เสียงโห่ร้องดังขึ้นมาจากรอบด้านเมื่อทั้งสองเข้าปะทะกัน
เมื่อเขาปรากฏกายขึ้นอีกครั้ง เย่หยวนก็มาถึงตรงหน้าโม่เฟยแล้ว
เจียงหนานรีบกระโดดถอยหลังไปหลายก้าวราวกับว่าเป็นตัวเองที่โดนดาบนั้นเล็งเข้าใส่
“ข-แข็งแกร่ง! เซียโหหยุน…ตายลงเพราะดาบนี้? เช่นนั้นโม่เฟย…”
เจียนหนานเหงื่อไหลท่วมกาย เขาได้แต่ยินดีในหัวใจว่าตัวเองโชคดีจริงๆ ที่ไม่ได้เข้าไปลองดาบนั้นด้วยตัวเอง
ไม่เช่นนั้น…ผลที่ตามมามันคงเกินกว่าที่จะจินตนาการไหว!
แม้ว่าดาบนี้จะไม่ได้เล็งมายังเจียงหนาน แต่เขาก็รู้สึกราวกับว่ามันใช่
หากเป็นเขา เขาเองก็คงมีสภาพไม่ต่างจากโม่เฟยเท่าไหร่
ไม่แปลกใจเลยที่เซียโหหยุนจะตายลงภายใต้ดาบของเย่หยวน
เย่หยวนค่อยๆ เก็บดาบจักรพรรดิล้ำฟ้าลงและหันไปบอก “เรียบร้อย”
โม่เฟยรู้สึกเหมือนตัวเองโดนยาชาเข้าทั้งร่าง เมื่อได้ยินคำพูดของเย่หยวนสติของโม่เฟยจึงกลับมา
ตอนนี้ดวงตาของเขาเบิกกว้างราวกับได้เห็นสิ่งที่สุดแสนโหดร้ายตรงหน้า หายใจเข้าออกอย่างรุนแรง ร่างกายเต็มไปด้วยเหงื่อที่ไหลออกมาอย่างเย็นเหยียบ
“ข-ขอบพระคุณที่มีเมตตา!” โม่เฟยบอกออกมาทั้งๆ ที่ยังหอบ
ตอนนี้โม่เฟยรู้สึกเหมือนตัวเองได้ไปเที่ยวถึงหน้าประตูนรกและกลับมายังร่างของตัวเอง
เขารู้ได้ว่าหากเย่หยวนไม่เมตตา ชะตาของเขาก็คงไม่ต่างจากเซียโหหยุน
เย่หยวนหัวเราะออกมา “ข้ากับเจ้าไม่ได้มีความแค้นใดกัน จะสังหารเจ้าให้ได้อะไรขึ้นมา?”
“ข้า…ข้าแพ้แล้ว!” โม่เฟยยอมแพ้ออกมา
เจียงหนานเองก็ยังตกใจไม่น้อยที่โม่เฟยไม่ตายลง
เขานั้นคิดว่าร่างของโม่เฟยคงแยกเป็นสองซีกไปแล้ว
เพราะดาบนั้นมันแปลกประหลาดได้ถึงขนาดนั้น เขาไม่สามารถเห็นความเป็นจริงของตัวดาบนั้นได้เลย
ดาบที่ผสานแนวคิดแห่งดาบและแนวคิดแห่งห้วงมิติมันช่างน่ากลัวจนเกินไป
“คนที่แข็งแกร่งขนาดโม่เฟยกลับไม่มีปัญญาจะต่อต้านใดๆ เลยเมื่อต้องมาเจอเขาคนนี้!”
“ไม่แปลกใจเลยที่เจียงหนานจะยอมแพ้ออกมา ดูท่า…เขาคงรู้ตัวดีว่าตัวเองไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเย่หยวน!”
“ข้าไม่นึกเลยว่าผู้ชนะเลิศของสังเวียนร้อยศึกในครั้งนี้มันจะเป็นราชันพระเจ้าสามดาวได้! นี่คงเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์เลยล่ะมั้ง?”
“ข้าล่ะสงสัยจริงๆ ว่าชะตาของเย่หยวนมันจะมีสีใดกันแน่?”
…
บนที่นั่งผู้ชมต่างโห่ร้องชื่นชมออกมาเป็นการใหญ่
ก่อนจะเริ่มงานสังเวียนร้อยศึกครั้งนี้มันไม่มีใครเลยคาดคิดว่าผู้ชนะเลิศจะกลายเป็นราชันพระเจ้าสามดาวไปได้
กรรมการคนนั้นมองดูเย่หยวนอย่างตกตะลึงก่อนจะประกาศออกมา “สังเวียนร้อยศึกครั้งนี้จบลงแล้ว ผู้ชนะคือ…เย่หยวน! ตอนนี้ขอให้ผู้แข่งขันทั้งแปดขึ้นมาบนสังเวียนด้วย!”
