ตอนที่ 1668 สงบทันควัน
“ไป๋ชิง ก่อนจะออกมากันท่านอาจารย์ก็ย้ำเตือนเราไว้ตั้งมากมายว่าอย่าทำตัวเด่นนัก! บนมหาพิภพถงเทียนนี้มียอดอัจฉริยะอยู่มากมาย มีหลายต่อหลายคนที่แข็งแกร่งเสียยิ่งกว่าเรา อย่าได้ทำตัวอวดเก่งถือศักดิ์ คำสั่งอาจารย์เจ้าลืมมันไปหมดแล้วรึ?”
เล้งชิวหลิงขมวดคิ้วแน่นพร้อมด่าว่าการกระทำเมื่อสักครู่ของไป๋ชิง
เมื่อไป๋ชิงเห็นว่าเล้งชิวหลิงไม่พอใจมาก เขาก็กล่าวออกมาอย่างสุภาพที่สุด “ไป๋ชิงผู้นี้ทำผิดไปแล้ว! แต่ทุกครั้งที่เรามายังเขาแห่งถงเทียนนี้มันก็มีพวกโง่ไม่รู้จักประมาณตัวอยู่มากมาย เห็นแล้วข้าหงุดหงิดใจมากจริงๆ ท่านเข้าไปบอกเรื่องดีๆ กับเขาแท้ๆ แต่เขากลับไม่คิดสำนึก ช่างรนหาที่ตายเสียจริงๆ”
เล้งชิวหลิงจึงบอก “ทุกคนต่างมีเส้นทางการเดินของตัวเองอยู่ในใจ ชีวิตคนอื่นนั้นมิใช่ชีวิตเรา หากเขาไม่ฟังก็ปล่อยเขาไป จะไปบังคับให้ได้อะไร เราและเขาล้วนแล้วอยู่ต่างกันคนละโลกมาตั้งแต่ต้นแล้ว”
ไป๋ชิงยิ้มตอบ “หึหึ คำพูดของศิษย์พี่หญิงนั้นถูกต้อง เด็กคนนั้นมันบรรลุอาณาจักรราชันพระเจ้าไม่ได้มาตั้งสามร้อยปี มันคงใช้ความสามารถพรสวรรค์ของตัวเองไปจนหมดแล้ว และก็คงอยู่ได้แค่นี้ไปชั่วชีวิต ทั้งๆ อย่างนั้นมันกลับไม่ยอมแพ้และมารนหาที่ตายที่เขาแห่งถงเทียนนี้”
เล้งชิวหลิงไม่พูดอะไรอีก เพราะนางเองก็เห็นด้วยอยู่ในใจกับคำของไป๋ชิง
“เอาล่ะ เราจะไม่แวะไปไหนมากกว่านี้แล้ว มุ่งหน้าไปที่เมืองตีนใต้ก่อนจะค่ำเถอะ” เล้งชิวหลิงบอก
…
ในค่ำวันนั้น เย่หยวนและหนิงเทียนปิงเองก็มาถึงที่เมืองตีนใต้เช่นกัน
เมืองตีนใต้นั้นคือเมืองที่ตั้งอยู่ ณ ตีนเขาแห่งถงเทียน
เขาแห่งถงเทียนนั้นมีพื้นที่มากมายหลายหมื่นกิโลเมตร และสูงหลายหมื่นกิโลเมตรอย่างที่ไม่มีใครวัดได้
เขาแห่งถงเทียนนั้นไม่ใช่สถานที่ที่ใครอยากปีนก็ปีนได้ หลายๆ ปีครั้งจะมีการเปิดทางขึ้นไปยังเขาแห่งถงเทียนขึ้นมา
และนักยุทธก็ต้องผ่านทางขึ้นที่ว่านี้ไปก่อน จึงจะสามารถเริ่มปีนเขาแห่งถงเทียนได้
