“หะ?! เลื่อนไปหนึ่งพันปี?”
“เรื่องอะไรกันเนี่ย? งั้น…ข้าก็ไม่มีโอกาสจะเข้าร่วมแล้ว?”
“ข้าอุตส่าห์รอว่าจะมาร่วมงานรอบหน้า แต่อีกพันปีแบบนี้…ตอนนั้นข้าคงอายุเกินไปแล้วกันพอดี”
…
คำพูดของเจียนหงเซียวนั้นเหมือนระเบิดลูกใหญ่ที่เปลี่ยนบรรยากาศรอบๆ ไปจนสิ้น
เพราะด้วยเวลาแค่สามร้อยปี ยอดอัจฉริยะบางคนยังไม่เติบโตแข็งแกร่งพอที่จะเข้าร่วม แต่พวกเขาก็หวังว่าจะได้เข้าร่วมในอนาคต
แต่อีกพันปี ถึงตอนนั้นยอดอัจฉริยะในตอนนี้คงมีอายุเกินกว่าที่จะเข้าร่วมงานได้แล้ว
ถึงตอนนั้น พวกเขาจะสิ้นโอกาสไปอย่างสิ้นเชิง
ตอนนี้ชื่อเสียงของเมืองจักรพรรดิเลิศประกายนั้นโด่งดังไปทั่ว เหล่ายอดอัจฉริยะที่ได้รับการทำนายและยอมรับจากยอดผู้อาวุโสของเมืองจักรพรรดิเลิศประกายนั้นจะเหมือนได้รับการยอมรับจากเทพเจ้า สถานะของพวกเขาทั้งหลายจะเปลี่ยนไปอย่างหน้ามือเป็นหลังมือ
เพราะว่ามีเรื่องราวแบบนี้มันจึงยิ่งทำให้ชื่อเสียงของเมืองจักรพรรดิเลิศประกายยิ่งโด่งดังไปกว้างไกลกว่าเก่า
แต่หนึ่งพันปีมันนาน!
ยอดอัจฉริยะหลายต่อหลายคนรอมันไม่ไหวแน่!
แต่ในสายตาของเจียนหงเซียว ต่อให้มีคนเป็นหมื่นมันก็เอามาเทียบกับเย่หยวนไม่ได้
การทำให้ยอดอัจฉริยะหนุ่มที่มีรัศมีผ่าจักรพรรดิติดค้างบุญคุณกับตัวเขานั้น มันเป็นเรื่องที่เหนือล้ำกว่าการได้สร้างหนี้บุญคุณให้เหล่าผู้มีรัศมียอดม่วงนับหมื่น
เพราะรัศมีผ่าจักรพรรดินั้น มันคือตัวตนที่สามารถขึ้นไปได้ถึงอาณาจักรจักรพรรดิเทพสวรรค์!
หนี้บุญคุณกับเทพถ่องแท้หมื่นคนหรือจะเทียบเท่าหนี้บุญคุณกับจักรพรรดิเทพสวรรค์คนเดียว?
เพื่อการนี้แล้วเขายังจะกลัวแรงสะท้อนจากยอดเต๋าอีก?
“เอาล่ะ แยกย้ายได้! พวกเจ้าทั้งแปดวันพรุ่งนี้จงมาที่ศาลามายาล้ำเพื่อรับคำชี้นำแบบตัวต่อตัว!” เจียนหงเซียวโบกมือสั่งและหายตัวไป
และสังเวียนร้อยศึกก็จบลงด้วยประการฉะนี้
บนที่นั่งคนดูนั้นมีสองสายตาที่โกรธแค้นมองมายังเย่หยวน
หนึ่งนั้นย่อมเป็นเจียนปิง ส่วนอีกคนนั้น…เป็นหญิงสาว
หญิงสาวคนนี้มองดูเย่หยวนด้วยไฟแห่งความโกรธแค้นจนกัดฟันแน่น “พี่หยุน ความแค้นนี้ข้าจะช่วยท่านสะสางมันให้ได้!”
