“ผู้อาวุโสหลี่ ข้ามีคำถาม!”
บนเวทีแท่นยกระดับตอนนี้กำลังมีชายชราสั่งสอนบรรยายความรู้ให้เหล่านักบวชฟัง ก่อนที่จู่ๆ จะมีเสียงหนึ่งพูดแทรกขึ้น
นักบวชที่มานั่งอยู่ด้านล่างตอนนี้มีจำนวนกว่าร้อยคน พวกเขาทั้งหมดต้องหันหน้ามามองที่ต้นเสียงเป็นตาเดียว
คนต้นเสียงนี้เป็นนักบวชในชุดยาว สี่ดาวประดับอยู่ที่อก จะเป็นใครไปได้นอกเสียจากเย่หยวน?
เมื่อได้เห็นเช่นนี้แล้วพวกนักบวชทั้งหลายก็แอบยิ้มออกมาอย่างมีเลศนัย
หนังหัวของผู้อาวุโสหลี่บนเวทีกระตุกขึ้นมาทันทีที่ได้ยิน “หากมีคำถามใดเจ้าจงรอให้จบการบรรยายก่อนค่อยพูด ตอนนี้เงียบปากไปก่อน”
หลายปีมานี้เย่หยวนได้กลายเป็นนักเรียนเจ้าปัญญาที่สุดไปแล้วในสายตาเหล่าผู้อาวุโส
เพราะทุกๆ การบรรยายเย่หยวนจะพูดขัดขึ้นมาหลายต่อหลายครั้งเวลามีเรื่องที่สงสัย
และที่บอกว่าหลายครั้งนี้มันมากถึงสิบยี่สิบครั้ง!
หากเป็นแค่การสร้างปัญญาเฉยๆ ผู้อาวุโสทั้งหลายคนแค่ตบตีสั่งสอนให้มันจบๆ ไป
แต่เรื่องของเรื่องก็คือปัญญาที่เย่หยวนก่อขึ้นมานั้นมันมีขึ้นพร้อมข้อสงสัยที่เป็นเหตุเป็นผล!
แต่ละครั้งที่มีปัญหามันจะทำให้ผู้อาวุโสได้แต่ยืนนิ่งเงียบตอบอะไรกลับไปไม่ถูก
ตอนแรกมันก็ยังพอมีผู้อาวุโสที่ไม่ยอมแพ้และพยายามที่จะใช้เหตุผลและความรู้มาถกเถียงกับเย่หยวน
แต่สุดท้ายพวกเขาก็ต้องพ่ายแพ้ต่อเย่หยวนจนพูดอะไรไม่ออก
ด้วยเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นหลายครั้งเข้า ตอนนี้เวลามีผู้อาวุโสมาทำการสอนพวกเขาจะหวาดกลัวมากว่าเย่หยวนจะเข้าฟังด้วย
ตราบเท่าที่พวกเขาเห็นหน้าเย่หยวน พวกเขาก็จะทำหน้าตาเหมือนหนูที่เห็นแมวจนใจตกไปอยู่ที่ตาตุ่มทันที
เย่หยวนไม่สนใจคำพูดนั้นของผู้อาวุโสหลี่และถามขึ้นต่อ “โอสถชวดไขมังกรแทรกนั้นมีอุณหภูมิตามธรรมชาติ เมื่อหลอมมันเราย่อมต้องควบคุมอุณหภูมินั้นให้ดีโดยใช้กฎแห่งธาตุทั้งห้าในโอสถเป็นพื้นฐาน…ผู้อาวุโสหลี่ท่านไม่คิดว่ามันควรเป็นเช่นนั้นรึ?”