หากคิดจะขึ้นไปจากทางอื่น พวกเขาก็คงไม่พ้นจะถูกยอดเต๋าบดขยี้ ไม่ว่าจะแข็งแกร่งแค่ไหนก็ตาม
เพราะฉะนั้นจึงเกิดเมืองเล็กๆ ขึ้นที่ตีนเขาแห่งถงเทียนเรื่อยๆ อย่างแรกก็คือเพื่อให้ที่พักแก่นักยุทธที่เดินทางมา อย่างที่สองก็คือจะได้บริหารจัดการนักยุทธเพื่อไม่ให้มีใครก่อนเรื่องใดๆ
เพราะนี่คือสถานที่ที่อยู่ใกล้สวรรค์ที่สุด การต่อสู้ในที่แห่งนี้มันจะเป็นการรบกวนยอดเต๋าและทำให้ผู้ก่อเรื่องถูกทัณฑ์สวรรค์จัดการอย่างไม่เลือกหน้า
ตามตำนานว่าไว้ว่ามีนักยุทธผู้หนึ่งเคยมาก่อเรื่องที่นี่เพื่อแย่งศิษย์ในการปีนสวรรค์
และสุดท้ายก็มีทัณฑ์สวรรค์ส่งลงมา ทำลายล้างเหล่านักยุทธทั้งหลายนั้นจนราบคาบ
ที่ตีนเขานั้นมีเมืองเล็กๆ หลายเมือง แต่ละเมืองจะแบ่งแยกกันไปตามอาณาจักรการบ่มเพาะ เพราะว่าทางที่พวกเขาทั้งหลายจะใช้เข้าเขาแห่งถงเทียนนั้นมันต่างกัน
เมืองตีนใต้นี้คือเมืองของอาณาจักรราชันพระเจ้า
“ฮ่าฮ่าฮ่า น้องเล้ง เรานั้นคงมีโชคชะตาต้องเกี่ยวกันถึงได้มาเจอกันในที่แบบนี้ได้”
“ซัวหาน ใครมันไปมีชะตาต้องเกี่ยวกับเจ้ากัน? ไปไกลๆ ข้าเลยนะ!”
“น้องเล้ง อย่าได้ผลักไสผู้คนแบบนั้นสิ! ไม่เอาน่า ที่นี่คือเมืองตีนใต้นะ เจ้าเองก็โจมตีใครไม่ได้หรอก!”
“ไปให้พ้น!”
…
เมื่อเย่หยวนเดินเข้ามาถึงเมือง เขาก็พบว่ามีเสียงชายหญิงกำลังถกเถียงกันดังขึ้นไม่ไกล
หนึ่งในนั้นคือเล้งชิวหลิง
ส่วนอีกคนมีนามว่าซัวหาน มีพลังบ่มเพาะพอๆ กับเล้งชิวหลิง แต่ตอนนี้เขาทำท่าทางเหมือนขี้หมาที่ติดฝ่าเท้า ไม่ยอมออกห่างจากเล้งชิวหลิงเลยแม้แต่น้อย
เย่หยวนมองดูและก็ไม่คิดที่จะเข้าไปยุ่งเกี่ยวใดๆ เขาเดินตรงไปยังหอใหญ่กลางเมืองทันที
เล้งชิวหลิงนั้นรำคาญใจอย่างมาก ก่อนจะหันมาเจอเย่หยวนและรีบเดินเข้ามาหาทันที “สุดท้ายเจ้าก็มาจนได้!”
เย่หยวนหันไปมองและพยักหน้า ก่อนจะตอบไปด้วยรอยยิ้ม “อย่างที่ข้าบอกไป ข้านั้นมีเหตุผลสำคัญจริงๆ”
เล้งชิวหลิงถอนหายใจยาว “เจ้ายังไม่คุ้นเคยกับที่แห่งนี้ใช่หรือไม่? มาเถอะ เดี๋ยวข้าจะพาเจ้าไปเอาป้ายเอง!”
