เย่หยวนไม่พูดอะไรต่อและรีบกลืนเม็ดโอสถลงไปทันที
พลังวิญญาณอันล้นหลามค่อยๆ เปลี่ยนกลายเป็นปราณเทวะและไหลตรงเข้าสู่พายุกลางทะเลจิตศักดิ์สิทธิ์ของเขาทันที
ตู้ม!
พายุศักดิ์สิทธิ์นั้นสั่นสะท้านทำให้ทั้งร่างของเย่หยวนต้องสั่นตาม
ตอนนี้ไม่ใช่แค่ว่าพายุศักดิ์สิทธิ์ของเขาจะไม่ขยายขึ้น แต่มันกลับยิ่งเล็กลงด้วยพลังงานปริศนาแทน
รอบๆ ตัวเย่หยวนมีพลังงานวิญญาณไหลเวียนอย่างบ้าคลั่ง เส้นสายฟ้าบินขึ้นมารอบๆ ตัวเขาเป็นภาพที่น่าตื่นตา
โอสถเม็ดนี้แท้จริงแล้วมีนามว่าโอสถสุคนธรสดำข้น เป็นสูตรโอสถของจอมเทพนิรันดร์ หนึ่งในโอสถที่มีฤทธิ์รุนแรงที่สุด
เพียงแค่ว่าดอกสุคนธรสดำยมโลกนั้นมันเป็นสมุนไพรที่หายากมาก สูตรโอสถนี้มันจึงเรียกได้ว่าไร้ค่าใดๆ มาตลอด
เดิมทีเย่หยวนนั้นก็มีพลังบ่มเพาะในระดับยอดอาณาจักรวายุพระเจ้าสามดาวแล้ว ห่างจากอาณาจักรวายุพระเจ้าสี่ดาวเพียงแค่เอื้อมมือ ตอนนี้ด้วยคลื่นพลังวิญญาณมหาศาลจากโอสถ เย่หยวนจึงสามารถบรรลุขึ้นมาได้โดยไม่ต้องลำบากลำบนใดๆ
และราวกับว่ามันสัมผัสได้ถึงพลังที่กำลังพุ่งสูงของเย่หยวน เจ้าวานรอสูรตาม่วงจึงรีบพุ่งหมัดต่อยมาทางเย่หยวนทันที
เจ้าวานรอสูรตาม่วงตัวนี้มันฉลาดและรู้ได้ถึงพลังอันสูงส่งของเย่หยวน
ตอนนี้เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังจะบรรลุขึ้นไปอีก มันจึงคิดที่จะขัดระหว่างการบรรลุ!
เรื่องนี้ทำให้สีหน้าของพวกด้วนเผิงเปลี่ยนไปทันควัน เขาตะโกนลั่น “น้องเย่ระวัง!”
อีกด้านเจ้าวานรอสูรตาม่วงนั้นมีดวงตาที่เรียกได้ว่าม่วงจนแดง เป็นภาพที่ราวกับยักษ์มารปีศาจ
พลังและความเร็วของมันในตอนนี้ยิ่งรุนแรงมากกว่าก่อนหน้า!
พริบตาเดียวหมัดนั้นมันก็มาถึงหน้าเย่หยวน
เจ้าวานรอสูรตาม่วงนั้นเบิกตากว้างด้วยท่าทางสุดแสนจะดีใจ
เพราะหากหมัดนี้ต่อยลงไปได้ เจ้ามนุษย์คนตรงหน้านี้คงได้กลายเป็นจุลแน่
เพราะเจ้ามนุษย์นั้นไม่มีเวลาจะถอยหนีใดๆ แล้ว
ปัง!
“อ้า!”
ด้วนเผิงร้องขึ้นด้วยอาการตื่นตะลึง
เพราะภาพที่ตามมานั้นมันทำให้ทุกผู้คนที่เห็นต้องตกตะลึง
หมัดของเจ้าวานรอสูรตาม่วงถูกปล่อยลงมา แต่เย่หยวนกลับอยู่ดีและเป็นเจ้าวานรเองที่ถูกกระทบกระแทกลอยปลิวไปไกล
วานรอสูรตาม่วงตกกระแทกลงกับพื้นและดิ้นไปดิ้นมาอย่างทรมาน แม้แต่ตอนนี้บนร่างของมันก็ยังมีเปลวสายฟ้าสีฟ้าวนลอยอยู่ตามร่าง
พวกด้วนเผิงได้แต่หันมามองหน้ากัน ดูภาพตรงหน้าอย่างไม่อยากเชื่อสายตา ใบหน้าเปี่ยมไปด้วยความมึนงง
“ก-เกิดอะไรขึ้น? ทำไมเจ้าวานรอสูรตาม่วงถึงได้กระเด็นกลับไปเองเช่นนี้?”
“ไม่รู้! หมัดเมื่อสักครู่มันแสนจะรุนแรง แต่กลับเหมือนว่าเป็นตัวมันเองที่โดนพลังนั้นเข้า”
“น้องเย่นี่ประหลาดเกินคนจริง! เมื่อกำลังบรรลุจะไม่มีใครสามารถเข้าใกล้เขาได้เลย?”
