โถงนักบวชนั้นคือสถานที่ที่เหล่านักบวชทั้งหลายจะใช้มันในการหลอมโอสถ ปกติแล้วมันย่อมจะมีทั้งผู้อาวุโสและเหล่านักบวชมาฝึกฝนตัวกันที่นี่
แต่ตอนนี้ด้านในโถงมันเต็มไปด้วยผู้คนอย่างล้นหลาม พวกเขาเหล่านี้มากันเพื่อที่จะดูการต่อสู้หนึ่ง
นักบวชปะทะนักบวชฝึกหัดชั้นต่ำ ข่าวที่ใหญ่ขนาดนี้มันย่อมแพร่กระจายไปทั้งวิหารอย่างรวดเร็ว
พวกเขาย่อมอยากจะเห็นว่านักบวชฝึกหัดหน้าไหนที่มันช่างกล้า อาจหาญไปท้าทายนักบวชเข้า
ที่สำคัญกว่านั้นนักบวชที่กำลังจะขึ้นสนามยังเป็นนักบวชที่เรียกได้ว่าเป็นผู้แข็งแกร่งคนหนึ่ง
“ไอ้เด็กนั่นหรือ? ดูธรรมดาเสียจริง!”
“ธรรมดา? หึๆ ไอ้เด็กคนนี้มันไม่ธรรมดาเลย! มันสามารถประลองการคุมไฟกับฉีเฟิงที่หน้าศาลาสวรรค์หลวงและสามารถชนะมาได้ถึงสองครั้งติด!”
“เรื่องนั้นก็ไม่เท่าไหร่หรอก การคุมไฟกับการหลอมโอสถจริงๆ มันแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ดูท่าคราวนี้ฉีเฟิงคงเตรียมตัวมาแก้แค้นแน่ๆ เขานั้นมีพลังถึงระดับสี่ขั้นปลาย ไอ้เด็กคนนั้นมันคงเพิ่งเข้าระดับสี่ขั้นกลางมาได้ไม่นาน ด้วยพลังของฉีเฟิงแล้ว เขาย่อมไม่มีทางแพ้พ่ายแก่เย่หยวนแน่”
…
เหล่านักยุทธหลายต่อหลายคนได้ฝึกการควบคุมไฟเพื่อใช้มันในการต่อสู้สังหารศัตรู จะบอกว่าเรื่องเช่นนี้มันปกติธรรมดาก็คงไม่ผิดนัก
แต่การควบคุมไฟและการหลอมโอสถนั้นมันแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
ในศาสตร์การหลอมโอสถของเผ่าอสูร ทุกสิ่งอย่างมันขึ้นอยู่กับปราณอสูรเทวะ ระดับชั้นบ่มเพาะพลังมันส่งผลมากกว่าที่ใครจะคาดคิดเยอะ
หากฉีเฟิงเป็นแค่ใครที่ไหนไม่รู้อาจจะยังพอว่า แต่เขานั้นไม่ใช่
เพราะแม้เขาจะไม่ได้เก่งกาจในด้านโอสถที่สุด แต่เขาก็นับว่าเป็นคนที่เก่งกาจพอจะติดอันดับหนึ่งในสิบได้ง่ายๆ พลังความสามารถของเขานั้นเหลือล้นกว่านักบวชคนอื่นๆ
นักบวชที่ได้ติดอันดับหนึ่งในสิบ พวกเขาย่อมมีพลังฝีมือที่เหนือล้ำ
ในอนาคตเขาคนนี้คือคนที่จะได้ขึ้นเป็นถึงระดับผู้อาวุโสได้!
