“หะ? ราชันพระเจ้าห้าดาวคนนั้นน่ะนะ? ชะตาสีม่วง?”
“บ้าบอ! เจ้าหมอนี่มันมีชะตาที่สูงส่งกว่าเจียงหนานและโม่เฟยอีกรึ?”
“ไม่เอาน่า เจ้าคิดว่าท่านเจ้าศาลาจะมาล้อเล่นกับเจ้ารึไง?”
…
ทุกคนต่างตกตะลึง!
ไม่มีใครคาดคิดว่าหนิงเทียนปิงจะกลายเป็นคนที่มีดวงชะตาเจิดจ้าเสียยิ่งกว่าใครๆ คนอื่น
เพราะชะตายิ่งใหญ่หรือไม่นั้น มันก็พอจะดูออกได้จากพลังฝีมือที่แสดงออกมา
โดยปกติแล้วผู้ที่แข็งแกร่งกว่าใครๆ ในรุ่นเดียวกันย่อมมีโชคชะตาที่เจิดจ้ากว่าใครๆ
แต่เรื่องนั้นมันไม่เสมอไป ทุกคนรู้ดี
มันเพียงแค่ว่า หนิงเทียนปิงนั้นดูธรรมดาจนเกินไป!
แม้ว่าเขาจะมีฝีมือที่ไม่น้อย แต่เมื่อเทียบมันกับเจียงหนานหรือโม่เฟย มันก็ยังห่างชั้นกันอย่างมาก
ทุกคนจึงไม่อยากจะเชื่อว่าคนเช่นนี้จะเป็นคนที่มีดวงชะตาแก่กล้าที่สุดในหมู่ผู้ชนะทั้งแปดคน
เจียงหนานและโม่เฟยเองก็หันไปมองหนิงเทียนปิงอย่างตื่นตะลึงเช่นกัน ดวงตาของพวกเขาทั้งสองนั้นมีแต่ความไม่อยากเชื่อ
“ข-ข้า? ชะตาสีม่วง?”
หนิงเทียนปิงเองก็ยกนิ้วขึ้นมาชี้หน้าตัวเองเช่นกัน
เจ็ดปีก่อนเจียนเจิ้นเทาได้ช่วยเขามองดูรัศมีมาก่อน และตอนนั้นเขายังมีรัศมีแค่สีฟ้าเท่านั้น
ใครจะไปรู้ว่าเวลาผ่านไปแค่เจ็ดปี เขากลับกลายเป็นว่ามีชะตาสีม่วงแทนแล้ว!
หลังอยู่ในเมืองจักรพรรดิเลิศประกายมาหลายปี มันทำให้หนิงเทียนปิงเริ่มเข้าใจความแตกต่างของสีชะตาต่างๆ ขึ้นมาบ้างแล้ว
เขาจำได้ว่าก่อนที่จะมาติดตามนายใหญ่นั้นชะตาของเขาอย่างมากก็คงไม่เกินสีเหลือง
เวลาหลายร้อยปีที่ผ่านมา เขากลับสามารถมีชะตาสีม่วงแทนได้!
ชะตาสีม่วง หรือเรียกชื่อเต็มๆ ว่ารัศมียอดม่วง มันเป็นชะตาที่สูงส่งที่สุดเท่าที่คนธรรมดาๆ คนหนึ่งจะมีได้แล้ว
คนที่มีรัศมียอดม่วงนั้นจะมีโอกาสสูงมากที่จะบรรลุผ่านไปได้ถึงอาณาจักรเทพถ่องแท้!
