“ฮ่าๆๆ น้องเย่ช่างฝีมือในการหลอมโอสถอันสูงส่ง! ในสายตาของข้าแล้วด้วยพลังฝีมือของเจ้ามันคงไม่ยากเลยที่จะผ่าน ‘อย่าถาม’ ไป!”
ในร้านอาหารหนึ่ง เย่หยวนกำลังพบเจอกับอสูรหนุ่มคนหนึ่งที่มีใบหน้าซาบซึ้งเต็มที
เย่หยวนหยิบเหล้ายกขึ้นจิบและตอบ “คำพูดของพี่เฮ่อตงจะกล่าวชมข้าเกินไปแล้ว กว่าห้าสิบล้านปีมานี้มันมีคนที่ผ่าน ‘อย่าถาม’ ไปได้แค่สิบเอ็ดคน คำพูดของท่านนี้มันเหมือนจะผลักดันข้าลงเหวไฟเลยนะ!”
เฮ่อตงทำหน้าเหยเกออกมาและหัวเราะแห้งๆ กลบเกลื่อน “ฮ่าๆ แต่ไม่ว่ายังไงความสามารถด้านโอสถของน้องเย่ก็ช่างเหนือล้ำจริงๆ เฮ่อตงคนนี้ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยพบเจอใครที่เก่งกาจเท่านี้มาก่อน! หากไม่ใช่เพราะเจ้าแล้วข้าคงไม่มีทางจะบรรลุขึ้นระดับสี่ขั้นปลายมาได้ด้วยเวลาสั้นๆ แค่นี้แน่!”
เย่หยวนยิ้ม “พี่เฮ่อตงก็ถ่อมตนไป ด้วยพรสวรรค์ของท่านข้านั้นมันก็เป็นได้แค่ดอกไม้ประดับข้างทางเท่านั้น”
เย่หยวนกล่าวชมออกมาอย่างไม่หยุดยั้งทำให้เฮ่อตงนั้นพึงพอใจอย่างมาก
“หึ หากพูดถึงเรื่องพรสวรรค์แล้ว ข้าเฮ่อตงนั้นเป็นที่หนึ่งไม่มีเป็นสองรองใครอย่างแน่นอน! เฮ่อตงตอบกลับมาพร้อมยืดอก
เย่หยวนพยักหน้ารับด้วยความเห็นด้วย “เย่คนนี้เพิ่งจะมาถึงเมืองไม่นานแต่ก็ได้ยินมาว่าในเมืองนี้มันมียอดอัจฉริยะอีกคนนี้? เขามีนามว่าอะไรนะ?”
เฮ่อตงหน้าเปลี่ยนสีไป “อิ้งหมัวหู่!”
“ใช่ๆ มันมีนามว่าอิ้งหมัวหู่! ข้าได้ยินว่าเจ้าเด็กคนนี้มันประเมินตัวเองสูงเกินและถึงขั้นอยากจะมาเทียบเคียงกับพี่เฮ่อตง!” เย่หยวนพูดออกมาอย่างไม่พอใจ
เฮ่อตงมีใบหน้าที่แปลกประหลาดไปไม่น้อยและส่ายหัวออกมา “น้องเย่ว่ากล่าวเช่นนี้ได้อย่างไร? อิ้งหมัวหู่นั้นเป็นพี่น้องคนสนิทของข้า! ตอนนี้เขาถูกจับไปขังไว้มันทำให้ข้าบาดเจ็บหัวใจมากนัก!”
เมื่อเย่หยวนได้ยินเช่นนั้นเขาก็แสดงสีหน้าไม่พอใจออกมา “หึ พี่เฮ่อตงคงคิดว่าข้าเป็นคนนอกเสียแล้ว! ช่างเถอะ ไม่ต้องคุยกันแล้ว เหล้าก็ดื่มกันจนมากพอแล้ว วันนี้เย่ของตัวลาก่อน”
พูดจบเย่หยวนก็ทำท่าจะลุกขึ้นทันที
เฮ่อตงสะดุ้งและลุกขึ้นมาตามดึงตัวเย่หยวนไว้ทันที “อย่าเพิ่ง! น้องเย่เรื่องนี้มันเป็นความผิดของเฮ่อตงผู้นี้เอง มานั่งต่อก่อนค่อยๆ คุยกันก่อน!”