เพราะเช่นนั้นฉีเฟิงถึงได้มีท่าทางอวดเก่งและโอหังเช่นนี้
ในส่วนลึกของโถง มีสามเงาร่างกำลังมองดูเหตุการณ์ในโถงนักบวชบนหน้าจอแสงอยู่
“นิคุน ในสายตาเจ้าแล้วใครจะชนะการดวลศึกโอสถครั้งนี้?” ฉีหยูถาม
นิคุนตอบกลับมา “เรื่องนี้ยังต้องถามอีกหรือ? แน่นอนว่ามันต้องเป็นฉีเฟิง! เด็กคนนั้นมันมีพรสวรรค์ที่เหนือล้ำ ฝีมือเองก็ไม่เลว แต่เรื่องในการสอบวันนั้นมันคงเป็นขีดจำกัดของเขาแล้วใช่ไหม? เพราะอย่างไรเสียการหลอมโอสถอสูรศักดิ์สิทธิ์มันก็แตกต่างจากการหลอมโอสถศักดิ์สิทธิ์อย่างสิ้นเชิง”
คูมู่เองก็พยักหน้ารับ “เย่หยวนนั้นมีพรสวรรค์ที่เหนือล้ำจริงๆ หากให้เวลาเขาสักปีเขาต้องยืนอยู่เหนือนักบวชทุกผู้คนได้แน่ๆ แต่เวลาแค่ไม่กี่วันนี้มันย่อมไม่พอที่จะเปลี่ยนแปลงอะไร”
แต่ฉีหยูกลับบอก “ข้าได้ยินว่าเจ้าเด็กคนนี้มันเข้าไปในศาลาสวรรค์หลวงอยู่สิบกว่าวัน ดูท่าแล้วมันคงได้เรียนรู้อะไรเกี่ยวกับโอสถอสูรศักดิ์สิทธิ์ไปไม่น้อย”
นิคุนยิ้มตอบกลับมา “แล้วมันจะทำไม? หากแค่มองหนังสือก็เก่งกาจได้ โอสถอสูรศักดิ์สิทธิ์เราก็คงไร้ค่าไปแล้ว ที่สำคัญเวลาไม่กี่วันนั้นเขาจะอ่านมันได้สักกี่เรื่อง?”
ฉีหยูเองก็คิดเช่นนั้นและพยักหน้าออกมา “ที่เจ้าว่ามามันก็ถูก ข้าคงคิดมากไปเอง”
เพราะจริงๆ เขาก็คิดไม่ต่างจากนิคุนและคูมู่นัก เขาคิดว่าเย่หยวนจะไม่มีทางชนะได้
แต่ไม่รู้ทำไมในจิตใจลึกๆ ของเขาจึงไม่เชื่อว่าเย่หยวนจะแพ้ลงง่ายๆ
แม้ว่าเขาจะรู้ดีแค่ไหนว่ามันเป็นเรื่องที่แสนบ้าบอ
…
ฉีเฟิงหันมองเย่หยวนและกล่าวขึ้นด้วยรอยยิ้ม “เจ้าโง่ เจ้าคิดว่าตัวเองคุมไฟได้เก่งแล้วจะเก่งกาจเหนือฟ้าเรอะ? วันนี้แหละข้าจะให้เจ้าได้เห็นความแตกต่างของนักบวชและนักบวชฝึกหัด!”
เย่หยวนได้แต่กลอกตาไปมา “นี่ ทำไมเจ้ามันชอบโม้โอ้อวดจริง? หากการโอ้อวดนับเป็นความแข็งแกร่งอย่างหนึ่ง เจ้าก็คงนับว่าเป็นยอดคนสุดแกร่งคนหนึ่งเลย ข้าล่ะกลัวแพ้เจ้าจริงๆ!”
ฉีเฟิงแทบสำลักและตอบกลับมาอย่างขุ่นแค้น “ไอ้เด็กปากดี ข้าล่ะอยากรู้เสียจริงๆ ว่าเจ้าจะปากเก่งไปได้ถึงเมื่อไหร่!”
เย่หยวนนั้นทำหน้ายิ่งเฉย “เอาล่ะ มาเริ่มกันเสียที เดี๋ยวเจ้าจะหาว่าข้ารังแกเจ้า ข้าจะให้เจ้าลงมือก่อนเลยสองชั่วโมง!”
ฉีเฟิงนั้นตกตะลึงมากเมื่อได้ยินและหัวเราะออกมาอย่างแทบหยุดไม่อยู่ “ให้ข้าเริ่มหลอมก่อนสองชั่วโมง? ไอ้เด็กเวรนี่มันช่างขี้อวดอ้างเสียจริงๆ ย่อมได้ ข้าอยากรู้ว่าเจ้าจะตามข้าทันได้อย่างไร!”
