เมื่อหลอมโอสถเสร็จสิ้นแล้ว เย่หยวนก็หันไปมองดูฉีเฟิงอย่างใจเย็น
ปกติวิธีการหลอมที่สมบูรณ์แบบนั้นมันย่อมไม่มีค่าใดๆ ในสายตาของเย่หยวน
แต่กับการหลอมโอสถอสูรศักดิ์สิทธิ์แล้ว เย่หยวนมีแต่ต้องชื่นชมว่าฉีเฟิงนั้นช่วยเขาได้มากจริงๆ
เทียบกับมู่หยวนชุนแล้วฉีเฟิงนั้นแข็งแกร่งกว่ามาก
เมื่อเขาเริ่มเข้าสู่สภาวะเรียนรู้แล้ว สายตาของเย่หยวนก็จะคมกริบจนน่ากลัว
การที่เขาขึ้นมาเป็นยอดนักหลอมโอสถในแดนศักดิ์สิทธิ์ได้นั้นมันไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับทักษะการเรียนรู้ที่รวดเร็วของเขา
ตอนนั้นในเมืองบึงเมฆ เย่หยวนสามารถชนะการประลองนับพันครั้งมาได้ติดๆ กันและได้รับรู้ถึงจุดเด่นที่คู่ต่อสู้ของเขามีมามากมาย
เมื่อนำมันมารวมกับทักษะการวิเคราะห์ทำความเข้าใจของเขาแล้ว นี่มันจึงเป็นวิธีที่เขาใช้พัฒนาการหลอมโอสถของตัวเอง
เย่หยวนไม่ชอบใบหน้ามั่นใจเกินตัวและโอหังเกินเหตุของฉีเฟิง แต่เรื่องนี้มันไม่ได้ทำให้เขาไม่อยากที่จะเรียนรู้จากวิชาของฉีเฟิง
เมื่อรวมมันเข้ากับทฤษฎีที่เขาได้อ่านมาจากศาลาสวรรค์หลวง เย่หยวนก็รู้สึกได้เลยว่าตัวเองนั้นได้เข้าใจทุกสิ่งอย่างแล้ว
สุดท้ายฉีเฟิงก็หยุดมือลงและหลอมโอสถได้เสร็จสิ้นพร้อมๆ กับรอยยิ้มแห่งผู้มีชัย
เพราะการหลอมโอสถในครั้งนี้ เขาพอใจกับผลลัพธ์ของมันมาก
แต่ว่าเมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมาเขาก็พบว่าเย่หยวนกำลังมองดูเขาด้วยรอยยิ้มที่ชั่วร้าย นั่นทำให้เขาต้องอดหน้าถอดสีไม่ได้
เจ้าหมอนี่มันมีความเร็วในการหลอมโอสถที่เหนือล้ำจริง!
“หึ ยังไม่ทันเปิดเตาจะมาทำหน้ายิ้มเพื่อ?” ฉีเฟิงตอบกลับรอยยิ้มนั้นไป
เย่หยวนยังยิ้ม “จะเปิดหรือไม่ ผลมันก็ออกมาแน่ๆ แล้ว การแข่งขันในด้านโอสถนั้นข้าไม่เคยจะพ่ายแพ้ใครมาก่อน”
คำพูดเหล่านั้นมันช่างอวดดี!
แต่มันก็เป็นเรื่องจริง
ตั้งแต่ตอนที่เย่หยวนยังเป็นแค่จอมเทพโอสถสามดาว เขาก็สามารถบดขยี้ทำลายล้างจอมเทพโอสถสี่ดาวจนแหลกเละได้
ตั้งแต่การเดินจากการดินแดนศักดิ์สิทธิ์มา เย่หยวนเคยแพ้ทั้งในด้านการต่อสู้ แพ้ในด้านค่ายกล มีเพียงแค่ด้านการโอสถเท่านั้นที่เขาไม่เคยจะแพ้ใครมาก่อน!
