ที่นั่งตรงหน้าของเขานั้นคือชายชราผมสีทองปกปิดใบหน้า ดูท่าทางดุร้ายและป่าเถื่อน
สภาพท่าทางแบบนี้มันคือราชสีห์ขนทองอย่างแท้จริง
เย่หยวนนั้นตื่นตกใจไม่น้อย คนท่าทางดุร้ายป่าเถื่อนเช่นนี้หรือที่จะหลอมโอสถขั้นสูงได้?
ชายแก่เองก็หันมามองเย่หยวน สายตาของเขานั้นมันลึกลับจนไม่รู้เลยว่ากำลังคิดอะไรรู้
หลังจากผ่านไปนานแสนนาน ในที่สุดชายแก่ก็เป็นฝ่ายเปิดปากพูดขึ้นมาก่อนด้วยเสียงที่สนั่นราวระฆังยักษ์ “เจ้าหนุ่ม เจ้าเข้าวิหารนักบวชมาเพื่อสิ่งใด?”
เย่หยวนยกมือขึ้นมาความคารวะ “ผู้น้อยนั้นหลงใหลในโอสถอสูรศักดิ์สิทธิ์ ที่มาครั้งนี้ก็เพื่อหวังจะเรียนรู้วิชาโอสถของเผ่าอสูร ให้ศาสตร์การโอสถของข้าน้อยได้พัฒนายิ่งๆ ขึ้นไป!”
ชายแก่หัวเราะลั่นกลับมา “ฮ่าๆ เฒ่าคนนี้ย่อมเชื่อในเรื่องนั้น เจ้าและข้านั้นเป็นคนประเภทเดียวกัน! เพื่อการโอสถแล้วเราไม่กลัวที่จะต้องเล่นกับไฟ! แต่ว่าเจ้าน่าจะมีเป้าหมายอื่นอีกใช่ไหมหรือ?”
เย่หยวนได้รู้ว่าชายแก่คนตรงหน้านี้มีนิสัยที่หนักแน่นและตรงไปตรงมา พูดอะไรไม่มีอ้อมค้อมเข้าเรื่องอย่างทันที เมื่อเป็นเช่นนี้เขาย่อมไม่ต้องปกปิดใดๆ อีกต่อไป “จริงๆ แล้วข้ามาเพื่อตามหาน้องชายด้วย!”
เย่หยวนไม่ได้ปกปิดเรื่องราวใดๆ อีกต่อไป บอกไปอย่างตรงๆ ว่าเขาต้องการกำลังของวิหารนักบวชเพื่อให้ช่วยตามหาอิ้งหมัวหู่
หลังจากชายแก่ได้ยินเขาก็หัวเราะลั่นออกมา “ไม่รู้เลยว่าเจ้าเป็นคนที่ยึดถือสายสัมพันธ์ด้วย! แต่ว่าเจ้าจะไม่คิดว่าเราฝ่ายวิหารจะเสียเปรียบไปหน่อยรึ? เจ้าได้เรียนรู้ศาสตร์โอสถของเผ่าอสูร แถมยังจะใช้อำนาจของวิหารนักบวชเราตามหาน้องชายอีก สุดท้ายแล้วเฒ่าคนนี้จะได้อะไรคืนจากเจ้ากันเล่า?”
เย่หยวนเข้าใจแล้วว่าตอนนี้อีกฝ่ายกำลังอยากจะเจรจาต่อรองกับเขา
หากข้อตกลงไม่ลงตัว เขาคงตกอยู่ในอันตรายแน่
เย่หยวนยักไหล่ตอบไป “ที่ข้าจะให้ได้ย่อมเป็นทักษะการโอสถของข้า เหตุผลที่ท่านผู้อาวุโสคิดเจรจากับข้าในวันนี้ย่อมเป็นเพราะท่านเล็งเห็นถึงเรื่องนี้ด้วยใช่หรือไม่?”
