ชายชราผมขาวคนนี้ค่อยๆ เปลี่ยนสีหน้าไป “ห้าสิบล้านปีก่อน มหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลของเผ่าอสูรเราได้บรรลุเต๋า เพื่อที่จะสร้างชื่อให้เผ่าอสูรเขาคนนั้นจึงได้ไปท้าทายโอสถบรรพกาลของเผ่ามนุษย์! ไม่มีใครคาดคิดว่าการท้าทายครานั้นมันจะเป็นการสร้างวิถีวิชาใหม่ เปลี่ยนการถกความรู้โอสถเป็นเกมกระดาน นามว่าหมากล้อมนิรันดร์ ‘อย่าถาม’!”
เมื่อเย่หยวนได้ยินเช่นนั้นเขาก็กล่าวขึ้นมาอย่างตื่นตกใจ “ท้าทายโอสถบรรพกาล! มหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลของเผ่าอสูรผู้นี้เก่งกาจขนาดนั้นเลย?”
คำพูดนั้นมันทำให้ชายชราทำหน้าตาไม่ค่อยพอใจออกมา “เจ้าหมายความว่าอย่างไร? หรือเจ้าคิดว่าเผ่าอสูรเราจะไม่มีผู้ที่เก่งกาจและทำได้แค่เดินตามความรู้ของเผ่ามนุษย์?”
เย่หยวนได้แต่หัวเราะแห้งๆ ออกมา “หึๆ ผู้อาวุโสอย่าได้ว่ากล่าวข้าเลย ผู้น้อยแค่เคยได้ยินมาว่าโอสถบรรพกาลนั้นเหลืออีกแค่ก้าวเดียวก็จะขึ้นสู่อาณาจักรเต๋าบรรพกาลได้ ข้าจึงคิดมาเสมอว่าโอสถบรรพกาลคนนี้คือยอดนักหลอมโอสถอันดับหนึ่งแห่งมหาพิภพถงเทียน”
เพราะเอาจริงๆ แม้แต่หวู่เฉินก็ไม่แน่ใจว่ามหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลแห่งเผ่าอสูรคนนี้เก่งกาจถึงขั้นไหนกันแน่
เพราะยังไงเสียในสายตาของผู้สูงส่งเหล่านั้น ตัวจอมเทพนิรันดร์เองก็เป็นได้แค่ผู้น้อยคนหนึ่ง
ตอนที่โอสถบรรพกาลและมหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลเล่นหมากล้อมนี้กันนั้น จอมเทพนิรันดร์ยังไม่รู้เลยว่าอยู่ในซอกหลืบมุมไหนของโลกหล้า เป็นตอนที่ยังไม่มีดินแดนศักดิ์สิทธิ์ใดๆ ทั้งสิ้น
ชายชราผมขาวพ่นลมหายใจออกมาแรง แต่สีหน้าตอนนี้ก็ดูผ่อนคลายขึ้นมาก “จริงๆ ที่เจ้าว่ามามันก็ถูก เพราะแม้มหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลจะเก่งกาจแค่ไหน สุดท้ายเขาระหว่างเขากับโอสถบรรพกาลมันก็ยังมีเส้นบางๆ กั้นไว้อยู่ เกมหมากล้อมนี้สุดท้ายก็เป็นฝ่ายมหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลที่พ่ายแพ้ลง”
เย่หยวนนั้นตื่นตกใจมากเพราะเขาไม่นึกไม่ฝันว่ามหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลแห่งเผ่าอสูรนี้จะเก่งกาจจนสามารถเทียบเคียงวิชาโอสถของโอสถบรรพกาลได้
เพราะในเรื่องราวที่หวู่เฉินบอกเล่ามาแก่เย่หยวนนั้น โอสถบรรพกาลคือสุดยอดตัวตนที่ไม่มีใครสามารถเทียบเคียงความรู้วิชาโอสถของเขาได้เลย