พูดจบนางก็เดินลงจากที่นั่งไปพร้อมๆ กับฝูงชน
เจียนปิงมองดูเจียงเมิ่งชิงที่เดินจากไปในฝูงชนด้วยรอยยิ้มที่แสนชั่วร้ายเปี่ยมใบหน้า
“เย่หยวน ข้าทำอะไรเจ้าในเมืองจักรพรรดิเลิศประกายนี้ไม่ได้ แต่…เจ้าสังการเซียโหหยุน เจ้าจงรอรับการตามล่าที่จะตามมาได้เลย!”
เจียงเมิ่งชิงนั้นคือศิษย์น้องของเซียโหหยุนและยังเป็นคนรักของเขาด้วย
เหตุผลที่เซียโหหยุนไปสัญญากับเจียนปิงว่าจะช่วยสังหารเย่หยวนให้ทีแรกมันก็เป็นเพราะว่าเขาต้องการให้เจียนปิงไปช่วยพูดกับเจียนฉาวหนิง ให้เจียนฉาวหนิงมาช่วยดูรัศมีทำนายชะตาให้เจียงเมิ่งชิง
เดิมทีเซียโหหยุนคิดว่าการสังหารเย่หยวนนั้นมันคงง่ายแค่พลิกฝ่ามือ ใครจะไปคาดคิดว่าสุดท้ายจะเป็นเขาเองที่ต้องจบชีวิตลง
ที่ด้านล่าง ผู้ชนะทั้งแปดต่างเข้ามาแสดงความยินดีกับเย่หยวน
เพราะตอนนี้ในสายตาของผู้คนนั้นเย่หยวนแตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง
ยอดอัจฉริยะเหล่านี้ล้วนมีนิสัยถือดีเป็นทุนเดิม โดยปกติแล้วพวกเขาชอบมองดูถูกคนอื่นไปทั่ว
แต่อัจฉริยะที่มีรัศมีจักรพรรดินั้นมันแตกต่างจากพวกเขาไปอย่างคนละโลก
ต่อให้พวกเขาจะแพ้ แต่พวกเขาก็แพ้ให้ยอดอัจฉริยะรัศมีจักรพรรดิที่จะบรรลุอาณาจักรเทพถ่องแท้ได้ในวันหน้า
ส่วนเป้าหมายของตัวพวกเขาเองนั้นมันก็เป็นได้แค่ยอดของอาณาจักรนภาสวรรค์
เพราะฉะนั้นแม้เย่หยวนจะได้ที่หนึ่งไป มันจึงไม่มีใครคิดตะขิดตะขวงใจใดๆ
ที่สำคัญการได้สนิทกับเย่หยวนไว้มันอาจจะช่วยให้พวกเขาได้อาบจิตนิรันดร์ของเย่หยวนและพัฒนาดวงชะตาของตัวเองขึ้นไปได้อีกขั้นจนอาจถึงรัศมียอดม่วง
เพราะยังไงเสียพวกเขาก็มีหนิงเทียนปิงให้เห็นเป็นตัวอย่าง
การอิจฉาดวงชะตาคนอื่นนั้นไม่สร้างประโยชน์ใดๆ ให้ชีวิต ตรงกันข้ามหากพวกเขาได้เป็นสหายกับเย่หยวนขึ้นมามันอาจจะช่วยเสริมดวงชะตาของพวกเขาด้วย
จะเลือกอย่างไร ยอดอัจฉริยะเหล่านี้ย่อมไม่ใช่คนโง่และเข้าใจถึงทางออกที่ดีที่สุด
“ที่แท้สหายเย่นั้นมีรัศมีจักรพรรดินี่เอง ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมถึงได้แข็งแกร่งขนาดนี้ตั้งแต่อายุยังน้อย โม่เฟยขอคารวะ!” โม่เฟยบอกออกมาจากก้นบึ้งของจิตใจ
เย่หยวนนั้นแสดงเมตตา โม่เฟยจึงรู้สึกขอบคุณเป็นทุนเดิม
เพราะในสถานการณ์แบบนั้น เย่หยวนสามารถสังหารเขาลงได้อย่างง่ายดายจริงๆ
เรื่องแบบนี้ เมื่อลงดาบไปแล้วการที่จะไม่สังหารมันย่อมยากกว่าการลงมือสังหารเสียจริงๆ ด้วยซ้ำ!