เย่หยวนกลับมานั่งลงด้วยท่าทางไม่พอใจนัก “เฮ่อตง ข้ารู้สึกได้ว่าท่านนั้นมีพรสวรรค์ที่ไม่ธรรมดาถึงได้คิดมาผูกมิตรด้วย เจ้าคิดว่าใครๆ ก็สามารถที่จะมาเป็นสหายของข้าคนนี้ได้เช่นนั้นหรือ?”
ก่อนจะมาเย่หยวนัน้นได้ขอให้จินหัวช่วยป่าวประกาศออกไปว่าตัวเขาสามารถหลอมโอสถความยากระดับเก้าได้
ก่อนหน้านี้เย่หยวนได้หลอมโอสถและช่วยให้เฮ่อตงบรรลุผ่านคอขวดขึ้นขั้นปลายระดับสี่มาได้
เพราะจริงๆ แล้วตอนที่เย่หยวนได้ยินเรื่องราว เขาก็รู้สึกว่ามันมีอะไรแปลกๆ มาตั้งแต่ต้น
หากพวกเขาเป็นพพี่น้องที่รักสนิทกันจริงๆ มีหรือที่จะปล่อยให้อิ้งหมัวหู่ถูกราชันพยัคฆ์สวรรค์จับตัวไปง่ายๆ เช่นนั้น?
หากเป็นเย่หยวนเขาคงยอมตายแทนจะปล่อยให้ราชันพยัคฆ์สวรรค์พาตัวอิ้งหมัวหู่ไป
เรื่องราวในครั้งนี้มันถูกป่าวประกาศออกมาสู่โลกภายนอกว่าเป็นเรื่องที่อิ้งหมัวหู่ตัดสินใจทำเอง
แต่ข่าวสารในวิหารนักบวชมันไม่ได้ตื่นเหมือนข่าวในโลกภายนอก
แม้ว่าทางวิหารจะไม่ได้สนใจการแย่งชิงอำนาจในเมืองต่างๆ พวกเขาก็ยังจำเป็นต้องตามสืบข่าวไว้เพื่อรักษาจุดยืนของตนให้มั่นคง!
เพราะฉะนั้นเมื่อเย่หยวนออกมาจากค่ายกลเคลื่อนย้าย เขาจึงได้ถามออกไป
การจัดฉากในวันนี้ย่อมเป็นเพื่อล่อให้เขาแสดงธาตุแท้ออกมา
เพราะหากพูดถึงความเจ้าเล่ห์แล้วต่อให้มีเฮ่อตงสิบคนก็มาเทียบเย่หยวนไม่ได้
ด้วยคำพูดไม่กี่คำ ตอนนี้เฮ่อตงก็เริ่มมองว่าเย่หยวนเป็นสหายที่แท้และยอมที่จะบอกเล่าเรื่องราวจริงๆ ออกมา
บวกกับตัวตนของเย่หยวนที่สูงส่งของเย่หยวนที่บอกว่าจะช่วยเฮ่อตงหลอมโอสถจี้เมฆศรสุริยาสวรรค์ เขาย่อมแสดงท่าทางยอมรับและซื่อตรงต่อเย่หยวนกว่าเก่า
แต่ว่าเย่หยวนนั้นไม่เคยจะพูดถึงเรื่องของอิ้งหมัวหู่มาก่อนเลยจนวันนี้เป็นครั้งแรกที่เขาได้พูดถึงขึ้นมา
หากเฮ่อตงนับอิ้งหมัวหู่เป็นพี่น้องจริงๆ แล้วเย่หยวนก็คงต้องเป็นฝ่ายยอมรับผิด อิ้งหมัวหู่ยอมสละตัวเพื่อพี่น้อง เขาย่อมไม่มีอะไรจะว่ากล่าวได้
แต่หากว่ามันมีเรื่องราวใดๆ เกิดขึ้นลับหลัง เขาย่อมไม่คิดจะปล่อยมันผ่านไป
เฮ่อตงนั้นรู้ดีว่าเย่หยวนมีความสามารถมากพอจะหลอมโอสถจี้เมฆศรสุริยาสวรรค์ได้และคิดที่จะผูกมิตรกับเย่หยวนอย่างเต็มที่
แต่ต่อให้จะเป็นสหายกันไม่ได้ เขาก็ยังไม่ใช่คนที่จะไปลบหลู่ได้!