เย่หยวนกำลังจะเปิดปากปฏิเสธออกไปตามประสาก่อนจะพบว่าตอนนี้เล้งชิวหลิงกำลังส่งสายตาขอความช่วยเหลือมาอย่างเต็มแรง
เย่หยวนเข้าใจได้ในทันทีว่านางต้องการใช้เขาเป็นข้ออ้างหลบหนี
และเขาเองก็ไม่คาดฝันเลยว่าแม่นางแสนเย็นชาคนนี้จะถึงขั้นทำหน้าแบบนั้นเพื่อขอความช่วยเหลือจากเขา
และเมื่อมีสาวงามร้องขอ มันก็เป็นการยากแล้วที่เย่หยวนจะปฏิเสธ
ที่สำคัญก่อนมาถึงที่นี่ เย่หยวนยังรู้ถึงได้ถึงความหวังดีในคำเตือนของแม่นางคนนี้ด้วย
เพราะฉะนั้นสุดท้ายเขาจึงเปลี่ยนใจและยิ้มรับ “เช่นนั้นข้าคงต้องขอให้แม่นางคนงามช่วยแล้ว”
ตอนนั้นเองซัวหานก็ตามมาถึงพร้อมจ้องมองเย่หยวนด้วยสายตาอาฆาต “แค่พวกอาณาจักรบรรพชนพระเจ้าที่มารนหาที่ตาย! น้องเล้ง เจ้าคิดจะหาขยะแบบนี้มากวนประสาทข้าหรือ? เปล่าประโยชน์น่า!”
ระหว่างที่พูดจาแบบนั้นออกมา จริงๆ ในใจซัวหานนั้นขึ้นหน้าเย่หยวนในรายชื่อคนที่ต้องสังหารไปแล้ว
เล้งชิวหลิงกำลังจะเปิดปากพูด แต่เย่หยวนกลับตอบออกมาก่อน “หากคิดชอบแม่นางเล้ง เจ้าจะมาใช้วิธีการตามตื๊อไม่หยุดแบบนี้คงมิได้ ทำแบบนี้มันจะมีแต่ทำให้นางเกลียดเจ้าขึ้นไปเรื่อยๆ เท่านั้น!”
ซัวหานหรี่ตาลงทันที “เรื่องที่ข้าผู้นี้ทำมันไม่เกี่ยวใดๆ กับเจ้าเลย เป็นแค่ขยะอาณาจักรบรรพชนพระเจ้าอย่าได้ริอาจมาสั่งสอนผู้คน!”
เย่หยวนได้แต่ส่ายหัวออกมาอย่างอดเสียไม่ได้ ก่อนเขาจะหันไปบอกเล้งชิวหลิง “แม่นางเล้ง ไอ้เจ้าคนโง่แบบนี้อยู่ให้ห่างไว้จะดีกว่า เว้นแต่ว่ามันจะเกะกะลูกตาจริงๆ”
พูดจบเย่หยวนก็เดินพาเล้งชิวหลิงจากไป
ซัวหานนั้นเดินขึ้นมาปิดทางไว้ก่อนจะกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นเหยียบ “เด็กน้อย เจ้าลองว่าใหม่อีกครั้งสิ!”
พลังกดดันอันมหาศาลถูกปลดปล่อยออกมาจากตัวยอดฝีมืออาณาจักรราชันพระเจ้าเก้าดาวสู่ตัวเย่หยวน
ด้วยความต่างระดับหนึ่งอาณาจักร พลังกดดันของอาณาจักรราชันพระเจ้าเก้าดาวเช่นนี้มันน่าจะมากพอทำให้เย่หยวนต้องกระอักเลือดได้
เล้งชิวหลิงนั้นก็ตกใจจนไม่ทันทำอะไร นางไม่คิดว่าซัวหานจะโจมตีเข้ามาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยแบบนี้
แต่เมื่อนางหันไปมอง นางกลับพบว่าเย่หยวนนั้นอยู่สบายดีไม่มีท่าทางใดๆ “อย่าก่อเรื่องให้ขายหน้าไปมากกว่านี้เลย เจ้ากล้าที่จะโจมตีข้าตรงนี้หรือ? คิดว่าแค่อาณาจักรราชันพระเจ้าเก้าดาวมันเก่งมากล่ะมั้ง ตอนนี้ข้ารู้สึกว่าต่อให้ด่าเจ้าว่าควายข้ายังสงสารควายเลย ไปให้พ้น!”