เย่หยวนยิ้มตอบ “เจ้าและข้าไม่ได้มีความแค้นใดกันมาก่อน จะสังหารเข้าไปทำไม? สุดท้ายมันก็แค่การประลองฝีมือ แค่ตัดสินว่าใครเหนือกว่าย่อมเป็นพอแล้ว แต่เซียโหหยุนนั้นมันต่างจากพวกเจ้า มันนั้นถูกผู้คนจ้างมาให้สังหารข้าบนสังเวียน หากมันอยากสังหารข้า มันก็ย่อมต้องเตรียมใจถูกข้าสังหารด้วย”
เมื่อทุกคนได้ยินเช่นนั้นพวกเขาก็รู้สึกราวกับว่าได้ตรัสรู้
ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเย่หยวนถึงได้ทำอะไรรุนแรงเช่นนั้นออกมา ที่แท้เป็นเซียโหหยุนที่คิดจะสังหารเขานี่เอง!
เซียโหหยุนนั้นน่าจะมีดวงชะตาสีฟ้าเช่นกัน น่าเสียดายที่เขาไปลบหลู่คนที่ไม่ควรยุ่งเข้า ถึงขั้นคิดอยากสังหารผู้มีรัศมีจักรพรรดิเช่นนี้ หากไม่เรียกว่ารนหาที่ตายก็คงไม่รู้จะเรียกอะไรแล้ว
เพียงแค่ว่าก่อนหน้านี้มันไม่มีใครคนไหนเลยที่คิดว่าสังเวียนร้อยศึกครานี้มันจะมียอดคนที่มีรัศมีจักรพรรดิปรากฏตัวขึ้นมาเช่นนี้
เจียงหนานบอกขึ้น “หากเป็นเช่นนั้นสหายเย่ต้องระวังตัวให้มาก พ่อของเซียโหหยุนนามเซียโหเหวินเจียนนั้นให้ค่ากับเซียโหหยุนมาก หากเขารู้ว่าเซียโหหยุนตายลงด้วยมือของสหายเย่เขาคงไม่ปล่อยเรื่องราวนี้ผ่านไปง่ายๆ แน่”
เย่หยวนตื่นตกใจเล็กน้อยและยกมือขึ้นมาคารวะ “ขอบคุณสหายเจียงหนานที่เตือน ข้ารับทราบแล้ว!”
เจียงหนานยิ้มตอบ “เจียงผู้นี้เติบใหญ่มาจากเมืองจักรพรรดิม่วงวารี หากวันหน้าสหายเย่มีเวลาข้าขอเชิญเจ้ามาที่เมืองจักรพรรดิม่วงวารีเรา เจียงผู้นี้จะขอต้อนรับเจ้าอย่างดีเลย!”
เย่หยวนยกมือขึ้นขอบคุณด้วยรอยยิ้ม “แน่นอนๆ!”
จากนั้นเหล่าผู้คนทั้งหลายก็เข้ามารุมล้อมเย่หยวนเพื่อแสดงอัธยาศัยไมตรี
ตอนนี้แม้แต่หนิงเทียนปิงที่อยู่ข้างๆ ก็ไม่มีใครคิดมองข้าม
เพราะยังไงเสียผู้มีรัศมียอดม่วง อนาคตของเขาเองก็คงไม่ต่ำต้อยเลย!