ตอนนั้นเองทุกผู้คนที่มุงดูอยู่ก็ต้องหันมามองที่เย่หยวนด้วยความรู้สึกว่าเขานั้นช่างวางท่าเกินพอดี
ท่าทางแบบนั้นมันจะเป็นนักบวชฝึกหัดไปได้อย่างไร? ท่าทางแบบนี้ดูอย่างไรมันก็เป็นของผู้อาวุโสชัดๆ
แต่ทว่ากลับมีใครคนหนึ่งพูดขึ้นมา “ท่านฉีเฟิง ท่านอย่าได้ไปหลงกลเจ้าเด็กนี่เชียว! มันไม่รู้วิธีหลอมโอสถอสูรศักดิ์สิทธิ์นั้นและคิดจะลอบเรียนรู้มันจากท่าน!”
แค่คำพูดเดียวนี้มันก็ดึงดูดความสนใจของทุกคนไปได้
เย่หยวนหันไปมองดูด้วยความตกใจไม่น้อย เพราะที่ยืนอยู่ตรงนั้นมันคือคนคุ้นหน้า มู่หยวนชุนนั่นเอง!
ดูท่าการประลองครั้งนี้มันคงไปทำให้เขาสนใจเข้า
เมื่อฉีเฟิงเห็นว่าคนที่พูดขึ้นมาเป็นแค่นักบวชฝึกหัดชั้นต่ำเช่นกันเขาก็รู้สึกตกใจและถามออกไป “ลอบเรียนรู้? เจ้าพูดเรื่องบ้าบออันใดออกมา? มีหรือที่เขาจะสามารถเรียนรู้ระหว่างที่ข้าทำการหลอมได้ เข้าจะไม่ประเมินเขาสูงเกินไปหน่อยรึ?”
มู่หยวนชุนตอบกลับมาอย่างหนักแน่น “ท่านฉีเฟิง ข้านั้นได้สอบนักบวชฝึกหัดเข้ามาพร้อมๆ กับมัน ไอ้เด็กคนนี้มันมีฝีมือการหลอมโอสถที่รวดเร็วมาก แต่มันกลับยืนมองดูเรียนรู้อยู่ด้านข้างจนสุดท้ายหลอมโอสถอสูรศักดิ์สิทธิ์ขั้นยอดเยี่ยมออกมาได้! ดูอย่างไรมันก็ต้องไม่มีเจตนาดีแน่ที่ให้ท่านเริ่มหลอมก่อน!”
เมื่อคำพูดเหล่านั้นถูกกล่าวออกมา เหล่าผู้ชมก็แตกตื่นกันยกใหญ่!
ลอบเรียนรู้ จนสุดท้ายหลอมโอสถอสูรศักดิ์สิทธิ์ขั้นยอดเยี่ยมได้ ทำไมมันถึงแปลกประหลาดได้ขนาดนั้น?
แต่หากสิ่งที่มู่หยวนชุนบอกมาเป็นความจริง มันก็คงหมายความว่าทักษะด้านโอสถของเย่หยวนนั้นสูงล้ำใช่ไหม?
เมื่อฉีเฟิงได้ยินเขาก็ได้แต่ถอนหายใจยาว คิดแค่ว่าเกือบจะพลาดท่าไปแล้ว
เขาหันไปมองเย่หยวนและบอก “เด็กน้อย เจ้าคิดจะรอข้าก่อนอย่างนั้นรึ? มาหลอมไปพร้อมๆ กันดีกว่า!”
มู่หยวนชุนนั้นยิ้มเยาะออกมาเมื่อได้เห็นว่าฉีเฟิงได้รับรู้ความจริงแล้ว
เพราะความพ่ายแพ้ของเย่หยวน เขานั้นก็อยากจะเห็นมันจนตัวสั่น
การประลองหลอมโอสถนี้ หัวข้อการหลอมนั้นฉีเฟิงเป็นคนเลือกมันขึ้นมา มันเป็นโอสถอสูรศักดิ์สิทธิ์ระดับความยากสี่
เขาไม่เชื่อว่าเย่หยวนจะสามารถหลอมโอสถที่มีความยากสูงขนาดนั้นได้ในเวลาสั้นๆ แค่นี้
แต่เย่หยวนกลับตอบมาอย่างไม่แยแส “แล้วแต่เจ้า งั้นก็มาเริ่มเลย”
ท่าทางไม่สนใจของเย่หยวนมันทำให้มู่หยวนชุนต้องสั่นสะท้าน
หรือว่าเจ้าเด็กคนนี้มันจะมีแผนอื่นรอไว้อยู่แล้ว?
