ายคนที่หัวเราะทีหลังย่อมดังกว่าเสมอ”
เหอชงจึงตอบกลับมาด้วยท่าทางประหลาดใจ “ดูจากภายนอกแล้วเป็นไปได้ว่าเขาจะใช้พรสวรรค์ของตัวเองจนสิ้นแล้ว การบรรลุอาณาจักรราชันพระเจ้าสำหรับเขามันคงกลายเป็นเรื่องที่แสนยากแน่ อัจฉริยะที่กลายเป็นแบบนี้มันก็มีไม่น้อยเลย กลับกันข้าคิดว่าการถือเขาหน่วงเทพบรรพกาลไว้ในมือเราเองมันจะพึ่งพาได้มากกว่า”
โซชูเจียหัวเราะใส่คำพูดนั้นของเหอชง ก่อนจะส่ายหัวออกมาอย่างแรงทั้ง ๆ ที่ยังหัวเราะอยู่ “แหม เจ้านี่ ลองมองเรื่องราวให้กว้างไกลหน่อยสิ! เจ้าคิดว่าเย่หยวนจะมีแค่เขาหน่วงเทพบรรพกาลเป็นสมบัติติดตัวชิ้นเดียวรึ?”
นั่นทำให้สีหน้าของเหอชงเปลี่ยนไปทันที “ใช่เลย! เพราะข้าเองก็ไม่แน่ใจเรื่องนี้ตอนนั้นข้าถึงไม่ได้ลงมือใด ๆ ไป”
โซชูเจียจึงยิ้มขึ้นตอบ “ดีแล้วที่เจ้าไม่ได้ลงมือใด ๆ ไม่เช่นนั้นคงเป็นภาระข้าที่ต้องไปหยุดเจ้าไว้!”
เหอชงจึงถามขึ้นอย่างแตกตื่น “ทำไมล่ะ?”
โซชูเจียตอบ “ตอนนั้น ตอนที่เด็กคนนี้ยังอยู่ในเมืองชั้นนอก เขากลับสามารถดึงดูดความสนใจของข้าได้ด้วยความสามารถทั้งทางยุทธ์และทางโอสถที่เหนือล้ำ ความลับของเย่หยวนนั้นมันมีมากกว่าแค่เขาหน่วงเทพบรรพกาล! และเขายังต่างจากเด็กอัจฉริยะคนอื่น ๆ อย่างมหาศาล เขาฉลาด ความคิดดีไม่ประมาท แถมมีความคิดที่เปิดกว้าง คนเช่นนี้มันเคี้ยวยาก มีทุกสิ่งอย่างที่เพียบพร้อมในการขึ้นมาเป็นสุดยอดฝีมือไร้ที่เปรียบ! ด้วยนิสัยแบบนั้นมีหรือที่เขาจะยอมปล่อยให้ตัวเองตกอยู่ในอันตราย?”
ยิ่งเหอชงได้ฟัง เขาก็ยิ่งตื่นตระหนก “พี่หมายถึง?”
เพราะต่อให้ทั้งคู่จะเป็นยอดฝีมืออาณาจักรนภาสวรรค์เหมือน ๆ กัน แต่ในด้านความคิดเจ้าการนั้นเหอชงเทียบกับโซชูเจียไม่ได้เลย
โซชูเจียตอบกลับมา “ตอนนั้นข้าได้สั่งคำสั่งออกไป ให้เขาได้กลายเป็นผู้อาวุโสของหอโอสถ หากเขาปฏิเสธก็หมายความว่าเขาไม่มีปัญญาที่จะปกป้องตนเอง เพราะตัวเขานั้นมีความลับอยู่อย่างมากมายมหาศาล เมื่อใดก็ตามที่เขาตกเป็นเป้าสายตาของยอดฝีมืออาณาจักรนภาสวรรค์มันจะไม่เท่ากับว่าเป็นหายนะหรือ? แต่เมื่อเขากล้าตอบตกลงมันจะหมายความว่าอย่างไร?”
เหอชงขนลุกไปทั่งร่างและตอบกลับมา “หมายความว่าเขาแข็งแกร่งพอที่จะปกป้องตัวเองได้โดยไม่เกรงกลัวพวกเราเลย!”
โซชูเจียยิ้มขึ้น “อย่างน้อย ๆ เราก็ไม่น่าจะสังหารเขาลงได้! คนเช่นนี้หากเขาไม่ตายผลที่ตามมามันคงกลายเป็นหายนะ ดูอย่างเรื่องของฉินเซียวแห่งเมืองหลวงอู๋เมิ่งสิ เรื่องนั้นมันอาจจะเกิดขึ้นกับเราบ้างก็ได้!”