เพราะโอสถเม็ดเดียวของเย่หยวนนั้นมันจะช่วยให้เขาสามารถบรรลุระดับห้าได้
คนเช่นนี้เขาจะกล้าไปทำเรื่องเสียมารยาทด้วยได้อย่างไร?
และแล้วไม่นานเฮ่อตงก็ทำหน้าตาเหนื่อยหน่ายออกมา “น้องเย่ใจเย็นก่อน แค่มองทีเดียวก็รู้แล้วว่าเจ้าเป็นคนฉลาด! ไม่ว่าจะยังไงเจ้าเด็กนั่นมันก็ตายไปแล้ว ไม่มีอะไรต้องมาว่ามากล่าวกันอีก ไอ้เด็กคนนั้นมันไม่รู้จักสำนึกบุญคุณ เพราะเช่นนั้นข้าจึงได้วางแผนเล็กๆ น้อยๆ เพื่อจัดการมัน”
เมื่อเย่หยวนได้ยินเขาก็อดไม่ได้ที่จะตอบกลับมาอย่างสนอกสนใจ “โอ้? เช่นนั้นคนที่ทำร้ายลูกชายของราชันพยัคฆ์สวรรค์จนบาดเจ็บสาหัสก็เป็นท่าน?”
เฮ่อตงยิ้มตอบ “เรื่องนั้นแน่นอน! เดิมทีข้าคิดจะสังหารมันด้วยซ้ำ ใครจะไปคิดว่ามันจะหนังหนาตายยากกลับไม่ยอมตายลง! เจ้าโง่อิ้งหมัวหู่มันกลับลุกขึ้นยอมรับผิดแทนข้าในเรื่องนี้”
ระหว่างที่คุยไปเฮ่อตงก็มีใบหน้าอันดูถูกเย้ยหยันอยู่เต็มเปี่ยม
เย่หยวนย่อมรู้เรื่องราวมาก่อน ปกติเวลาแล้วเฮ่อตงจะเรียกอิ้งหมัวหู่เป็นพี่เป็นน้อง และเอาของมีค่าหลายอย่างไปจากอิ้งหมัวหู่
มีอสูรหลายคนในเมืองมองว่าอิ้งหมัวหู่เป็นตัวเกะกะและเมื่อเฮ่อตงไปเจอคนพวกนั้นทีไรเขาก็จะเข้าไปไล่พวกนั้นจนแตกกระเจิง
หากมองจากตอนนี้แล้ว เรื่องราวทั้งหมดมันคงเป็นการจัดฉากของเฮ่อตง
เย่หยวนยิ้มออกมาอย่างเยือกเย็น “พี่เฮ่อตง ท่านปฏิบัติกับน้องของท่านเช่นนี้ วันหน้าท่านคงไม่คิดจะมาแทงข้างหลังข้าบ้างใช่หรือไม่?”
เมื่อเฮ่อตงได้ยินเขาก็รีบปฏิเสธออกมา “น้องเย่ว่ากล่าวเช่นนี้ได้อย่างไร? เฒ่าตงคนนี้ไม่ใช่คนเช่นนั้น! จริงๆ ข้าได้ส่งสัญญาณบอกอิ้งหมัวหู่มันไปหลายครั้งแล้วว่าให้มันไปจากเมืองจักรพรรดิพยัคฆ์ใสเสียและอย่าได้มาคิดแย่งตำแหน่งยอดอัจฉริยะจากข้าไปแต่มันกลับไม่คิดจะรับฟัง! ข้าจึงต้องจำใจใช้แผนการนี้เพราะไม่มีทางเลือกอื่น! น้องเย่เจ้าเปิดใจกับข้าแล้ว ข้าเฮ่อตงย่อมจะมองเจ้าเป็นสหายไปชั่วชีวิต!”