ชายแก่หัวเราะลั่น “เจ้าหนุ่ม เจ้าช่างฉลาดเสียจริงๆ ข้าดี๋เชียวไม่ชอบที่จะพูดจาอ้อมค้อมเช่นกัน เจ้าอยู่ในวิหารนักบวชเราห้าพันปีแล้วข้าจะช่วยเรื่องนี้เอง!”
เย่หยวนย่อมเข้าใจได้ทันทีว่าเวลาห้าพันปีนี้มันเท่ากับว่าเขาต้องขายชีวิตของตัวเองให้วิหารนักบวช
เรื่องเช่นนี้เขาย่อมไม่คิดที่จะตอบตกลง
เย่หยวนส่ายหัวออกมา “ท่านเจ้าวิหาร เย่ผู้นี้มีธุระอื่นต้องจัดการอีกมากและคงอยู่ในวิหารนักบวชนี้เป็นเวลานานขนาดนั้นไม่ได้ หากท่านเจ้าวิหารยืนยันที่จะให้ข้าอยู่ต่อไปจริงๆ เย่คนนี้คงยอมได้อย่างนานที่สุดคือสามร้อยปี!”
สามร้อยปีนั้นคือเวลาที่มากที่สุดเท่าที่เย่หยวนจะให้ได้แล้ว
หากเย่หยวนไม่มีความผูกพันใดๆ กับโลกภายนอก การจะอยู่ที่นี่ถึงห้าพันปีมันก็คงไม่เป็นปัญหาเลย
เพราะที่เห็นนี้ติดกับเทือกเขาเทพอสูร เป็นแหล่งรวมสมุนไพรที่แสนจะอุดมสมบูรณ์
สำหรับเย่หยวนแล้ว ที่แห่งนี้มันคือสรวงสวรรค์ดีๆ นี่เอง
แต่เย่หยวนย่อมรู้ว่าการที่เขาจะอยู่ที่นี่นานถึงห้าพันปีนั้นมันเป็นไปไม่ได้เลย
และตามคาด เมื่อคำพูดนั้นของเย่หยวนถูกเปล่งออกมา ดี๋เชียวก็หน้าดำคล้ำลง “เจ้าหนุ่ม เจ้าล้อข้าเล่นรึไง? สามร้อยปีเราจะเอาเจ้ามาทำอะไร?”
แต่เย่หยวนก็ยังตอบกลับไปอย่างมั่นใจ “สามร้อยปีมันก็มากพอที่ข้าจะชดใช้หนี้นี้ให้วิหารนักบวชแล้ว!”
“หึๆ ช่างเป็นเด็กที่อวดดีเสียจริงๆ! สำหรับเหล่านักบวชแล้วสามร้อยปีมันเป็นได้แค่ชั่วพริบตา เจ้านั้นมีพรสวรรค์ที่เหนือล้ำจริง แต่แค่สามร้อยปีเจ้าจะทำประโยชน์อันใดให้แก่วิหารนักบวชได้? หรือจริงๆ แล้วเจ้าแค่มาก่อกวนเฒ่าคนนี้?”
ดี๋เชียวจ้องมองมาพร้อมด้วยคลื่นพลังอันแสนน่ากลัว
ในวินาทีนั้นเย่หยวนก็รู้สึกราวกับว่ามีเขาลูกใหญ่ตกลงตรงหน้า ตอนนี้แม้แต่จะหายใจยังยากลำบาก
นี่มันไม่ใช่พลังการกดดัน แต่เป็นพลังโจมตีแท้จริง!
ดูท่าแล้วดี๋เชียวคงโกรธจริงๆ
เขารู้สึกเหมือนว่าเย่หยวนเข้ามาแค่จะก่อกวนเขา
สามร้อยปีนั้น ในสายตาของคนทั่วไปแล้วมันเป็นอะไรที่ไม่มีค่าเลย
ภายใต้คลื่นพลังอันรุนแรงนี้ กระดูกทั่วร่างของเย่หยวนเริ่มส่งเสียงร้าวขึ้น สีหน้าของเขานั้นซีดเซียวอย่างถึงที่สุด
แต่เขาก็ยังฝืนพูดออกมา “สามร้อยปีนี้ข้าจะสร้างยอดฝีมือจำนวนมหาศาลให้วิหารนักบวช! หากท่านไม่เชื่อข้าพร้อมที่จะสาบานต่อยอดเต๋าให้โดยมีกำหนดเวลาสามร้อยปี!”