เย่หยวนพูดอกมาอย่างรวดเร็วเป็นสายน้ำ แสดงปัญญาที่ผู้อาวุโสหลี่เพิ่งสอนออกมา
เมื่อเหล่านักบวชคนอื่นๆ ได้ยินคำของเย่หยวนพวกเขาต่างก็แสดงสีหน้าคิดหนักตามออกมา
เพราะเหล่านักบวชทั้งหลายนี้ย่อมมีประสบการณ์กันมาทั้งสิ้น เดิมทีตอนแรกๆ พวกเขานั้นไม่พอใจมากที่เห็นว่าเย่หยวนพูดขึ้นแทรกการสอนของผู้อาวุโสเช่นนี้
แต่หลังจากนั้น พวกเขาก็พบว่าคำพูดที่เย่หยวนว่ามามันเปี่ยมไปด้วยเหตุและผล
หลังจากกลับไปลองทดสอบดูตาม พวกเขาก็พบว่าคุณภาพโอสถที่หลอมออกมาได้มันพัฒนาขึ้นอย่างมาก
เพราะฉะนั้นหลังๆ มาเมื่อเย่หยวนเปิดปากออกพูดทีไร พวกเขาทั้งหลายก็จะหันมาตั้งใจฟังและได้รับประโยชน์ไปอย่างมากมาย
ผู้อาวุโสหลี่ตอบกลับมาอย่างไม่พอใจ “เย่หยวน! นี่เจ้าหรือข้ากันแน่ที่เป็นผู้อาวุโส?”
เย่หยวนยิ้มตอบ “ย่อมเป็นท่านผู้อาวุโสอยู่แล้ว!”
ผู้อาวุโสหลี่ตอบ “เจ้ายังเห็นว่าข้าเป็นผู้อาวุโส? ข้ากำลังสอนแต่เจ้ากลับมาสร้างปัญญา รู้จักกาลเทศะบ้างหรือไม่?”
แต่เย่หยวนก็ตอบกลับไป “ผู้อาวุโสหลี่อย่ากล่าวเช่นนั้น ความรู้ยิ่งถกเถียงกันมากเท่าไหร่มันก็ยิ่งชัดเจนมาขึ้นเท่านั้น เมื่อมันมีปัญหาข้าย่อมต้องชี้มันออกมา หรือว่าท่านคิดอยากให้ทุกผู้คนหลอมโอสถด้วยวิธีผิดๆ ต่อไปกันเล่า?”
ผู้อาวุโสหลี่นั้นโกรธจนหน้าเปลี่ยนสี “ทำไมเจ้าไม่ขึ้นมาสอนพวกเขาแทนข้าเสียเลยล่ะ?”
เย่หยวนยกมือขึ้นโบกปัดด้วยรอยยิ้ม “ข้าไม่มีความสามารถขนาดนั้น! ข้าแค่มาเพื่อเรียนรู้และตั้งคำถามที่ตนเองมีออกมา ฮ่าๆ ผู้อาวุโสหลี่ท่านสอนต่อเถอะ!”
ผู้อาวุโสหลี่ไม่อาจอดทนต่อไปไหว ยกแขนเสื้อขึ้นเชิดหน้าหนีไป “ไม่สอนมันแล้ว!”
พูดจบเขาก็จากไปด้วยท่าทางกระฟัดกระเฟียด
ตั้งแต่ได้เป็นนักบวชมาเย่หยวนก็ใช้วันเวลาไปกับการเรียนรู้เรื่องโอสถอสูรศักดิ์สิทธิ์ในโถงหลักของวิหารนักบวช
แม้ว่าในใจของเขาจะเป็นห่วงอิ้งหมัวหู่อย่างมากเขาก็ไม่สามารถที่จะทำอะไรไปได้มากกว่าการรอ
และสิ่งที่ทำให้เย่หยวนได้มีที่ยืนในวิหารนักบวชนี้มันก็คือความสามารถทางโอสถของเขา เพราะฉะนั้นเขาจึงต้องพัฒนาตัวเองให้มากพอที่จะได้รับอำนาจนั้น
ตอนที่เข้าศาลาสวรรค์หลวงครั้งแรกไป เย่หยวนได้เรียนรู้เรื่องราวของโอสถอสูรศักดิ์สิทธิ์มาอย่างมากมาย
แต่เรื่องการหลอมโอสถอสูรศักดิ์สิทธิ์จริงๆ นั้นเย่หยวนยังขาดความรู้ไปมาก
นั่นทำให้ทุกวันนี้เขาพยายามที่จะดูดซับความรู้ต่างๆ ด้วยความเร็วที่แสนจะบ้าคลั่ง
เย่หยวนนั้นย่อไม่ได้คิดที่จะสร้างปัญหาใดๆ แต่การสอนของเหล่าผู้อาวุโสนั้นมันมักจะมีเรื่องราวที่ผิดพลาดไปเสมอๆ
การที่เย่หยวนจะแทรกคำถามขึ้นมามันก็คงเลี่ยงไม่ได้
เพียงแค่ว่าบางคำถามของเขานั้นมันยากเย็นเกินไปจนแม้แต่เหล่าผู้อาวุโสนั้นก็ตอบกลับมาไม่ได้ มันจึงกลายเป็นทำให้อีกฝ่ายโกรธไม่พอใจขึ้นมาแทน
“เย่หยวน เจ้านี่เก่งดีจริง! ตอนนี้เจ้าไปทำให้ผู้อาวุโสหลี่ท่านโกรธจนหนีไปเช่นนี้แล้ว เจ้าพอใจรึยัง?”