ในเมืองจักรพรรดินั้น คนแบบนี้หาได้ยากมาก
เพราะว่าวิชาต่างๆ ที่สืบทอดกันมาในเมืองจักรพรรดินั้นล้วนแล้วแต่เป็นของตกทอดจากยอดฝีมืออาณาจักรนภาสวรรค์ ยากมากที่จะมีสมบัติจากเทพถ่องแท้ตกถึงมือใคร
และต่อให้มี เหล่าคนที่จะไปถึงอาณาจักรเทพถ่องแท้ได้มันก็มีน้อยแค่หยิบมือ
เพราะฉะนั้นทุกผู้คนจึงต่างตกตะลึงอย่างถึงที่สุด
สังเวียนร้อยศึกนี้มีการจัดขึ้นมาหลายร้อยปีแล้ว แต่จนถึงตอนนี้ยอดอัจฉริยะที่มีรัศมียอดม่วงนั้นมันก็มีน้อยจนนับได้ด้วยมือเดียว!
แค่นี้มันก็มากพอจะแสดงแล้วว่ารัศมียอดม่วงนั้นหายากมากแค่ไหน
แต่การที่เขามีถึงรัศมียอดม่วงได้ในวันนี้ เรื่องราวทั้งหลายย่อมเป็นเพราะนายใหญ่ของเขา!
เวลาไม่กี่ร้อยปีมานี้การที่คนมีชะตาสีเหลืองธรรมดาๆ จะกลายเป็นรัศมียอดม่วงที่หาได้ยากนั้นมันคงเรียกได้ว่าโชคเสียยิ่งกว่าโชค! เหมือนปลาคาร์ปที่ว่ายผ่านประตูมังกร!
“หึๆ เจ้าหนุ่มไม่เชื่อคำของเฒ่าคนนี้อย่างนั้นรึ?” เจียนหงเซียวถามด้วยรอยยิ้ม
“ไม่ๆ เด็กน้อยผู้นี้จะไปสงสัยท่านเจ้าศาลาได้อย่างไร? ข้าแค่…รู้สึกไม่อยากจะเชื่อสักเท่าไหร่ เพราะยังไงเด็กน้อยผู้นี้ก็เป็นแค่นักยุทธมาจากเมืองจักรพรรดิระดับต่ำบ้านนอกแห่งหนึ่ง รัศมียอดม่วงนั้น มันเป็นสิ่งที่ข้าไม่เคยคิดเคยฝันมาก่อนเลยในชีวิต!” หนิงเทียนปิงบอกอกมาอย่างติดๆ ขัดๆ
แต่ทว่าคำพูดเหล่านี้มันกลับเหมือนเป็นสายฟ้าที่ผ่าลงกลางหัวผู้คนที่ได้รับฟัง
“หะ? มัน…มันเป็นเพียงแค่นักยุทธจากเมืองจักรพรรดิระดับต่ำ!”
“เจ้าล้อกันเล่นใช่ไหม? เมืองจักรพรรดิระดับต่ำนั้นกลับมีรัศมียอดม่วงเกิดมาได้?”
“เจ้าหมอนี่มันคิดจะมากลบฝังผู้คนใช่ไหมเนี่ย? ข้าล่ะอยากมุดแผ่นดินหนีเสียจริงๆ แล้ว!”
…
เหล่ายอดอัจฉริยะทมั้งหลายต่างระเบิดอารมณ์ออกมาทันทีที่ได้ยินคำของหนิงเทียนปิง
เมืองจักรพรรดิระดับต่ำ มียอดฝีมืออาณาจักรนภาสวรรค์แค่สามถึงห้าคน สมบัติใดๆ ก็ย่อมอ่อนแอ มีทรัพยากรที่แสนร่อยหรอ
แล้วสถานที่แบบนั้นมันจะมีรัศมียอดม่วงเกิดขึ้นมาได้อย่างไร?
ไปเจอสมบัติเทพถ่องแท้เข้า?
