ตอนที่ 1647 ร้านขายโอสถ
หนิงเทียนปิงรับผลึกปราณเทวะทั้งสามพันล้านของเย่หยวนออกไปเพื่อซื้อหาวัตถุดิบระดับสาม
นี่คือผลึกปราณเทวะก้อนสุดท้ายของเย่หยวนแล้ว
แม้แต่ผลึกปราณเทวะที่เก็บไว้ใช้ขับเคลื่อนโถงบัลลังก์ม่วง เย่หยวนก็นำมมันออกมาใช้จนหมดเกลี้ยง
ตอนนี้เย่หยวนนั้นไม่มีเงินติดตัวแม้สักผลึกปราณเทวะเดียว
เมื่อได้มาเห็นหน้าแผงของตัวเองจริงๆ เย่หยวนก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาอย่างขมขื่น
ไม่แปลกใจเลยที่พวกเขาไม่คิดจะเก็บส่วนต่าง เพราะที่ตั้งของแผงนี้นั้นมันเป็นตำแหน่งที่ไม่มีใครคิดสนใจ
การหาที่ตั้งร้านนั้นมันก็เป็นทักษะอย่างหนึ่งเหมือนกัน นักยุทธที่ชำนานการออกมาเดินตลาดนั้นก็รู้ว่าผู้ที่ไม่มีปัญญาจะจ่ายค่าเช่าแผงดีๆ มันก็คงไม่มีของดีๆ ขายเช่นกัน
เพราะฉะนั้นร้านในพื้นที่แผงระดับสุดท้ายนี้จึงไม่มีใครคิดจะสนใจ
แน่นอนว่าตอนนี้มันมีนักยุทธมากมายมหาศาลมาที่เมือง ทำให้กลุ่มเครือข่ายสวรรค์นั้นคึกคักขึ้นมาก ทำให้เหล่าแผงระดับสุดท้ายเองก็ได้จำนวนลูกค้าเพิ่มมากขึ้นด้วย
เพียงแค่ว่าที่ตั้งแผงของเย่หยวนนั้นมันช่างห่างไกลผู้คนเหลือเกิน จะเรียกมันว่าเป็นแผงระดับสุดท้ายในหมู่แผงระดับสุดท้ายด้วยกันมันก็คงไม่ผิดนัก
เหล่านักยุทธที่มาเดินดูของนั้นแค่เดินมาจนถึงหน้าเขตแผงระดับสุดท้ายพวกเขาก็หมดความสนใจที่จะเข้ามาต่อแล้ว ไม่ต้องพูดถึงแผงที่อยู่หลังสุดแบบนี้เลย
แต่เย่หยวนก็ไม่ได้ใส่ใจมาก ตราบเท่าที่มีคนมาถึง ชื่อเสียงของเขาจะต้องโด่งดังขึ้นได้แน่
เมื่อเจ้าของแผงข้างๆ เห็นว่าเย่หยวนมาตั้งแผงใกล้ๆ เขาจึงออกมาทักทายเพราะความเบื่อหน่ายที่ต้องนั่งเฝ้าแผงโดยไม่ได้ขายอะไร
“นี่ ทำไมเจ้าถึงคิดเช่าแผงนี้ล่ะ? มันจะไม่ห่วยเกินไปหน่อยรึ?”
เย่หยวนยิ้มออกมา “ไม่เกี่ยวหรอก ตราบเท่าที่มันยังเป็นแผงข้าก็พอใจแล้ว”
เจ้าของแผงข้างๆ คนนี้เบื่อหน่ายจนถึงขีดสุด เมื่อได้มีเพื่อนคุยอย่างเย่หยวนเขาจึงยิ้มขึ้น “โห ข้าเองก็เหมือนกัน ทีแรกไม่รู้อะไรถึงได้คิดมาเช่าแผงนี้ สุดท้ายข้าก็เพิ่งจะมาขายของชิ้นแรกได้เมื่อกี้นี้เอง นี่ เจ้าขายอะไรรึ?”