เหอชงเริ่มเข้าใจและทำให้ร่างกายของเขาปล่อยเหงื่อเย็นเหยียบออกมา “แบบนี้นี่เอง! พี่โซช่างคิดการไกลนัก! แต่หากเป็นเช่นนั้นพวกข่าวที่ลือกันอยู่ในเมืองนี้ ทำไมพี่ไม่พูดออกมาเสียหน่อยล่ะ หรืออย่างน้อย ๆ ก็ไปยื้อเย่หยวนไว้ให้อยู่ในเมือง?”
โซชูเจียตอบกลับมา “ก็จริงที่ว่าเขานั้นเป็นอัจฉริยะ แต่เขาเป็นอัจฉริยะที่ยังไม่เติบโตเต็มที่ การกักขังเขาไว้ในกรงแบบนั้นมันจะเป็นการทำร้ายเขามากกว่า ที่สำคัญด้วยนิสัยนั้นของเขาต่อให้เราจะยื้อไว้แค่ไหนมันก็คงไม่อยู่ ตอนนี้การบรรลุอาณาจักรราชันพระเจ้านั้นคงเป็นภาระที่หนักหน่วงของตัวเขาเป็นแน่ หากก้าวข้ามมันไปได้ เขาก็จะเจอทางโล่งให้เดินต่อทันที แต่หากข้ามไม่ได้เขาก็คงเลือนหายไปกับฝูงชน! แต่ทว่าหลังจากมองดูเขามาหลายต่อหลายปี ข้านั้นยังมีความมั่นใจในตัวเขาคนนี้อยู่”
…
เย่หยวนไม่ได้รับรู้เลยว่าโซชูเจียประเมินตัวเขาไว้สูงแค่ไหน
เขาเดินทางออกมาเรื่อย ๆ จนไกลลิบนับล้านลี้
ในป่าทึบแห่งหนึ่ง จู่ ๆ เย่หยวนก็หยุดฝีเท้าลง
เย่หยวนกล่าวขึ้น “ที่นี่มันก็ไกลพอแล้ว เป็นสถานที่เหมาะจะดักปล้นฆ่าคนนัก หากพวกเจ้ายังไม่คิดแสดงตัวออกมาแล้วจะยังรออะไรอีก?”
เขานั้นไม่ได้ใช้โถงบัลลังก์ม่วงเลยระหว่างที่เดินทางมา เพราะเขาสัมผัสได้ถึงร่องรอยของผู้คนที่ติดตามมาในก้าวแรกที่เดินออกจากเมือง
และไม่นานนักเมื่อเสียงค่อย ๆ เงียบลงก็ปรากฏเงาร่างสี่เงาออกมาในป่าทึบล้อมเย่หยวนไว้ทุกทิศ
ยอดฝีมืออาณาจักรราชันพระเจ้าสามดาวคนหนึ่งที่นำมากล่าวขึ้น “เฮอะ ตาดีสมเป็นผู้อาวุโส! เราดูถูกเจ้าเกินไปจริง ๆ”
ชายคนนี้เป็นคนที่เย่หยวนรู้จัก เขามีนามว่าเฮาเหลียงเป็นผู้พิทักษ์หอยุทธ์ชั้นสูง และเป็นเพื่อนคนหนึ่งของหลินตงด้วย
ดูท่ากลุ่มนักล่าในครานี้จะเกี่ยวพันกับหลินตง
“ยอดฝีมืออาณาจักรราชันพระเจ้าสามดาว และยอดฝีมืออาณาจักรราชันพระเจ้าสองดาวสามคน พวกเจ้าจะประเมินเย่คนนี้สูงเกินไปแล้ว!” เย่หยวนตอบกลับไปด้วยรอยยิ้มที่เย็นเหยียบ
เฮาเหลียงที่ค่อย ๆ เคลื่อนตัวเข้าตำแหน่งล้อมเย่หยวนกล่าวขึ้น “ใคร ๆ ต่างก็รู้ว่าผู้อาวุโสเย่แม้จะเป็นแค่นักยุทธอาณาจักรบรรพชนพระเจ้าแต่กลับสังหารนักยุทธอาณาจักรราชันพระเจ้าหนึ่งดาวได้ การจัดการคนเช่นนี้ไม่ว่าเราจะเตรียมตัวมาหนักแค่ไหนมันก็ไม่มีคำว่าเกินไปหรอก! ด้วยจำนวนเท่านี้เราต้องสามารถสังหารเจ้าลงได้แน่”
แต่เย่หยวนกลับยิ้มตอบ “ยังมีอีกคนไม่ใช่รึ? ทำไมไม่ออกมาหน่อยล่ะ?”
เมื่อสิ้นคำพูดนั้น พวกเฮาเหลียงทุกคนต่างมีหน้าเปลี่ยนสีไปในทันที