เพราะยังไงเสียเขาก็เป็นถึงยอดคนที่เกือบขึ้นไปถึงอาณาจักรเต๋าบรรพกาลได้
ในโลกของโอสถแล้ว จะเรียกเขาผู้นี้ว่าเป็นจุดสุดยอดของโลกทั้งใบก็คงไม่ผิดนัก
แต่ว่ามหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลคนนี้กลับสามารถปะทะกับโอสถบรรพกาลได้และแค่แพ้ไปด้วยเส้นกั้นบางๆ
วิชาฝีมือระดับนี้ คงหาไม่ได้อีกแล้วในมหาพิภพถงเทียนนี้
“ผู้อาวุโส แพ้ย่อมนับว่าแพ้ แต่ทำไมมันถึงได้เรียกว่าหมากล้อมนิรันดร์ ‘อย่าถาม’ กันเล่า?” เย่หยวนถามขึ้น
ชายชราหันมาเหลือบมองเย่หยวนด้วยรอยยิ้ม “ถึงข้าจะบอกว่ามันคือหมากล้อม แค่จริงๆ ด้วยความเข้าใจในเต๋าของคนทั้งสองเมื่อตอนนั้น เมื่อมันเข้าสู่ภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกมหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลก็ได้นั่งอยู่หน้ากระดานนานถึงแสนปี สุดท้ายผมเผ้าของเขาก็กลายเป็นสีขาวโพลน และต้องบาดเจ็บหนักจนกระอัดเลือดออกมา เขาจึงได้เปิดปากออกถามโอสถบรรพกาลว่าทำไมตัวเขาถึงได้แพ้ลงได้ และโอสถบรรพกาลก็ตอบกลับมาแค่ว่า ‘อย่าถามๆ!’ นั่นทำให้ชื่อเกมนี้ถูกตั้งมันจากนั้น…”
“จากนั้น?” เย่หยวนถามอีก
“กล่าวกันว่ามหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลนั้นเก็บเรื่องนี้ไว้ฝังใจและพยายามที่จะหาทางแก้มือแก้แค้นให้ได้ แต่เขาก็รู้ตัวถึงช่องว่างระหว่างตัวเองและโอสถบรรพกาลดี เพราะฉะนั้นหลังจากกลับมาถึงเผ่าอสูรเขาก็ได้สร้างวิหารนักบวชขึ้นและรับศิษย์เข้าไปดูแลสั่งสอน หวังว่าสักวันจะเลี้ยงดูยอดคนที่มีความสามารถเทียบเคียงกับโอสถบรรพกาลขึ้นมาได้ พร้อมๆ กันนั้นมหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลก็ได้แยกหมากล้อมกระดานนั้นออกมาให้เป็นแบบง่ายและสร้างชุดเลียนแบบ ‘อย่าถาม!’ ขึ้นมาแจกจ่ายไปทั่ววิหารนักบวช หากมีใครสามารถแก้ไข ‘อย่าถาม!’ นี้ได้ พวกเขาก็จะได้รับสิทธิ์เข้าไปยังวิหารใหญ่” ชายชราผมขาวบอก
“เช่นนี้นี่เอง ดูท่าเหล่าผู้อาวุโสจะอยากให้ข้าแก้ไขเรื่องราวที่แสนหนักหน่วงเสียแล้ว” เย่หยวนยิ้ม
ชายชราผมขาวเองก็ยิ้มตอบมา “เจ้ากลัวหรือ?”
เย่หยวนหันกลับไปมองชายชราด้วยรอยยิ้มในทันที “วันนั้น ตอนที่เจ้าวิหารดี๋เชียวคิดจะสังหารข้า คงเป็นผู้อาวุโสกระมังที่ช่วยยื่นข้อเสนอนั้นขึ้นมา?”
ชายชราผมขาวยิ่งเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะหัวเราะลั่นออกมา “ข้าคิดแล้วจริงๆ ว่ามันคงปิดเจ้าไม่อยู่ เจ้าเด็กคนนี้!”