เย่หยวนนั้นก็ไม่ได้คิดจะกัดผู้คนออกห่างแต่แรกเขาจึงตอบไป “โอสถ”
เมื่อเจ้าของร้านแผงข้างๆ ได้ยินแบบนั้นเขาก็ตอบกลับมาด้วยท่าทางดูแคลน “ไม่นึกเลยว่าเจ้าจะเป็นนักหลอมโอสถด้วย! แต่แผงด้านหน้าเองก็มีโอสถขาย หากไม่ถึงพันก็น่าจะสัก แปดร้อยร้านได้ทำไมเจ้าถึงคิดว่าแผงในซอกแบบนี้จะมีคนมาซื้อเล่า?”
เย่หยวนยิ้ม “โอสถของข้านั้นไม่ต้องห่วงเรื่องขายได้ไม่ได้หรอก”
เมื่อเจ้าของร้านแผงข้างๆ ได้ยินแบบนั้นเขาก็หัวเราะขึ้น “เด็กน้อยเจ้ามันไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา! เจ้าคงเป็นแค่จอมเทพโอสถสามดาวใช่ไหมเล่า? ที่ด้านนอกนั้นมันมีจอมเทพโอสถสี่ดาวตั้งร้านอยู่ไม่น้อย แถมพวกเขายังขายโอสถระดับสามด้วย ไม่ว่าโอสถของเจ้ามันจะดีแค่ไหนแต่มันจะสู้ของจอมเทพโอสถสี่ดาวได้รึ?”
เย่หยวนยิ้มเบาๆ และตอบออกมา “ได้!”
คำตอบอันหนักแน่นนั้นทำให้เจ้าของร้านแผงข้างๆ เงียบลงทันที เขาได้รับรู้แล้วว่าเด็กคนนี้มันช่างมั่นใจจนเกินกว่าเหตุผลจะเข้าถึง
ระหว่างนั้นเย่หยวนก็หยิบป้ายร้านออกมา บนป้ายนั้นมันเขียนไว้ว่า ‘ร้านขายโอสถ’
ชื่อโคตรสิ้นคิด!
เจ้าของร้านแผงข้างๆ คนนั้นได้แต่ตบมุกอยู่ในใจ
แต่ว่าเย่หยวนกลับไม่นำโอสถออกมาแสดงเลยสักเม็ด เขาแค่วางป้ายต่างๆ ไว้บนแผงร้าน
มันเป็นราคาที่แบ่งจากหนึ่งถึงเก้าตามระดับความยากของโอสถ ระดับหนึ่งราคา หนึ่งร้อยล้าน ส่วนระดับเก้า ราคา สามพันล้าน
ได้เห็นป้ายราคานั้นเจ้าของร้านแผงข้างๆ ก็แทบทรุดลง
เด็กคนนี้มันมาเล่นตลกรึ?
โอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับสาม ราคาสามพันล้าน?
นี่มาปล้นคนรึยังไง?
ร้านขายโอสถปกติแล้วจะต้องตั้งแสดงเม็ดยาที่ตัวเองภาคภูมิใจเพื่อดึงดูดลูกค้า แต่เย่หยวนกลับไม่ทำ
เพราะโอสถศักดิ์สิทธิ์ขั้นเทวะโมฆะนั้นมันต่างจากโอสถศักดิ์สิทธิ์ธรรมดาๆ เพราะว่ามันบริสุทธิ์มาก จึงง่ายต่อการเสื่อมสภาพ ทำให้คุณภาพของโอสถลดต่ำลงทันที
เพราะฉะนั้นหลังจากเย่หยวนหลอมโอสถเสร็จเขาก็จะใช้เทคนิคพิเศษในการเก็บรักษามันก่อนจะเก็บมันเข้าไปในแหวนอีกที
แหวนเก็บของเหล่านี้มันจะดูด้อยค่าไปทันทีเมื่อต้องมาเจอกับค่าของโอสถเหล่านั้น
หากคิดนำมันออกมาวางแสดง เขาก็ต้องทำลายผนึกนั้นก่อน ทำให้คุณภาพของโอสถจะค่อยๆ ลดต่ำลงเรื่อยๆ
เพราะฉะนั้นร้านเล็กๆ นี้ของเย่หยวนจึงไม่มีของใดๆ แสดงให้ผู้คนเห็นเลย
เพราะโอสถที่เขาอยากขายทั้งหมดมันคือโอสถศักดิ์สิทธิ์ขั้นเทวะโมฆะ!
