เย่หยวนคิ้วขมวดขึ้นทันที ภาพดีๆ ในตอนแรกที่เขามีต่อเจียงเชอเหยียนหายไปในพริบตา
เขาย่อมไม่มีความคิดจะตามตื้อใดๆ ไป่หลี่ชิงหยาน แต่เป็นตัวไป่หลี่ชิงหยานเองต่างหากที่มาขอร้องให้เขาร่วมกลุ่มด้วย
เย่หยวนเชื่อว่าด้วยพลังของนิกายเหย้าอมตะ พวกเขาย่อมไม่มีทางไม่รู้เรื่องราวนี้
แต่ถึงอย่างนั้นนางก็ยังพูดว่าออกมา
เมื่อเจียงเชอเหยียนเห็นใบหน้านั้นของเย่หยวน นางก็พูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้มแสนเย็นชา “เจ้าคิดว่าตัวเองมีพรสวรรค์ดีแล้วเก่งกาจมากหรือ บางทีพรสวรรค์เองก็เป็นบาป! ไม่ว่าจะเป็นนิกายบุปผาเหิน นิกายดาบเมฆาหรือนิกายเหย้าอมตะ หากเราอยากสังหารเจ้านั้นมันย่อมง่ายเสียยิ่งกว่าขยี้มด! เหมือนเรื่องในครั้งนี้หากไม่ได้ชิงหยานออกมารับหน้าให้ เจ้าก็คงได้ตายลงไปแล้ว หากเจ้ายังหลบอยู่หลังผู้หญิงจะอวดอ้างตนแค่ไหนไปมันก็เปล่าประโยชน์”
เย่หยวนหรี่ตาลงทันที ตอนนี้ความขอบคุณซาบซึ้งใดๆ ที่เขาเคยมีต่อเจียงเชอเหยียนได้ปลิวหายไปกับสายลมแล้ว
คำพูดนี้มันช่างเฉียบคม
“เจ้ามั่นใจถือศักได้ขนาดนั้นเพราะมีคนใหญ่คนโตหนุนหลังหรือ? งั้นข้าคงต้องขอบอกเลยว่าเจ้านั้นมันน่าสมเพช ความยิ่งใหญ่ของเจ้ามันไม่มีค่าใดๆ ต่อหน้าข้าทั้งสิ้น! ที่สำคัญไม่ว่าแม่นางไป่หลี่และข้าจะเป็นอะไรกันมันก็มิใช่เรื่องของเจ้าเลย นางนั้นเป็นตัวตนของนางเอง!” เย่หยวนบอก
เว้นเสียแต่ว่าเจียงเชอเหยียนกลับไม่โกรธเคืองใดๆ และหัวเราะกลับมา “นี่หรือคือศักดิ์ศรีอันด้อยค่าของเจ้า? ไม่ต้องห่วงไป อีกไม่นานเจ้าจะได้รู้เองว่าความเป็นจริงมันโหดร้ายเพียงใด นิกายเงาจันทร์นั้นมิได้ขาดแคลนอัจฉริยะ ไป่หลี่ชิงหยาน ไปกัน”
“ศิษย์พี่! การสอบมันยังไม่จบเลยนะ!” แต่ไป่หลี่ชิงหยานกลับไม่ยอมที่จะไปและหาข้ออ้างขึ้นมาแทน
เจียงเชอเหยียนแสดงท่าทางไม่พอใจออกมา “แก้วอสูรศักดิ์สิทธิ์ในมือของพวกเจ้าตอนนี้มันมากเกินพอที่จะผ่านการสอบได้แล้ว ไม่ต้องอยู่ต่อไปอีกแล้ว”
พูดจบเจียงเชอเหยียนก็ไม่คิดจะปล่อยให้ไป่หลี่ชิงหยานได้พูดอะไรอีกและลากตัวนางกลับไป
หลังจากทุกคนแยกย้ายไปแล้วเย่หยวนก็กระอักเลือดคำโตออกมาอีกครั้ง
“เชียนเย่สินะ? ความแค้นในวันนี้ข้าจะจดจำมันไว้อย่างดี!” เย่หยวนพูดขึ้นด้วยท่าทางแสนเย็นเยือก
การโจมตีของนภาสวรรค์หนึ่งดาวมันรุนแรงเพียงใด? นี่มันเป็นเพราะเขาคือเย่หยวน หากคนที่ถูกโจมตีเป็นคนอื่นพวกเขาคงตายไปอย่างไม่เหลือซากร่างให้กลบฝังแน่ๆ
ในวินาทีนั้นเย่หยวนได้ใช้แนวคิดแห่งห้วงมิติออกมาเต็มแรงเพื่อตัดพลังส่วนมากออกไป นั่นทำให้เขาสามารถรอดพ้นความตายมาได้แบบเส้นยาแดงผ่าแปด
ความอันตรายของมันนั้นยากเกินกว่าจะอธิบายได้
อาณาจักรพระเจ้า แต่ละอาณาจักรจะมีการแบ่งแยกเป็นดาว
และพลังโลกที่แต่ละอาณาจักรพระเจ้าปล่อยออกมานั้นมันก็ย่อมไม่มีทางเท่าเทียมกัน
จากโลกใบเล็กแล้วก็กลายเป็นโลกสมบูรณ์ แล้วพัฒนาชีวิตหลากหลาย ก่อนจะได้กลายเป็นเจ้าโลกอย่างแท้จริง
ยอดฝีมืออาณาจักรนภาสวรรค์นั้นคือระยะที่โลกภายในของตนเริ่มให้กำเนิดชีวิตหลากหลาย!