…
ในระหว่างที่ทุกคนกำลังมองไปอย่างตื่นตกใจนั้น คลื่นพลังของเย่หยวนก็ไปจนถึงจุดสูงสุดและผ่านคอขวดขึ้นอาณาจักรวายุพระเจ้าสี่ดาวไปทันที!
เย่หยวนในตอนนี้ ต่างจากเดิมออกไปจนแทบเรียกได้ว่าเป็นคนละคน!
ตอนที่เย่หยวนบรรลุดาวนั้นเขาต้องใช้พลังวิญญาณที่มากมายมหาศาลกว่านักยุทธธรรมดาทั่วไปหลายเท่านัก
และการบรรลุชั้นในตอนนี้ มันยิ่งต้องใช้พลังวิญญาณที่มหาศาลอย่างเหลือเชื่อกว่า
แล้วถามว่าคลื่นพลังปราณของเขาจะอยู่ในระดับไหน?
ต่อให้เห็นแค่ไกลๆ พวกด้วนเผิงก็เข้าใจได้ถึงความแข็งแกร่งของเย่หยวน
ด้วนเผิงหน้าถอดสีทันที “แข็งแกร่ง! หากตอนนี้เขาคิดอยากสังหารข้า เขาคงลำบากแค่ต้องขยับนิ้วเท่านั้น!”
คนอื่นๆ เองพยักหน้าตามด้วยความเห็นด้วยอย่างสุดใจ
เพราะต่อให้เป็นด้วนเผิงยังรู้สึกเช่นนั้น มีหรือที่พวกเขาทั้งหลายจะทนต่อต้านใดได้
เย่หยวนค่อยๆ เดินเข้าไปหาเจ้าวานรอสูรตาม่วงที่กำลังดิ้นอยู่บนพื้น “ข้ารู้ว่าเจ้าเข้าใจข้า เรื่องนี้มันเป็นความผิดฝั่งเราจริงๆ ฉะนั้นข้าจะไม่สังหารเข้าหรอก ไปเสีย”
เจ้าวานรชักกระตุกอีกสองสามทีก่อนจะก้มลงคุกเข่าต่อเย่หยวนด้วยท่าทางเหมือนมนุษย์ ดูท่าแล้วมันคงกำลังแสดงความขอบคุณต่อเย่หยวนที่ไว้ชีวิตมัน
ดวงตาของวานรอสูรตาม่วงตัวนี้มันได้กลับมาเป็นสีปกติแล้ว แต่ดูเหมือนว่ามันเองก็จะบาดเจ็บไปไม่น้อยดูจากคลื่นพลังของมันที่ตกต่ำลงอย่างมาก
ด้วนเผิงและพวกจึงเดินขึ้นมาหาเย่หยวนอย่างตื่นกังวล “น้องเย่ มันเกือบจะสังหารเราแล้วแท้ๆ ทำไมเจ้าถึงคิดปล่อยมันไปเล่า?”
เพราะตอนที่เย่หยวนสังหารลัวยองหรือฉีตงอี่ เขานั้นไม่มีร่องรอยของความอ่อนโยนใดๆ อยู่เลย
เย่หยวนจึงตอบ “แต่ละชีวิตนั้นล้วนมีวิญญาณ ผู้ที่ควรถูกสังหารก็ย่อมควรถูกสังหาร ผู้ที่ไม่ควรถูกสังหารจะอย่างไรเสียย่อมไม่ควรตาย วานรตัวนี้มันรักษาดูแลผลภูติดินปีกเงินมานานหลายปีแต่กลับถูกเราแย่งชิงไป หากเรายังโหดร้ายคิดสังหารมันอีกมันคงเกินกว่าที่กฎแห่งธรรมชาติจะรับได้ ปล่อยให้มันได้มีหวังในชีวิตไว้บ้างเพื่อชดใช้ความผิดที่เราก่อ”
คนทั้งหลายได้แต่หันมองหน้ากันโดยไม่เข้าใจความหมายนั้น
เย่หยวนยกมือขึ้นมาโบกปัดไล่มันไป เจ้าวานรอสูรตาม่วงเห็นเช่นนั้นก็ตื่นเต้นดีใจรีบหนีหายไปทันที
การตัดสินใจนี้ของเย่หยวน พวกด้วนเผิงย่อมไม่มีใครกล้าจะคัดค้านใดๆ พวกเขากลับมีหน้าตื่นตื่นเต้นดีใจแทน “น้องเย่ช่างมีฝีมือที่เหนือล้ำจินตนาการ! การเดินทางครั้งนี้หากไม่มีเจ้าพวกเราทั้งหลายคนได้ตายอย่างไม่เหลือซากศพใดๆ แล้ว! ด้วนผู้นี้ขอขอบคุณน้องเย่ยิ่งนักที่ช่วยชีวิตไว้! ผลภูติดินปีกเงินและดอกเครือเขียวตาข่ายหยกนี้น้องเย่จงรับไว้เถอะ”
พูดไปด้วนเผิงก็ยื่นแหวนออกมา