ดี๋เชียวนั้นเหมือนจะสนใจขึ้นมาทันที “เรื่องนั้นย่อมได้ หลังจากสามร้อยปีแล้วหากข้าเห็นว่าเจ้าทำประโยชน์ได้จริง ข้าจะช่วยเจ้าตามหาน้องชายให้!”
เย่หยวนหน้าถอดสีทันที ชายแก่คนนี้เป็นพวกที่ไม่ยอมลงมือทำอะไรหากไม่ได้ค่าตอบแทนมาก่อน
หากไม่ให้ประโยชน์ใดๆ เขาก่อน เขาก็จะไม่มีทางยอมรับเลย
แต่ด้วยพลังของเย่หยวนในตอนนี้ เขาทำอะไรกับมันไม่ได้
อึดอัดเสียจริง!
ดูท่าเย่หยวนจะประเมินความอดทนของเจ้าวิหารไว้สูงไปหน่อย
เวลาสามร้อยปีนั้นสำหรับคนที่เคยยุ่งเกี่ยวกับโอสถอสูรศักดิ์สิทธิ์แล้วมันช่างเป็นเวลาแค่ชั่วพริบตาอย่างแท้จริง
แม้ว่าเย่หยวนจะได้แสดงความสามารถไปมากมาย แต่ดี๋เชียวก็ยังไม่เชื่อว่าเย่หยวนจะสามารถทำอะไรได้ในเวลาแค่สามร้อยปี
“ผู้อาวุโส เรื่องนี้ตกลงกันต่อได้หรือไม่?” เย่หยวนพยายามบอกด้วยสีหน้าซีดเซียว
ดี๋เชียวยิ้ม “เจ้าว่าอย่างไร?”
จู่ๆ ดี๋เชียวก็เปลี่ยนสีหน้าไป ท่าทางกดดันเมื่อสักครู่หายไปและเปลี่ยนกลับมายิ้มในทันที “จริงๆ แล้ว…มันก็ยังพอตกลงกันเพิ่มได้!”
แรงกดทับบนร่างของเย่หยวนจากหายไปอย่างไร้ร่องรอย ทำให้เขาต้องรู้สึกมึนงงขึ้นมา
เมื่อไม่กี่วินาทีก่อนชายแก่คนนี้ยังข่มขู่และกดดันเขาอย่างมากแท้ๆ ทำไมจู่ๆ เขาถึงได้เปลี่ยนท่าทางไปกะทันหันเช่นนี้?
ดี๋เชียวมองดูเย่หยวนด้วยรอยยิ้ม “เช่นนี้เล่าว่าไง? เราจะถอยกันคนละก้าว! ข้าไม่ต้องการให้เจ้าอยู่ในวิหารถึงห้าพันปี แต่เจ้าต้องสาบานต่อยอดเต๋าว่าต่อจากนี้ไปชั่วชีวิตเจ้าจะรักษาตำแหน่งนักบวชของวิหารนักบวชเราไว้ หากวิหารต้องการให้เจ้าช่วยหลอมโอสถให้ เจ้าย่อมต้องทำ หากวิหารอยู่ในอันตราย เจ้าย่อมต้องมาช่วยเหลือ!”