แต่มันเข้ามาในวิหารได้แค่ไม่กี่วัน จะเป็นไปได้อย่างไร?
เมื่อเริ่มทำการหลอม ฉีเฟิงก็หลอมได้อย่างเรียบเนียนและนุ่มนวล เป็นท่าทางที่ไม่ต่างอะไรจากปรมาจารย์คนหนึ่งแล้ว
นักบวชหนึ่งในสิบนั้นไม่ธรรมดาจริงๆ
ส่วนอีกด้านเย่หยวนกลับมีท่าทางที่แสนเงอะงะ
ที่พวกเขาคิดนั้นมันก็ถูก เพราะอย่างไรเสียเวลาแค่ไม่กี่วันนี้มันก็ไม่มีทางที่จะช่วยให้เย่หยวนคุ้นชินในการหลอมโอสถอสูรศักดิ์สิทธิ์ได้เลย
นี่มันเพิ่งจะเป็นครั้งที่สองที่เขาได้หลอมโอสถอสูรศักดิ์สิทธิ์
โอสถที่ฉีเฟิงเลือกมาเป็นหัวข้อประลองนั้นคือโอสถแปดเขาฟ้าคำราม
สูตรโอสถนี้มันไม่ใช่สิ่งที่ยุ่งยากลึกลับใดๆ เย่หยวนเคยเห็นมันมาแล้วตอนที่อยู่ในศาลาสวรรค์หลวง
แต่โอสถระดับความยากสี่นั้นมันเป็นอะไรที่ยากกว่าโอสถเมฆานิลฝนมายาเป็นเท่าตัว
ตัวเย่หยวนในตอนนี้ มันยังนับว่าเป็นโอสถที่ยากอย่างหนึ่ง
แน่นอนว่านั้นมันนับถึงแค่ตัวโอสถอสูรศักดิ์สิทธิ์
เย่หยวนนั้นไม่ได้ขาดประสบการณ์ในการหลอมโอสถ ฝีมือด้านการหลอมของเขานั้นผ่านร้อนผ่านหนาวมาอย่างมากมายจนนับไม่ถ้วน
แม้ว่าโอสถอสูรศักดิ์สิทธิ์มันจะเป็นโอสถในอีกระบบหลอมหนึ่ง มันก็ไม่ได้ทำให้เขารู้สึกยุ่งยากลำบากใจขนาดนั้น
เวลาหลายวันที่เขาได้ใช้ในศาลาสวรรค์หลวงนั้นมันช่วยให้เย่หยวนแตกต่างจากตัวเขาในวันก่อนหน้าไปมาก
ทุกๆ คนรวมไปถึงฉีหยูมองเขาผิด!
เวลาไม่กี่วันมานี้มันนับเป็นความเปลี่ยนแปลงอันยิ่งใหญ่แก่เย่หยวน
นอกจากเรื่องที่ว่าเขายังไม่คุ้นชินกับวิธีการหลอมแล้ว เรื่องอื่นๆ เขาก็พัฒนาตัวเองไปได้อย่างมหาศาล
ไม่ถึงสองชั่วโมงเย่หยวนก็สามารถหลอมโอสถออกมาได้สำเร็จ
เมื่อได้เห็นความเร็วในการหลอมนั้นของเย่หยวน ทุกคนต่างก็ตกตะลึงจนพูดไม่ออก ได้แต่คิดว่าคำพูดของมู่หยวนชุนเรื่องความเร็วนั้นมันคงไม่ผิดแน่แล้ว
เจ้าหมอนี่มันหลอมได้อย่างรวดเร็วจริงๆ
เพียงแค่ว่าคุณภาพที่ออกมาจะเป็นอย่างไรกัน?
………………………