ตอนนั้นเองก็มีนักบวชคนหนึ่งหันมาพูดว่าเย่หยวน แล้วจะเป็นใครไปได้นอกจากฉีเฟิง?
เย่หยวนยักไหล่ตอบ “งั้นเจ้าลองบอกมาสิว่าข้าถามถูกหรือไม่?”
ฉีเฟิงแทบสำลักเมื่อได้ยินเช่นนั้น เพราะสิ่งที่เย่หยวนพูดออกมานั้นมันเปี่ยมไปด้วยเหตุผล เขาไม่มีทางจะเถียงกลับใดๆ ไปได้เลย
เพราะหากมันมีช่องให้โต้เถียงได้ผู้อาวุโสหลี่ก็คงไม่เดินหนีไปด้วยความโกรธเช่นนั้น
แม้แต่ผู้อาวุโสหลี่ยังไม่มีปัญญาตอบ มีหรือที่ฉีเฟิงคนนี้จะมีปัญญาได้!
“ฮึ่ม! ต่อให้เรื่องที่เจ้าพูดมามันจะถูก แต่เจ้าก็ต้องสนใจกาลเทศะและวิธีพูดเสียบ้าง! เจ้าทำเสียเรื่องเช่นนี้ทุกคนก็ไม่ได้เรียนกันต่อพอดี!” ฉีเฟิงบอก
แน่นอนว่าด้วยการจุดประกายของเขานี้ คนอื่นๆ ก็เริ่มแสดงความไม่พอใจออกมา
เพราะแม้เย่หยวนจะพูดถูก แต่ตอนนี้ผู้อาวุโสท่านโกรธจนหนีหายไปแล้วใครจะมาสั่งสอนวิชาความรู้ให้พวกเขาต่ออีก?
แบบนี้มันไม่เท่ากับว่าเย่หยวนเป็นตัวจัญไรหรอกหรือ?
“เย่หยวน เจ้านี่มันอัจฉริยะจริงๆ แต่พวกข้ามันคนธรรมดาเข้าใจไหม?”
“เจ้านั้นมีความสามารถ อย่าได้มาฟังการบรรยายของผู้อาวุโสร่วมกับเราอีกเลย!”
“ตอนนี้ท่านผู้อาวุโสก็ไปแล้ว เจ้าจะช่วยสอนเราแทนไหมล่ะ?”
…
ทุกคนต่างแสดงความไม่พอใจออกมา ด้วยสีหน้าที่ไม่พอใจเย่หยวนเป็นอย่างมาก
เย่หยวนยิ้มตอบ “อ่า หากมันแค่ระดับของผู้อาวุโสหลี่แล้วข้าก็พอที่จะสอนพวกเจ้าแทนได้!”
คำพูดเดียวนี้มันทำให้ทุกผู้คนต่างเปิดปากอ้าค้างด้วยความตกตะลึง
เจ้าหมอนี่มันจะอวดอ้างตัวเกินไปไหม?
เมื่อฉีเฟิงได้ยินเขาก็ยิ้มตอบกลับมา “เอาล่ะงั้นเจ้าลองสอนดู! ทุกคนมาช่วยกันฟังหน่อยว่ายอดอัจฉริยะอันดับหนึ่งของวิหารเราจะพูดอธิบายเรื่องราวแสนลึกล้ำได้หรือไม่!”