หากเรื่องนั้นมันง่ายดาย โลกใบนี้มันก็คงเต็มเปี่ยมไปด้วยยอดคนไปแล้ว
เจียนหงเซียวยิ้มตอบ “ชะตาของคนเรามันไม่ได้มั่นคงแน่นอน การที่เจ้ามีชะตาอย่างที่เป็นได้ในทุกวันนี้ย่อมล้วนแล้วแต่เพราะเจ้าถูกอำนาจของชะตาผู้มีพระคุณของเจ้าเข้าเปลี่ยนแปลง อย่างที่ว่า เมื่อนายได้ตรัสรู้ หมูหมากาไก่ย่อมขึ้นสวรรค์ตาม มันเป็นไปตามนั้นแหละ”
นั่นช่วยทำให้หนิงเทียนปิงเข้าใจได้ทันทีและเขาก็ย่อมรู้ว่าผู้มีพระคุณของตนนั้นคือใคร เขารีบหันไปมองเย่ยหวนด้วยสีหน้าสุดตื้นตัน “นายใหญ่ ท-ท่านได้ยินไหม? ข้า…ข้ามีรัศมียอดม่วงล่ะ!”
เย่หยวนยิ้ม “ไม่เลวๆ! ความพยายามหลายปีมานี้ของเจ้ามันส่งผลแล้วจริงๆ!”
ตอนนี้ไม่ว่าจะเป็นคนอีกหกคนหรือเหล่าผู้คนบนที่นั่งชม พวกเขาต่างไม่เคยรู้ถึงสายสัมพันธ์ของเย่หยวนและหนิงเทียนปิงมาก่อน
เมื่อได้ยินหนิงเทียนปิงเรียกเย่หยวนว่า ‘นายใหญ่’ พวกเขาทั้งหลายต่างก็แสดงสีหน้าสุดตื่นตกใจออกมา
เป็นตอนนี้เองที่พวกเขาทั้งหลายได้สติขึ้น มันยังมีเย่หยวนอีกนี่นา!
หนึ่งชะตาม่วง สองชะตาฟ้า แล้วเย่หยวนเล่า?
เดิมทีพวกเขาต่างสงสัยว่าเย่หยวนที่ชนะเลิศจะมีชะตาที่ต่ำกว่าเจียงหนานและโม่เฟย หรือต่ำกว่ากระทั่งหนิงเทียนปิงเลยหรือ?
มันไม่แปลกหรอกที่พวกเขาจะคิดไว้ก่อนว่าต่ำกว่า เพราะรัศมีจักรพรรดินั้นมันเป็นแค่ตำนานที่ไม่เคยปรากฏออกมาในประวัติศาสตร์
ส่วนรัศมีผ่าจักรพรรดินั้นยิ่งไม่ต้องพูดถึง
เพราะพวกเขาไม่เคยกล้าที่จะคิดถึงมัน!
ตอนนี้เมื่อรัศมียอดม่วงเรียกเย่หยวนว่า ‘นายใหญ่’ เช่นนี้แล้ว มันก็หมายความว่าเขาคนนี้เป็นผู้ติดตามของเย่หยวน
และในเรื่องที่ท่านเจ้าศาลามายาล้ำว่ามานั้น หนิงเทียนปิงได้รับการเปลี่ยนแปลงจากรัศมีของผู้มีพระคุณ
งั้นดวงชะตาของเย่หยวนจะยิ่งใหญ่แค่ไหนกัน?
เจียนหงเซียวไม่ปล่อยให้พวกเขาเดานานนัก เขายิ้มออกมา “หึๆ ทุกคนเดาถูกแล้ว! เรื่องแรกที่เฒ่าคนนี้จะประกาศก็คือในที่สุดสังเวียนร้อยศึกเราก็มีรัศมีจักรพรรดิปรากฏกายขึ้นมา! เขาคือเย่หยวนคนนี้! ที่สำคัญชะตาของเขายังยิ่งใหญ่และจะได้กลายเป็นตัวตนที่แสนทรงพลัง!”
หินก้อนเดียวทำทะเลปั่นป่วน!
เหล่าผู้คนที่มานั่งดูต่างแตกตื่นฮือฮากันยกใหญ่
“รัศมีจักรพรรดิ! เป็นรัศมีจักรพรรดิในตำนานจริงๆ! ไม่น่าล่ะ…ไม่น่าล่ะเขาถึงกดดันเจียงหนานได้ขนาดนั้น!”