รอยยิ้มบนใบหน้าของเย่หยวนยิ่งกว้างมากขึ้น ทำให้เฮ่อตงต้องเสียวสันหลังวาบ
“น-น้องเย่ ทำหน้าแบบนั้นมีเรื่องใดหรือ?”
เย่หยวนพ่นลมออกมาจากจมูก “เช่นนั้นเจ้ารู้หรือไม่ว่าข้ากับอิ้งหมัวหู่นั้นเป็นพี่น้องร่วมสาบานมีทุกข์ร่วมสู้มีสุขร่วมเสพ?”
เฮ่อตงทำหน้าเหยเกออกมาทันทีที่ได้ยิน “นี่มัน… เป็นไปได้อย่างไร?”
เย่หยวนกลับมามีใบหน้าสงบเช่นเดิม “อิ้งหมัวหู่นั้นอยู่กับข้ามาตั้งแต่เล็ก เราช่วยเหลือกันมาตลอด! แต่วันนี้เจ้ากลับแทงข้างหลังเขา เจ้าคิดว่า… ข้าควรทำเช่นไรดี?”
เฮ่อตงแสดงท่าทีไม่พอใจออกมา “เจ้า… เจ้ากล้ามาหลอกลวงข้า?”
เย่หยวนบอก “เจ้าเองก็ยังไม่ได้ถึงว่าโง่ขนาดนั้นนี่! อิ้งหมัวหู่นั้นมันเป็นคนจิตใจบริสุทธิ์จนไปเลือกที่จะนับอสรพิษอย่างเจ้าเป็นสหาย แต่มีหรือที่ข้า พี่ชายของเขาจะปล่อยให้เจ้าได้กลับไปเปล่าๆ?”
เฮ่อตงเปลี่ยนสีหน้าไปมาหลายครั้งด้วยท่าทางคิดหนัก ก่อนที่สุดท้ายจะยิ้มออกมาอย่างเยือกเย็น “ด้วยพลังเช่นเจ้า? เจ้ามันก็โง่ไม่ต่างจากน้องของเจ้าหรอก! ทั้งๆ ที่เจ้าสงสัยข้ามาแต่ต้นแต่ก็ยังกล้าหลอมโอสถช่วยข้าบรรลุขั้น! หึ ตายเสีย!”
พูดจบคลื่นพลังของเฮ่อตงก็พุ่งสูง พลังของระดับสี่ขั้นปลายถูกใส่มาอย่างเต็มที่ในหมัดที่ต่อยลงมาหาเย่หยวน
เย่หยวนแค่ยืนรับอยู่ตรงนั้นพร้อมยกนิ้วขึ้นมาชี้
ปัง!
ร่างของเฮ่อตงนั้นเหมือนถูกสายฟ้าผ่าเข้ากลางตัว กระเด็นลอยออกไปพร้อมเลือดที่สาดกระเซ็น
เมื่อตกลงถึงพื้นเขาก็หันมามองเย่หยวนด้วยความหวาดกลัว ก่อนจะถามขึ้นมาอย่างไม่อยากเชื่อ “มัน… เป็นไปได้อย่างไรกัน?”
เย่หยวนมองดูที่เฮ่อตง “อิ้งหมัวหู่มันไม่ชอบพูดคุยเรื่องราวอวดตัว เขาจึงไม่น่าจะได้บอกเจ้าใช่ไหมว่าทำไมเขาจึงต้องเดินจากไกลมาถึงเมืองจักรพรรดิพยัคฆ์ใสนี้ พลังฝีมือที่เจ้ามั่นใจหนักหนามันไม่มีค่าในสายตาของข้าหรอก!”
……………………….