ความรู้พื้นฐานตื้นเขินทั่วไปพวกเขาต่างรู้ถึงมันดี
ต่อให้มันจะมีช่องว่างระหว่างนักบวชที่นั่งอยู่ตอนนี้มากแค่ไหน มันก็ไม่มีทางจะทิ้งห่างกันไปได้ไกลนัก
เพราะฉะนั้นฉีเฟิงจึงไม่มีทางเชื่อเลยว่าเย่หยวนคนนี้จะสามารถบอกสอนเรื่องราวที่ลึกล้ำได้
การตั้งคำถามได้ ไม่ได้หมายความว่าจะสั่งสอนคนอื่นได้!
พวกเขานั้นล้วนแต่เป็นนักบวชสี่ดาว ใครจะไปเก่งกาจกว่าคนอื่นได้ปานนั้น?
เย่หยวนยิ้มและเดินขึ้นไปบนเวทีสูงก่อนจะพูดขึ้นอย่างชัดเจน “ต่อไป ข้าจะเริ่มสอนต่อจากที่ท่านผู้อาวุโสหลี่หยุดไว้…”
จากนั้นเย่หยวนก็เริ่มพูดออกมาอย่างไม่มีหยุดพัก
แรกเริ่มทุกคนต่างเริ่มฟังด้วยหน้าตาดูถูก
แต่ยิ่งฟังไป สีหน้าของทุกคนก็ยิ่งจริงจังมากขึ้นและมากขึ้น
ในที่สุดตอนนี้พวกเขาก็ได้รู้แล้วว่าเย่หยวนไม่ได้โม้!
สิ่งที่เย่หยวนอธิบายออกมานั้นมันชัดเจนและเข้าใจง่ายเสียยิ่งกว่าที่ผู้อาวุโสหลี่สอน และยังเข้าเรื่องตรงๆ ไม่มีการอ้อมค้อมด้วย
ดูแล้วความเข้าใจในโอสถชวดไขมังกรแทรกของเย่หยวนนั้นมันจะเหนือล้ำกว่าที่พวกเขาจะเทียบชั้นได้เลย
แม้ว่าเย่หยวนจะยังไม่ชำนาญในการหลอมโอสถอสูรศักดิ์สิทธิ์ แต่หากให้พูดถึงความเข้าใจในสูตรโอสถแล้วต่อให้มีผู้อาวุโสหลี่ร้อยคนก็ไม่มีทางเทียบเคียงเย่หยวนได้
เพราะไม่ว่าอย่างไรแค่โอสถระดับความยากสี่มันก็ไม่ใช่เรื่องยากแก่เย่หยวนเลย
ไม่เช่นนั้นตอนนั้นเขาคงไม่มีทางหลอมโอสถแปดเขาฟ้าคำรามได้ถึงขั้นสูงยอดเยี่ยมเช่นนั้นอย่างง่ายดาย
มันเพียงแค่ว่ารายละเอียดบางอย่างในวิธีการหลอม รวมไปถึงทักษะในการใช้ศาสตร์หลอมอสูรเล็กๆ น้อยๆ นั้นเย่หยวนยังขาดแคลนไป
ของที่ยากจริงๆ นั้นย่อมเป็นโอสถความยากระดับเจ็ดขึ้นไปเท่านั้น!
เหล่านักบวชทั้งหลายต่างฟังอย่างจริงจัง ตอนนี้ดวงตาของพวกเขายิ่งเบิกกว้าง ดูแล้วคงได้รับความรู้ไปอย่างมหาศาลจริงๆ
ตอนนี้แม้แต่ฉีเฟิงเองก็ลืมเรื่องราวอื่นๆ ไปจนสิ้นและตั้งใจฟังการสอนของเย่หยวนอย่างมาก
“อ่า ก็ประมาณนี้ นี่คือเรื่องง่ายๆ ที่มักจะพลาดกันที่ข้าสรุปออกมาเอง ตราบเท่าที่พวกเจ้าฝึกฝนมากพอ เจ้าย่อมสามารถพัฒนาคุณภาพของโอสถไปได้อย่างมากมายแน่” เย่หยวนบอกด้วยรอยยิ้ม
…………………………