เย่หยวนยกมือขึ้นคารวะ “ผู้น้อยขอขอบพระคุณผู้อาวุโสที่ช่วยชีวิตไว้ แต่ว่าเราก็รู้จักกันมากว่าครึ่งปีแล้วแต่เย่หยวนผู้นี้ยังไม่รู้นามของท่านเลย”
ชายชราผมขาวตอบ “เฒ่าคนนี้มีนามแค่ตัวเดียวว่าซิ่ว เจ้าเรียกข้าว่าผู้อาวุโสซิ่วเถอะ”
เย่หยวนตอบรับ “ผู้อาวุโสซิ่วนั้นคงคาดหวังให้ข้าไปรับคำท้า?”
ซิ่วตอบกลับมา “ห้าสิบล้านปีมานี้คนที่สามารถแก้ ‘อย่าถาม!’ อย่างง่ายลงได้นั้นมีเพียงแค่สิบเอ็ดคน! และตอนนี้คนทั้งสิบเอ็ดนั้นก็ได้เป็นศิษย์ของมหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลโดยตรง และยังนับเป็นกำลังหลักคนสำคัญของวิชาการโอสถเผ่าอสูรด้วย แต่น่าเสียดายที่คนทั้งสิบเอ็ดนั้นเรียนรู้มานับสิบล้านปีแต่ก็ยังไม่สามารถจะแก้ ‘อย่าถาม!’ ของจริงลงได้”
“ห้าสิบล้านปีแล้วแต่กลับมีแค่สิบเอ็ดคน ท่านผู้อาวุโสคิดหรือว่าข้าจะสามารถแก้มันได้?” เย่หยวนถามขึ้นด้วยรอยยิ้ม
ซิ่วส่ายหัว “ต่อให้เป็น ‘อย่าถาม!’ ฉบับง่ายมันก็ยังเป็นการศึกษาถึงความลึกลับ เปิดหนทางสู่ความลับของยอดเต๋า คนธรรมดาย่อมไม่มีทางผ่านได้เลย แค่ผิดพลาดก้าวเดียวคนผู้นั้นก็อาจจะถึงขั้นเสียชีวิตลงได้ เจ้านั้นเปี่ยมล้นไปด้วยความฉลาด มีมุมมองและสายตาที่แปลกแยก ข้าคิดว่าบางทีเจ้า… อาจจะพอมีโอกาสผ่านไปได้ ว่ายังไง? กล้าที่จะลองไหมล่ะ?”
ครึ่งปีมานี้ซิ่วได้พูดคุยถกเถียงวิชากับเย่หยวนมามาก ยิ่งพวกเขาได้พูดคุยกันเขาก็ยิ่งได้รับประโยชน์จากมัน
นั่นทำให้เมื่อเวลาผ่านไป ซิ่วจึงมั่นใจในความสามารถของเย่หยวนมาก
เพราะฉะนั้นเขาถึงได้สนับสนุนให้เย่หยวนท้าทายมัน
เย่หยวนยิ้มออกมา “เรื่องเช่นนี้มีหรือที่ข้ายังต้องให้ใครมากระตุ้น? หากข้ารู้ว่ามันมีเกมกระดานหมากล้อมเช่นนี้มาก่อน ข้าคงอดทนรอไม่ไหวและไปท้าทายมันนานมากแล้ว”
ได้ยินเช่นนั้นซิ่วก็แสดงสีหน้าไม่ค่อยสบายใจออกมา “เจ้าหนุ่ม ข้ารู้ดีว่าเจ้านั้นเก่งกาจหลักแหลม แต่อย่าได้ดูถูก ‘อย่าถาม!’ นี้เชียว! กว่าห้าสิบล้านปีมานี้มียอดอัจฉริยะต้องตายลงเพราะมันไปมากพอที่จะเติมเต็มเมืองจักรพรรดิเมืองหนึ่งได้ง่ายๆ เลย!”