…
“ศิษย์น้องหญิง พวกนี้มันแค่แผงระดับสุดท้าย ไม่มีของดีๆ หรอก เราซื้อมาตั้งเยอะแล้ว มันพอแล้วล่ะ กลับไปกันเถอะ”
ที่หน้าเขตแผงระดับสุดท้าย มีชายหนุ่มหญิงสาวคู่หนึ่งกำลังเดินเข้ามา
ฝ่ายหญิงสาวนั้นเดินออกมาอย่างร่าเริง ส่วนฝ่ายชายแทบจะหมดแรงลงแล้ว
คนทั้งสองนี้คือศิษย์ของพันธมิตรดาบดวงดาว ฝ่ายชายมีนามว่าเจาเจี้ยน ฝ่ายหญิงมีนามว่าซูถิง
ซูถิงยิ้มตอบ “ศิษย์พี่ใหญ่ หากท่านเบื่อนักก็กลับไปก่อนได้ ข้าจะลองดูรอบๆ นี้อีกหน่อย บางทีอาจจะไปเจอของดีเข้าก็ได้นะ?”
เมื่อเจาเจี้ยนได้ยินเช่นนั้นเขาก็ห่อไหล่ขึ้น “ศิษย์น้องหญิง แผงระดับสุดท้ายมันมีแต่พ่อค้าที่ไร้ความสามารถอาณาจักรบรรพชนพระเจ้า มันจะไปมีของดีๆ อะไรได้อย่างไรกัน?”
ซูถิงจึงสวนขึ้น “อาจจะไม่เป็นแบบนั้นเสมอไป ครั้งก่อนไม่ใช่ว่าศิษย์พี่สามเองก็ได้เจอวรยุทธดีๆ ที่นี่หรือ? ตอนนี้เขาเอามันไปฝึกฝนและเพิ่มความสามารถตัวเองได้มากมาย ท่านเองก็น่าจะรู้ดี”
เจาเจี้ยนตอบกลับไปไม่ถูกจึงอ้างขึ้น “เขามันก็แค่แมวตาบอดที่บังเอิญไปเจอหนูตายเข้า”
ซูถิงตอบกลับมาด้วยรอยยิ้ม “บางทีเราก็อาจจะไปเจอหนูตายเข้าบ้างก็ได้นะ? ตอนนี้มันมีนักยุทธมารวมตัวกันในเมืองเรามากมาย ใครจะไปรู้ว่าบางทีที่นี่จะแอบซ่อนอะไรไว้?”
เหมือนว่าการซื้อของนั้นมันจะฝังอยู่ในสัญชาตญาณของผู้หญิง ซูถิงไม่รู้สึกว่ามันน่าเบื่อและเดินเลือกดูของไปเรื่อยๆ อย่างเริงร่า
ส่วนเจาเจี้ยนนั้นก็ได้แต่ต้องฝืนใจทนตามซูถิงไป
เพราะเขาเองก็สนใจในตัวศิษย์น้องหญิงคนนี้ไม่น้อยจึงไม่ได้ปฏิเสธออกมาแรงๆ
หลังจากเดินมาได้ประมาณสองชั่วโมง หากพูดกันตามความเป็นจริงมันไม่มีทางเลยที่เจาเจี้ยน นักยุทธอาณาจักรราชันพระเจ้าครึ่งก้าวเช่นเขาจะรู้สึกเหนื่อยได้
แต่ตอนนี้ขาของเขากลับหนักหน่วงเหมือนมันมีรากงอก แทบจะยกมันไม่ขึ้นอีกแล้ว
“ศิษย์น้องหญิง เห็นไหม… ข้าก็บอกไปแล้วว่ามันไม่มีของดีๆ หรอก” เจาเจี้ยนพูดขึ้นเมื่อเห็นว่าพวกเขาเดินมาจนเกือบจะสุดแล้ว
ซูถิงเองก็เศร้าใจอยู่นิดหน่อย นางคิดว่าการที่มีนักยุทธมากมายขนาดนี้มารวมตัวกัน มันน่าจะมีของดีอะไรออกมาบ้าง แต่สุดท้ายแผงระดับสุดท้ายมันก็ไม่มีอะไรดีเลยจริงๆ
แต่เมื่อได้เห็นว่าเกือบเดินมาถึงสุดทางแล้ว นางจึงตัดสินใจที่จะไม่ยอมกลับไปทั้งๆ แบบนี้และกล่าวขึ้น “ศิษย์พี่ใหญ่ ข้ารู้ว่าท่านน่ะเป็นคนดี ตอนนี้มันเหลืออีกแค่ไม่กี่แผงเอง เรามาเดินดูให้มันจบๆ ไปไหม?”