แม้แต่ตอนนี้ที่เขาต้องเริ่มทุกอย่างใหม่ตั้งแต่ต้น
ในเรื่องของโอสถ เย่หยวนนั้นมีความมั่นใจที่เปี่ยมล้น
แต่คำพูดเหล่านั้นมันย่อมสร้างความไม่พอใจให้แก่ผู้มุงดูอย่างมาก
“ไอ้เด็กฝึกหัดคนนี้มันช่างอวดดีจริง! คิดว่าตัวเองเป็นใครมาจากไหน?”
“อวดอ้างอย่างเกินจริง ไม่กลัวว่าสวรรค์จะทะลุเพราะคำโม้ของมัน! แค่ท่าทางเงอะงะนั้นของมันจะหลอมโอสถขั้นสูงได้หรือเปล่ายังไม่รู้?”
“มาขุดหลุมรอมันกันเถอะ เวลามันแพ้มันจะได้มีที่มุดดินหนี!”
…
คนที่ได้เข้ามาในวิหารนักบวชนั้นล้วนแล้วแต่เป็นยอดอัจฉริยะ
ที่สำคัญในหมู่พวกเขานั้น หลายคนนังเป็นนักบวชที่อยู่มานาน ได้ยินเช่นนั้นพวกเขาย่อมไม่พอใจเป็นธรรมดา
แต่ในการโอสถนั้นเย่หยวนไม่คิดที่จะสนใจเรื่องความอิจฉาริษยาใดๆ
เพราะเขามีฝีมือที่มากพอจะอวดอ้างได้แบบนั้น
ฉีเฟิงยิ้มออกมาเมื่อได้ยินเช่นนั้น “การประลองหลอมโอสถนั้นไม่ได้วัดกันที่ความเร็ว จะอวดอ้างใดเจ้าต้องมีฝีมือรองรับมันด้วย! เปิด!”
เมื่อฉีเฟิงพลิกฝ่ามือเม็ดโอสถนั้นก็ลอยขึ้นมาจากหม้อหลอม
กลิ่นโอสถหอมคลุ้งไปทั่วทำให้ทุกผู้คนต่างต้องจ้องมองอย่างตะลึง “ขั้นยอดเยี่ยม!”
ฉีเฟิงเองก็ตื่นเต้นดีใจอย่างมาก เขาหันไปมองเย่หยวนด้วยรอยยิ้มเหยียดหยาม “เห็นนี่ไหม? นี่แหละคือฝีมือของนักบวชที่แท้จริง นักบวชฝึกหัดทำได้แค่เงยหน้ามองดูเท่านั้น! เอาล่ะส่งผลปั้นจั่นอายุกับหญ้ามายาวิญญาณสู้สวรรค์มา!”
หญ้ามายาวิญญาณสู้สวรรค์นั้นคือสมุนไพรระดับสี่อีกอย่างหนึ่งที่ใช้เป็นสินดวลอีกชิ้น
เพราะครั้งนี้ฉีเฟิงนั้นวางเดิมพันไว้สูงมากด้วยแต้มถึงสองพันแต้ม
เย่หยวนที่ไม่มีแต้มใดๆ เหลือแล้วจึงได้แต่ต้องใช้สมุนไพรวางเป็นสินเดิมพันการดวล
วิหารนักบวชนั้นมีแนวคิดที่ว่าเน้นคุณภาพก่อนปริมาณ คนที่ขึ้นมาเป็นนักบวชได้นั้นย่อมล้วนแล้วแต่เป็นยอดคนทั้งสิ้น
และฉีเฟิงก็คือหนึ่งในยอดคนเหล่านั้น
โดยปกติแล้วเขาย่อมสามารถหลอมขั้นสูงได้อย่างง่ายดาย
แต่การหลอมครั้งนี้เขาสามารถทำได้ดีและถึงขั้นหลอมโอสถได้ถึงขั้นต้นยอดเยี่ยม!