ตอนที่โลกใบน้อยจะสมบูรณ์ได้จริงๆ ก็คือตอนที่ชีวิตต่างๆ เกิดขึ้นมาอย่างครบถ้วนแล้ว นั่นคือช่วงก่อนที่นักยุทธจะบรรลุสู่อาณาจักรเทพถ่องแท้
เพราะฉะนั้นสำหรับอาณาจักรนภาสวรรค์แล้ว แม้ว่าจะเป็นแค่นภาสวรรค์หนึ่งดาวพวกเขาก็แตกต่างจากราชันพระเจ้าอย่างมากมาย
การที่เย่หยวนหลบการโจมตีนี้มาได้นั้นมันเป็นเรื่องที่สุดแสนอันตรายแบบเส้นยาแดงผ่าแปดจริงๆ
เมื่อได้อยู่คนเดียวเย่หยวนก็หลบหาสถานที่เก็บตัวรักษาบาดแผล
หลังผ่านไปได้หลายวันก็ครบเวลาหนึ่งเดือน เย่หยวนจึงเดินกลับออกมาจากเทือกเขาเงาจันทร์
…
เมื่อกลับมาถึงประตูเข้าเทือกเขา เขาก็พบว่าจำนวนผู้เข้าสอบนั้นมันลดลงไปอย่างมาก
การสอบครั้งนี้มันไม่ได้ห้ามการฆ่าฟัน มีผู้เข้าสอบจำนวนมากที่ต้องตายลงด้วยคมเขี้ยวของเหล่าสัตว์อสูรหรือไม่ก็ตายลงด้วยน้ำมือของผู้เข้าสอบคนอื่น
คนที่รอดมาได้ในตอนนี้คือยอดฝีมือทั้งนั้น
แน่นอนว่าหากไม่ได้การช่วยเหลือจากเชียนเย่ จงฮันหลินยอดอัจฉริยะคนนั้นเองก็คงได้นอนฝังร่างในเทือกเขาเงาจันทร์ไปตลอดกาล
ชายแก่ที่ทำหน้าที่ดูแลการสอบเปิดปากพูดขึ้น “เอาล่ะ ส่งมอบแก้วอสูรศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดที่พวกเจ้าเก็บมาได้ หลังจากทำการตรวจสอบแล้วเราจะประกาศผลลำดับคะแนน”
แก้วอสูรศักดิ์สิทธิ์ของไป่หลี่ชิงหยานและเย่หยวนสองคนนั้นอยู่ในการดูแลของเย่หยวนมาตลอด
ถึงตอนนี้เย่หยวนจึงเดินผ่านฝูงชนเข้าไปมอบแหวนที่เก็บพวกมันไว้ให้แก่ศิษย์ที่ทำหน้าที่จัดการเรื่องทั่วไปของนิกาย
เมื่อเห็นเย่หยวนเดินออกมา ก็เกิดเสียงกระซิบกระซาบดังขึ้นในหมู่ผู้คน
“ไอ้หมอนั่นคือคนที่ท่านพี่ไป่หลี่ช่วยร่วมกลุ่มนี่ มันโชคดีจริงๆ ผ่านเข้ารอบสองได้โดยไม่ต้องทำอะไรเลย”
“หึ แค่โชคดีครั้งคราวมันย่อมไม่มีประโยชน์ การสอบรอบสองต่างหากคือของจริง ด้วยพลังฝีมือของมันย่อมไม่มีทางผ่านเข้าไปได้”
“ชิๆ ได้ใช้เวลายามค่ำคืนกับท่านพี่ไป่หลี่บนเขาเช่นนั้น ข้าล่ะจะอิจฉามันตายแล้ว!”