เย่หยวนนั้นมึนงงไปในทันทีที่ได้ยิน และก็เริ่มเข้าใจบางอย่างได้
ดี๋เชียวคนนี้เป็นคนที่เถรตรงและไม่สามารถคิดอะไรที่ซับซ้อนยุ่งยากได้
การทำเช่นนี้มันหมายความว่าเย่หยวนจะถูกผูกติดกับวิหารไปชั่วชีวิต มันเป็นอะไรที่คุ้มค่ากว่าการให้อยู่ด้วยแค่ห้าพันปีมาก
ที่สำคัญตัวเลือกนี้มันยังทำให้เย่หยวนได้มีอิสระอย่างมากด้วย
เรื่องเช่นนี้ดี๋เชียวไม่น่าจะสามารถคิดขึ้นได้เอง เมื่อสักครู่นี้มันต้องมียอดคนคอยช่วยบอกกระซิบอะไรให้แน่ๆ เพียงแค่เย่หยวนไม่สามารถที่จะตรวจจับร่องรอยของคนผู้นั้นได้เลย
ในวิหารนักบวชนี้มันเปี่ยมไปด้วยยอดคนที่เก็บซ่อนตัวอยู่จริงๆ!
แต่ด้วยข้อเสนอนี้ เย่หยวนก็คิดพอที่จะยอมรับมันไว้ได้
เย่หยวนนั้นมีพลังเหมือนครึ่งเผ่าอสูรและไม่ได้มีความคิดร้ายใดๆ ต่อเผ่าอสูรด้วย
ที่สำคัญหากเขาได้เรียนรู้ศาสตร์หลอมโอสถของอสูรมันจะต้องช่วยเสริมความเข้าใจในวิถีแห่งโอสถของเขาอย่างมากแน่
เรื่องนี้เย่หยวนคงต้องติดหนี้บุญคุณวิหารนักบวชอย่างมากแน่ๆ และการเป็นผู้ปกป้องวิหารไปชั่วชีวิตก็ไม่ได้เป็นเรื่องที่หนักหนากับเขาขนาดนั้น
เย่หยวนคิดและยิ้มรับ “ได้ ข้าสัญญา! แต่หากวิหารนักบวชคิดร้ายต่อข้า ถึงตอนนั้นข้าคงไม่ยอมนิ่งเฉยแน่ๆ!”
เย่หยวนไม่ได้เป็นพระเป็นเจ้ามาจากที่ไหน วิหารนักบวชนั้นเป็นระบบที่แสนยิ่งใหญ่ เย่หยวนไม่มีทางมั่นใจได้เลยว่าตัวเองจะสามารถเป็นสหายกับวิหารนักบวชได้ตลอดกาล
หากมีใครคิดที่จะทำร้ายเขา มีหรือที่เขาจะไม่คิดต่อสู้กลับ?
เพราะฉะนั้นก่อนที่จะสาบานต่อยอดเต๋าเย่หยวนจึงต้องตัดเรื่องอันตรายเหล่านี้ออกไปก่อน
ดี๋เชียวเองก็ตอบรับมาด้วยรอยยิ้มกว้าง “แต่ว่าเรื่องสัญญาสามร้อยปีนั้นเจ้ายังต้องทำตาม!”
เย่หยวนพยักหน้าและสาบานต่อยอดเต๋าต่อหน้าดี๋เชียว
การลงทัณฑ์จากยอดเต๋านั้นมันเป็นอะไรที่นักยุทธไม่สามารถทานทนได้ หากไม่ใช่ฟางเส้นสุดท้ายจริงๆ คงไม่มีใครยอดที่จะสาบานแน่ๆ
แต่เย่หยวนนั้นไม่มีทางเลือกอื่นแล้วในการหาข่าวของอิ้งหมัวหู่
อย่าว่าแต่เรื่องสาบานต่อยอดเต๋า ต่อให้ต้องสู้จนตัวตายกระดูกแหลกเป็นผง เย่หยวนก็ไม่คิดที่จะถอยแม้แต่ก้าวเดียว
เมื่อดี๋เชียวเห็นว่าเย่หยวนสาบานต่อยอดเต๋าเสร็จสิ้น เขาก็ได้แต่หัวเราะลั่นออกมา “เอาล่ะจากวันนี้ไปเจ้าจะเป็นนักบวชของวิหารเราอย่างเต็มตัว! สามร้อยปีจากนี้ เฒ่าคนนี้หวังว่าเจ้าจะไม่ทำให้ผิดหวัง!”
………………………