เย่หยวนได้แต่หัวเราะออกมาเมื่อได้ยิน “ข้ายังไม่ทันได้เปิดเตาของข้าเลยแต่เจ้ากลับมาใช้ให้ข้ามอบสมุนไพรให้เสียแล้ว นี่จะไม่มั่นใจเกินไปหน่อยรึ?”
เขานั้นไม่เข้าใจจริงๆ ว่าฉีเฟิงไปเอาความมั่นใจผิดๆ แบบนี้มาจากไหน
หรือว่าการหลอมโอสถขั้นยอดเยี่ยมได้นั้นคือเป็นความชนะแล้ว?
ฉีเฟิงตอบมาอย่างเย้ยหยัน “ด้วยความยากของโอสถแปดเขาฟ้าคำรามการหลอมได้ถึงขั้นยอดเยี่ยมมันย่อมเป็นการชนะไปแล้ว! หรือว่าเจ้าจะบอกว่าตัวเองหลอมได้ถึงขั้นเทวะ? เลิกไร้สาระเสียที รีบๆ ส่งมันมา! หรือว่าต้องให้ข้าขอกำลังจากวิหารมาก่อนกัน!”
เย่หยวนส่ายหัวและอดไม่ได้ที่ต้องหัวเราะออกมา “ช่างเป็นกบในกะลาเสียจริงๆ! ในสายตาของเจ้าขั้นยอดเยี่ยมคงเป็นขั้นที่สูงสุดแล้วกระมัง?”
ฉีเฟิงเย้ยกลับ “ขั้นยอดเยี่ยมนั้นย่อมไม่ใช่คุณภาพสูงสุด แต่ไอ้คนอย่างเจ้ามีหรือจะหลอมขั้นเทวะได้?”
เย่หยวนถอนหายใจและพลิกฝ่ามือขึ้นส่งโอสถออกมาจากหม้อหลอม!
ตอนนี้กลิ่นอันคละคลุ้งเสียยิ่งกว่าเก่ากระจายไปทั่วทิศทาง!
ฉีเฟิงหน้าถอดสีทันทีที่ได้เห็นและต้องตะโกนขึ้น “ข-ขั้นสูงยอดเยี่ยม!”
เมื่อเย่หยวนเห็นโอสถของตัวเขากลับทำสีหน้าผิดหวังออกมาและส่ายหัว “สุดท้ายก็ยังไม่ชินมืออยู่ดี เกือบจะขยี้ขยะไม่ได้แล้ว”
แค่คำพูดเดียวนั้นมันก็ทำให้ฉีเฟิงโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ
เมื่อมู่หยวนชุนเห็นเช่นโอสถที่เย่หยวนหลอมแล้วเขาก็หน้าซีดเผือดและร้องขึ้น “นี่มัน…เป็นไปได้อย่างไร? หรือว่าเรื่องเมื่อสิบกว่าวันก่อนนั้นจะยังไม่ใช่ฝีมือที่แท้จริงของมัน?”
เย่หยวนหันไปมอง “สิบกว่าวันก่อนนั้นย่อมเป็นขีดจำกัดของข้าแล้ว แต่เวลาผ่านไปตั้งสิบกว่าวันเจ้ายังคิดว่าข้าจะย่ำอยู่ที่เดิมหรือ?”
มู่หยวนชุนแทบสำลักเมื่อได้ยินเช่นนั้น
เวลาแค่ไม่กี่วันพัฒนาจากระดับความยากสองไปเป็นระดับความยากสี่ การพัฒนานี้มันจะไม่เร็วเกินไปหน่อยหรือ?
นี่มันคือช่องว่างระหว่างนักบวชฝึกหัดชั้นสูงกับนักบวชที่แท้จริง!
ฉีเฟิงนั้นใช้เวลาหลายพันปีกว่าที่จะข้ามผ่านช่องว่างนี้มาได้
แต่เย่หยวนคนนี้ใช้เวลาแค่ไม่กี่วัน?