คนที่เหลือทั้งหกต่างมึนงงว่ามันหมายความว่าอย่างไร แต่สุดท้ายก็เดินขึ้นมาบนสังเวียนตามคำบอก
จู่ๆ ก็มีคลื่นพลังรุนแรงพุ่งตรงออกมาจากความว่างเปล่า ทำให้เกิดความโกลาหลขึ้นไม่น้อย
ร่างยอดฝีมือเจ็ดร่างปรากฏกายออกมา พวกเขาเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นยอดฝีมืออาณาจักรนภาสวรรค์!
นั่นทำให้แม้แต่เย่หยวนก็หน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย
เพราะการที่มียอดฝีมืออาณาจักรนภาสวรรค์เจ็ดคนปรากฏตัวออกมาพร้อมๆ กันมันย่อมสร้างแรงกดดันได้ไม่น้อย
ที่สำคัญคือในหมู่คนทั้งเจ็ดนี้ แต่ละคนนั้นมีพลังที่ไม่ได้ต่ำด้อยไปกว่าเจียงยู่ถังเลย เย่หยวนไม่สามารถมองพลังที่พวกเขามีได้ออกเลย
เพราะเจียงยู่ถังนั้นเป็นถึงยอดฝีมืออาณาจักรนภาสวรรค์สี่ดาว!
นี่คือพลังที่แท้จริงของเมืองจักรพรรดิเลิศประกาย!
เมืองจักรพรรดิเหมือนกัน แต่หากยอดผู้อาวุโสของเมืองจักรพรรดิเลิศประกายลงมือ พวกเขาก็สามารถกดเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์ให้จมดินได้ง่ายๆ
แต่ว่ามันยังไม่จบแค่นั้น
หลังจากคนทั้งเจ็ดปรากฏตัว ก็มีอีกร่างหนึ่งเดินออกมาจากความว่างเปล่า
และจากนั้นยอดฝีมืออาณาจักรนภาสวรรค์ทั้งเจ็ดก็ค่อยๆ เดินไปหลบหลังชายแก่คนนี้ตามมารยาทและก้มหัวแสดงความคารวะออกมา
ผู้คนบนที่นั่งชม คนที่ฉลาดๆ หน่อยก็จะนึกออกได้ทันที
“นั่น…นั่นมันท่านเจ้าศาลามายาล้ำ ท่านเจียนหงเซียว!”
“พระเจ้า! ท่านเจ้าศาลามายาล้ำนั้นเป็นตัวตนที่ลึกลับและสูงส่ง ไม่มีใครเคยเห็นหน้าเขามาก่อนเสียด้วยซ้ำ ไม่นึกเลยว่าครานี้จะออกมาเอง!”
“ชิๆ ดูท่าสังเวียนร้อยศึกคราวนี้เมืองจักรพรรดิเลิศประกายคงตกปลาตัวใหญ่ได้จริงๆ ข้าล่ะสงสัยเหลือเกินว่าเย่หยวนคนนี้มันจะมีชะตาสีใดกันแน่!”
…
ที่ด้านล่างผู้คนต่างตื่นเต้นสงสัย แม้แต่เหล่ายอดอัจฉริยะบนสังเวียนทั้งเจ็ดเองก็รู้สึกเป็นเกียรติอย่างมากที่ได้เจอกับเจียนหงเซียว
พวกเขามาต่อสู้แข่งขัน เสี่ยงชีวิตกันก็เพื่อให้ได้รับการทำนายจากเจียนหงเซียวคนนี้นี่เอง
เขาคนนี้คือตัวตนที่ราวกับพระเจ้า!
เหล่าอัจฉริยะหนุ่มทั้งหลายที่ได้รับคำชี้นำจากเขาไปล้วนเติบโตมาเป็นยอดคนปกครองแผ่นดิน
การทำนายดวงชะตานั้นเป็นอะไรที่ล่องลอยและยากจะหยั่งถึง แม้ว่าพวกเขาทั้งหลายจะใช้ศาสตร์แห่งการดูรัศมีเหมือนๆ กันแต่ด้วยการฝึกฝนบ่มเพาะที่แตกต่าง ความเข้าใจในวิชาที่แตกต่าง มันก็ย่อมส่งผลลัพธ์ที่แตกต่าง
สีทั้งเจ็ดที่เห็นเหมือนๆ กัน แต่ศาสตร์แห่งการดูรัศมีนั้นมันไม่ใช่แค่การดูสีเท่านั้น
เหมือนเจียนปิง เขานั้นเห็นแค่สีเบลอๆ เมื่อมองดูเซียโหหยุน แต่หากเป็นอาจารย์ของเขา เจียนฉาวหนิง เขาคงจะสามารถทำนายทายทักได้ด้วยสีที่ชัดเจน
และยิ่งหากเป็นเจียนหงเซียว มันก็จะแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน
ยิ่งแข็งแกร่ง ภาพที่เห็นก็จะยิ่งเด่นชัด คำทำนายการชี้แนะต่างๆ ก็จะยิ่งแม่นยำ
เหล่ายอดผู้อาวุโสนี้มีความรู้ความสามารถในศาสตร์ลึกลับอย่างถึงที่สุด แต่เมื่อเทียบกับเจียนหงเซียวแล้วมันก็ยังเรียกได้ว่าต่ำกว่าหลายระดับทีเดียว
เพราะฉะนั้นทุกครั้งที่สังเวียนร้อยศึกจัดขึ้น เหล่ายอดอัจฉริยะก็จะมารวมตัวกันอย่างไม่ลังเล แม้จะรู้ว่าการเดินทางครั้งนี้มันเสี่ยงอันตรายมากแค่ไหนก็ตาม
แต่เย่หยวนกลับไม่ได้แสดงท่าทีใดๆ ออกมามากมาย
เพราะเขารู้ว่าเส้นทางชีวิตของเขา ต่อให้เป็นเจียนหงเซียวก็ยังมองเห็นมันได้ไม่ชัดเจน
ที่สำคัญเขายังเคยเจอเจียนหงเซียวมาก่อนแล้วด้วย เจียนหงเซียวนั้นจึงไม่ใช่ตัวตนที่ลึกลับต่อเขาอีกต่อไป
เจียนหงเซียวในสายตาของเย่หยวนนั้นมันก็เหมือนเป็นคุณปู่คลั่งชาคนหนึ่งที่ไม่ได้ยิ่งใหญ่อะไรมากมาย
เพราะร่างของเขานั้นมันต่างจากยอดผู้อาวุโสทั้งเจ็ด คลื่นพลังที่ออกมาจากร่างของเจียนหงเซียวนั้นมันดูลึกลับและน่าพิกล เป็นอะไรที่แสนจะยากหยั่งถึง
บางทีมันคงเป็นความแตกต่างของอาณาจักร
เจียนหงเซียวยิ้มออกมาน้อยๆ “สังเวียนร้อยศึกครั้งนี้ดูเหมือนจะมียอดอัจฉริยะไม่น้อยทีเดียว! ไม่เลวเลยๆ! ในหมู่ผู้ชนะทั้งแปดนี้มีชะตาสีม่วงหนึ่งคน ชะตาสีฟ้าสองคน ดูท่ายุคสมัยใหม่จะเริ่มขึ้นแล้ว!”
“อะไรนะ? มีชะตาสีม่วง?! ใครกัน?”
“ไอ้โง่ จะยังมีใครสีม่วงไปได้อีก? ย่อมต้องเป็นเย่หยวนแน่แล้ว!”
“พระเจ้าช่วย ยิ่งใหญ่สมศักดิ์ศรีจริงๆ หากโชคดีเขาคงขึ้นอาณาจักรนภาสวรรค์ไปได้ง่ายๆ เลย!”
…
คำพูดนั้นของเจียนหงเซียวทำให้ผู้คนแตกตื่นขึ้นทันที
เพราะเมื่อเป็นคำพูดของเขา ย่อมไม่มีใครสงสัยอีก
เจียนหงเซียวยิ้ม “พวกเจ้าทั้งหลาย อย่าได้ใช้ศาสตร์แห่งการดูรัศมีเชียว ไม่เช่นนั้นตาจะบอดเอาได้!”
คำพูดนี้ย่อมบอกกล่าวไปถึงยอดฝีมืออาณาจักรนภาสวรรค์ที่ยืนอยู่ด้านหลังของเขา
เมื่อได้ยินคำของเจียนหงเซียว พวกเขาก็ยิ่งสงสัยและใคร่อยากจะมองดูรัศมี แต่ก็ต้องกลัวคำพูดนั้นของเจียนหงเซียวจนไม่กล้าทำอะไร
ที่ด้านล่าง คนทั้งหลายกำลังมึนงง
ใช้ศาสตร์แห่งการมองรัศมีแล้วตาบอด?
นี่มัน…ไม่เคยมีมาก่อน!
เจียนหงเซียวยิ้ม “ทุกคนคงสงสัยว่าทำไมครานี้เฒ่าคนนี้ถึงได้ปรากฏตัวออกมา”
ได้ยินแบบนั้นพวกเขาทั้งหลายก็พยักหน้าไปตามๆ กัน
เพราะโดยปกติแล้วเมืองสังเวียนร้อยศึกจบลง จะมียอดผู้อาวุโสออกมารับหน้าทำงานปิดงานและตัวของเจียนหงเซียวนั้นไม่เคยจะปรากฏกายออกมาก่อนเลย
แต่คราวนี้มันกลับไม่ใช่
เจียนหงเซียวบอกต่อ “เฒ่าคนนี้มาก็เพื่อจะประกาศสองอย่าง ทุกคนคงคิดว่าเย่หยวนนั้นมีชะตาสีม่วง แต่จริงๆ แล้วมันไม่ใช่เขา แต่ผู้ที่มีชะตาสีม่วงเป็นเด็กหนุ่มนามหนิงเทียนปิง ส่วนสีฟ้าทั้งสองนั้นคือเจียงหนานและโม่เฟย”
…………………………