“พระเจ้าช่วย อายุยืนแล้วมันได้เห็นอะไรใหม่ๆ ตลอดจริงๆ! ชีวิตเฒ่าๆ นี้ได้มีโอกาสเห็นรัศมีจักรพรรดิด้วยตาตัวเองแล้ว!”
“ให้ตายสิ! ข้าอยากเป็นเพื่อนกับเขาจริงๆ! ไม่สิ เป็นผู้ติดตามก็ได้! ขอให้ข้าโดนจิตนิรันดร์นั้นด้วยเถอะ!”
“ท่านเย่หยวน ท่านขาดคนดูแลเตียงยามค่ำคืนหรือไม่? ข้าขออาสา!”
“ฮ่าๆ!”
…
เจียนหงเซียวไม่ได้บอกถึงรัศมีผ่าจักรพรรดิเพราะมันจะสร้างความแตกตื่นจนเกินไป
แต่แค่รัศมีจักรพรรดิธรรมดาๆ มันก็สร้างความแตกตื่นมากพอแล้ว!
บนที่นั่งชมนั้น ไม่มีใครเลยที่คิดอิจฉาในรัศมีจักรพรรดิของเย่หยวน
พวกเขาอิจฉาหนิงเทียนปิงแทน!
เพราะเขานั้นเป็นแค่อัจฉริยะน้อยๆ จากเมืองจักรพรรดิระดับต่ำ ที่เติบโตขึ้นมาได้เพราะติดตามเย่หยวนจนกลายเป็นว่ามีรัศมียอดม่วงไป
ชะตาแบบนี้มันจะไม่เหนือฟ้าดินไปหน่อยหรือ?
เมื่อได้เห็นหนิงเทียนปิง พวกเขาทั้งหลายต่างก็เข้าใจทันทีว่าเมื่อตามติดเย่ยหวนพวกเขาย่อมได้รับผลประโยชน์ไปด้วย!
เย่หยวนมองดูเจียนหงเซียวด้วยสีหน้าเหนื่อยแรง แต่เจียนหงเซียวก็ตอบกลับมาด้วยท่าทางรู้สึกผิด
เย่หยวนนั้นย่อมเข้าใจว่าเจียนหงเซียวนั้นยืมชะตาของเขาเพื่อโฆษณาชื่อของเมืองจักรพรรดิเลิศประกายให้กว้างไกลไปอีก
สังเวียนร้อยศึกให้กำเนิดรัศมีจักรพรรดิ เมื่อข่าวนี้กระจายออกไปมันย่อมสร้างผลกระทบต่างๆ ไม่น้อย
มันย่อมเป็นเรื่องดีต่อเมืองจักรพรรดิเลิศประกาย
แต่เย่หยวนนั้นชอบที่จะทำตัวเงียบๆ ไม่โด่งดังมากกว่า
แต่อีกฝ่ายนั้นคือเจียนหงเซียว เขาจะทำอย่างไรได้?
หากอยากยืมพลังและอำนาจ ก็ยืมไป
เพราะเจ้านั้นเก่งกาจ เจ้ามีสิทธิว่ากล่าวมากที่สุด!
ใครใช้ให้เจ้ามาขอความช่วยเหลือจากเรา?
จากนั้นเจียนหงเซียวเองก็ทำมือขึ้นมาห้ามให้ทุกคนเงียบเสียงลง
เมื่อทุกคนเงียบลงได้แล้วจริงๆ เจียนหงเซียวจึงค่อยๆ บอก “เรื่องราวอันแสนน่ายินดีเช่นนี้ย่อมไม่แปลกที่เฒ่าคนนี้จะออกมาด้วยตัวเอง แต่…เรื่องที่สองนั้น…สังเวียนร้อยศึกครั้งต่อไปคงต้องเลื่อนจัดไปอีกพันปี”
………………………..