มู่หยวนชุนแทบกระอักเลือดออกมาตรงนั้น
เย่หยวนมองดูฉีเฟิงด้วยรอยยิ้มที่แสนเยือกเย็น “ไอ้เด็กบ้านรวย ยอมแพ้สิ!”
ฉีเฟิงหน้าดำคล้ำเครียดและตอบกลับมาอย่างดุร้าย “เจ้า…เจ้าโกง! ข้าจะไปฟ้องท่านผู้อาวุโส!”
เย่หยวนได้แต่ตอบกลับไปอย่างหมดแรง “ข้าจะไปโกงอย่างไร? เจ้าเองแท้ๆ ที่มาท้าข้าดวลหลอมโอสถและสัญญาสาบานต่างๆ นาๆ อวดอ้างบอกว่าจะให้ข้าได้เห็นฝีมือของนักบวชที่แท้จริง ตอนนี้ข้าได้เห็นแล้ว เก่งกาจสมชื่อจริงๆ!”
“เอาล่ะ เจ้ายังไม่คิดว่ามันน่าอายพออีกเรอะ?! ส่งแต้มให้เย่หยวนและไสหัวไปได้แล้ว!”
ฉีเฟิงยังอยากจะเถียงต่อแต่กลับได้ยิ่งเสียงหนึ่งดังขึ้นมาราวสายฟ้าฟาด
ฉีเฟิงหันไปมองที่ต้นเสียงด้วยใบหน้าที่ขาวซีดก่อนจะก้มหัวลงจรดพื้น “ท-ท่านอาจารย์!”
“ผู้อาวุโสนิคุน!”
เย่หยวนเองก็ตกใจไม่น้อย เขาไม่นึกเหมือนกันว่าฉีเฟิงคนนี้จะเป็นศิษย์โดยตรงของผู้อาวุโสนิคุน
ดูท่าเขาคงไปเตะแผ่นเหล็กเขาเสียแล้ว
นิคุนหันไปมองฉีเฟิงอย่างเย็นชา “เจ้าไม่ได้ยินที่ข้าบอก?”
ฉีเฟิงหน้าซีดรีบตอบกลับไป “ขอรับท่านอาจารย์!”
ด้วยคำสั่งของนิคุน มีหรือที่เขาจะยังกล้าคัดค้านใดๆ? ฉีเฟิงรีบส่งแต้มให้เย่หยวนและวิ่งหนีหายลับไป
จากนั้นนิคุนก็บอกขึ้นมาอีก “พวกเจ้าไม่มีอะไรทำกันแล้วรึ? ถึงได้มานั่งดูอะไรแบบนี้?”
เมื่อทุกคนได้ยินพวกเขาก็รีบแยกย้ายกันไปทันที
เย่หยวนเองก็กำลังคิดจะหันหน้าเดินจากไป ก่อนที่นิคุนจะเรียกเขาไว้ด้วยท่าทางไม่เป็นมิตรนัก “เจ้าเด็กคนนี้ช่างยอดเยี่ยมจริง! แค่ไม่กี่วันเจ้ากลับสร้างปัญญาหาให้ข้าอย่างมากมายเสียแล้ว!”
เย่หยวนยิ้มตอบไป “ผู้อาวุโส ข้าไม่ได้สร้างปัญญา เป็นปัญญาต่างหากที่วิ่งเข้ามาหาข้า”
เขารู้ดีว่าคนเหล่านี้คงจับตามองตัวเขาอยู่อย่างใกล้ชิด และน่าจะรู้เรื่องราวที่เขาทำทั้งหมดอย่างดี
แต่เรื่องที่ผ่านมาในช่วงนี้จะมาโทษเขาฝ่ายเดียวก็คงไม่ถูกนัก
นิคุนบอกต่อ “มากับข้า! มีคนอยากพบเจ้า!”
เย่หยวนเบิกตาโพลงทันที เขารู้ได้เลยว่าของจริงกำลังจะเริ่มแล้ว!
…………………………