คำพูดนั้นมันช่างแยบยล สุดท้ายเจาเจี้ยนจึงยอมจำนนและพยักหน้ากล่าวขึ้น “อ่า ได้ๆ ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว มีอีกแค่ไม่กี่แผงเท่านั้น”
หลังจากมองดูไปอีกหลายคราพวกเขาก็ยังไม่พบเจออะไรดีๆ จนตอนนี้แม้แต่ซูถิงเองก็แทบจะยอมแพ้แล้ว
แต่จู่ๆ นางก็หันไปเห็นป้ายร้านเล็กๆ ในมุมสุดหนึ่งจนเกิดความสงสัยขึ้น
แผงของร้านนี้มันช่างอยู่ในตำแหน่งที่ห่างไกลและยังเล็กจนแทบมองไม่เห็นหากคนไม่สนใจจริงๆ พวกเขาคงไม่มีทางเจอมันได้เลย
แต่สิ่งที่ดึงดูดนางมากที่สุดก็คือการที่ร้านนั้นกลับไม่มีของแสดงแม้สักชิ้น
“ร้านขายโอสถ ชื่อสิ้นคิดดีจริงๆ เถ้าแก่ ท่านขายโอสถแต่ทำไมไม่มีโอสถวางแสดงเลยล่ะ?” ซูถิงเข้ามาถามเย่หยวนด้วยความสงสัย
เย่หยวนจึงตอบกลับไปอย่างเฉยชา “โอสถของข้านั้นไม่เหมาะที่จะนำออกมาแสดง หากเจ้าอยากได้โอสถใด ก็จงบอกข้ามาเถอะ”
ซูถิงเบิกตากว้างเมื่อได้ยินและถามขึ้นอย่างสงสัย “มันมีโอสถใดที่ไม่เหมาะจะนำออกมาแสดงด้วยรึ? ที่ท่านพูดนี่หมายถึงว่าร้านท่านมีโอสถทุกชนิด?”
เย่หยวนพยักหน้ารับ “โอสถทั่วๆ ไปข้ามีมันทั้งหมด ส่วนโอสถที่หายากหน่อยก็พอมีบ้าง แต่ต่อให้ไม่มีข้าก็สามารถหลอมมันให้เจ้าได้ทันที ขอเวลาแค่สามชั่วโมงเท่านั้น”
เจาเจี้ยนยืนฟังอยู่ข้างๆ ด้วยความรู้สึกที่ว่าเย่หยวนนั้นช่างขี้อวดโม้ดีเสียจริงๆ
ก่อนที่สายตาของเขาจะหรี่ลงทันทีที่ได้เห็นป้ายราคาของเย่หยวนและตะโกนขึ้น “โอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับสามแค่เม็ดเดียวเจ้ากลับคิดขายมันในราคาสามพันล้านผลึกปราณเทวะ? นี่เจ้าคิดจะปล้นผู้คนหรืออย่างไร?”
เมื่อเย่หยวนได้ยินเขาก็หันไปตอบ “การขายราคานี้มันก็หมายความว่าโอสถของข้ามีคุณภาพเท่านี้”
เจาเจี้ยนตะโกนออกมาอย่างสุดเสียง “โอสถบ้าบออะไรจะราคาถึงสามพันล้าน ไหนเจ้าลองบอกมาหน่อยสิ!”