เย่หยวนยิ้มตอบและผลักมือของด้วนเผิงพร้อมๆ แหวนกลับไป “ลูกผู้ชายพูดคำไหนคำนั้น ข้าจะมากลืนน้ำลายตัวเองได้อย่างไรกัน? ของเหล่านี้พวกท่านทั้งหลายจงเอาไปแบ่งกันเองเถอะ”
ด้วนเผิงมีสีหน้าไม่ค่อยดีนัก “น้องเย่ ข้าไม่คิดจะขัดหรอกนะ ข้าแค่…ข้าแค่รู้สึกละอายเหลือเกิน”
เย่หยวนบอก “ข้าได้รับน้ำใจจากท่านแล้ว แต่ด้วยกฎของตัวข้าเองนั้นข้าจะไม่ขอรับของพวกนี้ไว้”
เอาเข้าจริงสมุนไพรทั้งสองชนิดนี้เย่หยวนเองก็สนใจมันไม่น้อย
แต่เขาเองก็มีกฎในการดำเนินชีวิต เดิมทีเขานั้นบอกพวกด้วนเผิงให้ไปหุบร้ายวารีด้วยกันพร้อมคำสัญญา และเมื่อเขาสัญญาไปแล้วเขาย่อมไม่คืนคำ
ที่สำคัญในเวลาหลายปีมานี้เย่หยวนได้ความรู้เรื่องเทือกเขาเทพอสูรนี้จากพวกด้วนเผิงมามากมาย
สมุนไพรเหล่านี้นับว่าเป็นค่าตอบแทนความรู้เหล่านั้น
ด้วนเผิงกล่าวออกมาด้วยใบหน้าเปี่ยมอารมณ์ “น้องเย่ช่างเป็นลูกผู้ชายอย่างแท้จริง ด้วนคนนี้เดินทางในเทือกเขาเทพอสูรมาแสนนาน ได้เรียนรู้ถึงความเลวร้ายและการหลอกลวงมากมาย ได้มาเจอน้องเย่ในวันนี้มันทำให้ข้าละอายนัก”
เย่หยวนบอก “ทุกคนล้วนมีจุดยืนที่แตกต่าง ในเทือกเขาเทพอสูรนี้การจะอยู่รอดได้ย่อมต้องอยู่กับการหลอกลวง หากเป็นข้าที่มาใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ ข้าเองก็คงไม่ได้ดีงามไปกว่าพี่ด้วนหรอก”
ตอนนี้เองหยูจิงก็เดินขึ้นมาหาเย่หยวนบ้าง “น้องเย่ เจ้านั้นช่างแตกต่างจากคนทั่วๆ ไปจริงๆ!”
เย่หยวนยิ้มตอบ “เอาล่ะ การเดินทางของเราคงสิ้นสุดแค่นี้ ทุกท่าน ข้าคงต้องขอตัวลา”
นั่นทำให้หยูจิงหน้าเปลี่ยนสีไปด้วยความตื่นตกใจทันที “เจ้าจะไม่กลับไปกับเราหรือ?”
เย่หยวนส่ายหัวออกมา “ข้าจะเดินทางต่อไปยังที่ราบเทพอสูรและคงไม่ได้กลับไปกับพวกท่านแล้ว”
ด้วนเผิงพูดขึ้นอย่างตื่นตกใจ “น้องเย่ อาณาจักรเทพอสูรนั้นมันเป็นสถานที่แปลกประหลาดเต็มไปด้วยยอดอสูรมากมาย มันอันตรายเกินกว่าที่เจ้าจะเดินทางไปคนเดียวนะ!”
เย่หยวนยิ้มตอบ “ข้าย่อมรู้เรื่องนี้ดี แต่ข้านั้นมีเหตุให้ต้องไปจริงๆ พี่จิงหลังจากท่านกลับไปแล้วท่านจงนำสมุนไพรนี้ไปให้น้องชายท่านกินเสีย ไม่เกินครึ่งเดือนเขาคงกลับมาหายดี ถึงตอนนั้นท่านก็สามารถเดินทางกลับบ้านเกิดได้แล้ว”
ได้ยินว่าเย่หยวนกำลังจะจากไป หัวใจของนางกลับรู้สึกเหมือนถูกเข็มนับพันเล่มทิ่มแทง
แต่หลังจากใช้ชีวิตในเทือกเขาเทพอสูรมานานหลายต่อหลายปี หยูจิงจึงไม่ใช่เด็กสาวตัวน้อยๆ อีกต่อไป
นางฝืนกลั้นอารมณ์นั้นและยกมือขึ้นมาคารวะ “ขอบพระคุณน้องเย่ที่ช่วยเหลือ พี่จิงคนนี้จะจดจำมันไปตลอดชีวิต!”
เย่หยวนยิ้มรับและกล่าวลาทุกคน
เมื่อเห็นว่าแผ่นหลังของเย่หยวนค่อยๆ หายลับไปกับป่าทึบด้วนเผิงก็ถอดหายใจออกมา “น้องจิง น้องเย่นั้น…เขามีชะตาอยู่คนละโลกกับเราอย่างสิ้นเชิง!”
………………………..