นี่คือเกมหมากล้อมความรู้ระหว่างสองยอดคน ความดุร้ายรุนแรงของพลังภายในมันจึงยังคงอยู่ครบถ้วนสมบูรณ์พร้อม
ในเกมเช่นนี้ พวกที่มีพรสวรรค์ไม่มากนั้นกลับไม่เป็นอะไร
แต่หากมีคนที่มากพรสวรรค์และเก่งกาจเข้าไปท้าทายมัน เข้าไปอยู่ระหว่างเกมของยอดคนทั้งสอง มันก็จะกลายเป็นอันตรายที่ถึงตายได้ทุกเวลา
ยิ่งเก่งกาจมากเท่าไหร่ มันก็ยิ่งทำให้เป็นเกมกระดานที่อันตรายเท่านั้น
ที่นิคุนคิดจะใช้ ‘อย่าถาม!’ นี้ก็เพื่อคิดจะยืมเกมกระดานนี้สังหารเย่หยวน
เพราะยังไงเสียพรสวรรค์ความสามารถของเย่หยวนนั้น ทุกผู้คนต่างก็รู้ถึงมันดี
นิคุนไม่ชอบเย่หยวน แต่ก็จำเป็นต้องยอมรับว่าเย่หยวนนั้นมีความสามารถด้านการโอสถที่เหนือล้ำ
เย่หยวนยิ้มตอบ “หากที่ใดมีความรู้ ต่อให้จะเป็นทางที่กองด้วยศพนับล้านข้าก็จะเดินผ่านมันไป! หากความกล้าแค่นี้ยังไม่มีข้าจะไปพูดถึงการสำเร็จยอดเต๋าได้อย่างไรกัน?”
ซิ่วตบเข่าตัวเองฉาดใหญ่ก่อนจะหัวเราะลั่น “เยี่ยม! เฒ่าคนนี้มองเจ้าไม่ผิดไปจริงๆ!”
…
เมื่อเย่หยวนพบเจอนิคุนเขาก็เข้าไปถามเพื่อขอท้าทาย ‘อย่าถาม!’ ทันที ทำให้นิคุนต้องตื่นตกใจอย่างมาก
เพราะเดิมทีเขากำลังคิดวางแผนหาทางที่จะบังคับเย่หยวนให้ต้องท้าทาย ‘อย่าถาม!’ นี้ เขาไม่นึกไม่ฝันว่าจะเป็นฝ่ายเย่หยวนเองก็กล้าเข้ามาท้าถึงหน้าประตู
การกระทำเช่นนี้มันทำให้เขามึนงงอย่างมาก
“เจ้าอยากจะท้าทาย ‘อย่าถาม!’ จริง?” นิคุนถามขึ้นด้วยท่าทางสงสัย
เย่หยวนยิ้มตอบ “เรื่องนี้ท่านคงคิดหวังอยู่แล้วไม่ใช่หรือ?”
นิคุนแทบสำลักเมื่อได้ยินจนหลุดปากพูดออกมา “เจ้ารู้เรื่อง… หือ…”
นิคุนตื่นตกใจอย่างมาก ตอนนี้เขารู้ตัวแล้วว่าตัวเองหลุดปากออกไป
เท่านี้มันจะไม่เท่ากับว่าเขายอมรับว่าตัวเองว่าแผนร้ายลับหลังผู้คนหรอกหรือ?
เด็กคนนี้มันเจ้าเล่ห์มากแผน ไม่มีทางใดที่จะป้องกันตัวจากมันได้เลยจริงๆ
แต่ไม่ว่าเขาจะยอมรับหรือไม่ เย่หยวนก็ไม่ได้สนใจมาตั้งแต่แรกแล้ว
เรื่องนี้ซิ่วบอกเย่หยวนมาจบสิ้นแล้ว ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่รู้ถึงความอันตรายของมันและย่อมไม่รู้ถึงแผนร้ายของนิคุนนี้แน่
เย่หยวนยิ้มบางๆ ออกมา “ผู้อาวุโสนิคุน ทำไมเราไม่มาตกลงกันหน่อยล่ะ? ว่ายังไง?”
นิคุนหน้าเหยเกทันทีที่ได้ยิน “เจ้าอยากจะตกลงเรื่องใด?”
เย่หยวนบอก “หากข้าพลาดท่า ข้าจะไม่พูดใดๆ ระหว่างที่พวกท่านสอนอีก แต่หากข้าแก้มันได้ ในการสอนของผู้อาวุโสในวันหน้า ทุกคนจะต้องสามารถพูดจาและตั้งคำถามได้ตามต้องการ! ท่านว่ายังไงบ้าง?”
…………………………