หนิงเทียนปิงไม่เคยคิดเคยฝันว่าตัวเองจะได้รับคำชมเยินยอจากผู้คนมากมายขนาดนี้ มันเป็นความรู้สึกที่แสนจะล่องลอย
…
วันต่อมาเย่หยวนก็มาที่ศาลามายาล้ำอีกครั้งเพื่อเข้าพบกับเจียนหงเซียวในห้องส่วนตัวของเขา
เมื่อเจียนหงเซียวเห็นเย่หยวนเขาก็หัวเราะลั่น “ฮ่าๆ สมแล้วที่มีรัศมีผ่าจักรพรรดิ สหายหนุ่มนั้นแสดงฝีมือได้เหนือล้ำกว่าที่เฒ่าคนนี้คาดคิดเสียเหลือเกิน! ชิๆ ผสานแนวคิดแห่งดาบกับแนวคิดแห่งห้วงมิติ ช่างเป็นดาบที่แสนเยี่ยมยอด! นอกจากนั้นเจ้ายังบ่มเพาะทั้งพลังปราณและฝึกฝนร่างกาย ช่างเปิดหูเปิดตาเฒ่าคนนี้นัก!”
ดูท่าแล้วเขาคงจับตามองดูการต่อสู้ของเย่หยวนอย่างจริงจัง
แต่ความตื่นตกใจที่เขามีต่อพลังฝีมือของเย่หยวนนั้นมันก็ไม่ได้น้อยไปกว่าคนอื่นๆ เลย
เพราะเย่หยวนนั้นมีอาณาจักรพลังบ่มเพาะที่เรียกว่าไม่ได้ดีนักในหมู่นักยุทธที่เข้าร่วม
แต่การบ่มเพาะปราณและฝึกร่างกาย ผสานแนวคิดแห่งดาบและแนวคิดแห่งห้วงมิติ เมื่อรวมๆ ของพวกนี้เข้าด้วยกันแล้วมันจึงไม่มีคำอื่นจะอธิบายได้นอกจากคำว่าสุดยอด
เย่หยวนยิ้ม “ท่านผู้อาวุโสก็ชมเกินไป เย่หยวนคนนี้แค่โชคดีเท่านั้น”
เจียนหงเซียวยิ้ม “สำหรับตระกูลเจียนแล้ว ทุกสิ่งและทุกอย่างย่อมผูกพันกับโชคชะตาของเจ้า โอกาสและโชคทั้งหลายเองก็ย่อมเป็นส่วนหนึ่งของโชคชะตา สหายหนุ่มเย่หยวน เฒ่าคนนี้ขอยืมใช้ชื่อและพลังของเจ้าโดยไม่ได้ขอก่อน หวังว่าเจ้าจะไม่โกรธเคืองกัน!”
เทียบกับครั้งก่อนแล้ว เจียนหงเซียวนั้นมีท่าทีอ่อนลงมาก
แน่นอนว่าการเปลี่ยนแปลงนี้มันย่อมเกิดขึ้นมาจากสิ่งที่เย่หยวนแสดงในสังเวียนร้อยศึก
เพราะจริงๆ เขาเองก็ไม่ได้ใช้ศาสตร์การดูรัศมีกับเย่หยวน คำที่บอกว่าเย่หยวนมีรัศมีผ่าจักรพรรดินั้นเองก็เป็นเพียงแค่การคาดเดาจากประสบการณ์เท่านั้น
เพราะแม้ว่าเขาจะมีพลังที่สูงส่ง แต่เขาก็ยังไม่อยากจะใช้ศาสตร์มองดูรัศมีของเย่หยวนอย่างส่งเดช
เพราะหากถูกยอดเต๋าสะท้อนเข้า ร่างเฒ่าๆ นี้ของเขาคงจบสิ้นกันแน่
การที่บอกให้เย่หยวนไปร่วมสังเวียนร้อยศึกเอง ส่วนหนึ่งก็เพื่อที่จะปฏิเสธเย่หยวนไปอย่างอ้อมๆ
ส่วนอีกด้านก็เพื่อจะมองดูตัวตนที่ชื่อว่าเย่หยวนนี้อย่างจริงจัง
และดูท่าว่าพลังฝีมือที่เย่หยวนแสดงออกมามันจะเหนือล้ำกว่าที่เขาคาดคิดไว้มาก!
และนี่มันยิ่งทำให้เขามั่นใจว่าเย่หยวนนั้นมีรัศมีผ่าจักรพรรดิติดตัวจริงๆ
เมื่อได้พบเจอเย่หยวนอีกครั้ง สิ่งแรกที่เจียนหงเซียวทำจึงเป็นการขอโทษ
…………………………