จู่ๆ ก็มีชายชุดเกราะสองคนเดินเข้ามาอย่างไม่มีร่องรอยมาก่อน ด้วยคลื่นพลังที่น่าเกรงขามอย่างมาก
หนึ่งในนั้นบอก “ตัวปัญหา สังหารอย่างไม่ปรานี!”
คนทั้งสองนั้นอยู่ในชุดเกราะที่ปกคลุมทั้งร่างและใบหน้าจนมิด แต่แค่สายตาที่มองลอดออกมามันก็มาพอจะทำให้ซัวหานต้องขนลุกราวกับนอนแช่ในอ่างน้ำแข็ง ร่างกายของเขามีเหงื่อเย็นเหยียบไหลออกมาทันที
พลังของคนทั้งสองนั้นน่าเกรงขามจนแม้แต่เล้งชิวหลิงก็ต้องหน้าซีดไปไม่น้อย
ซัวหานยิ้มแห้งๆ ออกมา “ข้า… ข้าแค่จะขู่มันเฉยๆ ม-ไม่ได้จะโจมตีใดๆ”
ชายชุดเกราะจึงบอก “เตือนครั้งที่หนึ่ง หากมีเรื่องเกิดขึ้นซ้ำ สังหารอย่างไร้ปรานี!”
พูดจบชายชุดเกราะก็หันมามองเย่หยวนเล็กน้อยก่อนจะจากไป
เล้งชิวหลิงเองก็หันมามองเย่หยวนอย่างประหลาดใจเช่นกัน นางไม่คาดคิดว่าเย่หยวนจะยังวางตัวเฉยได้แม้ต้องเจอกับแรงกดดันของยอดฝีมืออาณาจักรราชันพระเจ้าเก้าดาวเข้าไปเต็มๆ
แต่นั่นยังไม่สำคัญที่สุด เพราะที่สำคัญที่สุดเลยก็คือแม้จะต้องเจอคลื่นพลังอันน่ากลัวของคนทั้งสองนั้น เย่หยวนก็ยังสามารถยืนได้อย่างไม่สะทกสะท้าน!
คนทั้งสองนั้นต้องมีพลังบ่มเพาะอย่างน้อยๆ อาณาจักรนภาสวรรค์ แต่เย่หยวนกลับไม่เป็นอะไรเลยแม้แต่น้อย
เย่หยวนหันไปมองซัวหานและกล่าวขึ้นอย่างเหนื่อยหน่าย “ไอ้โง่! แม่นางเล้งไปกันเถอะ”
เล้งชิวหลิงพยักหน้ารับและจากไปกับเย่หยวน
เมื่อได้เห็นคนทั้งสองเดินจากไป ซัวหานก็กล่าวขึ้น “เด็กเวร หากเจ้าออกจากเมืองตีนใต้นี้เมื่อใดข้าจะไม่ให้เจ้าได้ตายดีแน่!”
…
“เมื่อกี้ต้องขอบคุณมาก!” เล้งชิวหลิงบอกขอบคุณ
เย่หยวนยิ้มตอบ “แม่นางเล้งช่างสุภาพนัก”
เล้งชิวหลิงบอก “ดูเหมือนข้าจะดึงเจ้าเข้ามาเกี่ยวด้วยเสียแล้ว ด้วยนิสัยอย่างซัวหานที่ชอบแก้แค้นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ นั้น เขาน่าจะไม่ปล่อยเจ้าไปง่ายๆ แน่”
เย่หยวนตอบ “ข้ากล้าช่วยแม่นางเล้งก็เพราะว่าข้าไม่เกรงกลัวเขานั่นแหละ”
การที่นักยุทธอาณาจักรบรรพชนพระเจ้าพูดอะไรแบบนี้ออกมามันทำให้ภาพนี้ดูน่าตลกไม่น้อย
นางรู้สึกว่าเย่หยวนนั้นรู้ตัวดีว่าตัวเขากำลังทำอะไร แต่นางก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมจึงรู้สึกแบบนั้น