…
ข่าวเรื่องการต่อสู้ของเย่หยวนและพวกต้วนชิงหงไม่ได้แพร่กระจายออกไปแม้แต่น้อย
เพราะเรื่องนี้มันเกี่ยวข้องกับชื่อเสียงของนิกายบุปผาเหินและนิกายดาบเมฆา สองค่ายนิกายใหญ่ มีหรือที่ผู้คนจะเอาเรื่องนี้ออกมาพูดกันง่ายๆ?
แม้ว่านิกายคชสารมารนั้นจะแข็งแกร่งแค่ไหน แต่หากเอาไปเทียบกับสามนิกายใหญ่แล้วมันก็ยังนับได้ว่าอ่อนแอไปมาก
ที่สำคัญเรื่องนี้มันก็เกี่ยวพันถึงชื่อเสียงของนิกายคชสารมารเองด้วย
นิกายมากเส้นสายสุดทรงพลังเช่นนั้นกลับถูกเย่หยวนคว่ำลงด้วยมือเดียว พวกเขาจะยังมีหน้าเอาเรื่องนี้ไปเล่าให้ผู้คนฟัง?
ตอนนี้ทางคชสารมารได้สั่งออกมาอย่างชัดเจนแล้วว่าห้ามให้ผู้คนที่เข้าร่วมแพร่งพรายเรื่องที่เกิดขึ้นในป่าวันนั้นเด็ดขาด
ไป่หลี่ชิงหยานเองก็อยู่ในฝูงชนมองดูแผ่นหลังของเย่หยวนด้วยสีหน้าสุดซับซ้อน
สายตาของเชียนเย่ ต้วนชิงหงและพวกจงฮันหลินเองก็มองดูเย่หยวนอย่างไม่คลาดสายตา
วินาทีที่เย่หยวนเดินออกมา ก็เรียกได้ว่าเขากลายเป็นเป้าสายตาของทุกผู้คนทันที
ชายแก่คนนั้นหันมามองเย่หยวนด้วยสายตามึนงงสงสัย
ไอ้เด็กคนนี้มันไปทำอะไรไว้? ทำไมถึงได้มีคนสนใจมันมากมายขนาดนี้?
ไม่นานการส่งมอบแหวนก็สิ้นสุดลง
หลังจากตรวจสอบแล้วชายแก่ก็เรียกเชียนเย่เข้าไปหา “เชียนเย่ เจ้าไปประกาศผล”
เชียนเย่ก้มหัวรับ “ขอรับท่านผู้ดูแลหง!”
แต่เมื่อเขาเลื่อนสายตาไปมองยังแผ่นกระดาษ เขาก็อดไม่ได้ที่จะต้องทำหน้าเหยเกออกมา
เพราะอันดับหนึ่งนั้นมันคือคู่ของไป่หลี่ชิงหยานและเย่หยวน
เจ้าหมอนี่มันไปเอาแก้วอสูรศักดิ์สิทธิ์มาจากไหนมากมาย? เขาและไป่หลี่ชิงหยานนั้นตั้งกลุ่มกันแท้ๆ แต่คะแนนที่ได้จากการล่าแก้วอสูรศักดิ์สิทธิ์นั้นมันกลับมากกว่าคะแนนที่อันดับสองถึงห้าทำได้มารวมกัน! เชียนเย่แทบไม่อยากยอมรับเรื่องที่เกิดขึ้นตรงหน้า
เพราะยังไงด้วยกฎของการตั้งกลุ่ม มันไม่เพียงแค่ว่าการล่าแบบกลุ่มจะได้คะแนนจากแก้วอสูรศักดิ์สิทธิ์น้อยกว่าการล่าคนเดียวแล้ว พวกเขายังต้องเอาคะแนนที่น้อยนิดนั้นมาแบ่งเท่าๆ กันด้วย
เพราะฉะนั้นการล่าแบบกลุ่มมันจึงเป็นการยากมากที่จะได้คะแนนเป็นอันดับหนึ่ง
โดยปกติแล้วการตั้งกลุ่มล่านั้นมันจะเกิดขึ้นกับเหล่าผู้เข้าสอบที่ไม่แข็งแกร่งมากมาย เพราะว่าพวกเขากลัวว่าจะไม่อาจรับอันตรายที่ต้องเผชิญได้
เหล่าผู้เข้าสอบที่แข็งแกร่งอย่างแท้จริงนั้นจะไม่คิดร่วมกลุ่มกับใครเด็ดขาด
“ทำไมรึ? มันมีปัญหาใด?” ผู้ดูแลหงถามขึ้นเมื่อเห็นว่าเชียนเย่ไม่ยอมประกาศออกมาเสียที
เชียนเย่สะดุ้งตกใจขึ้นมาและรีบตอบปฏิเสธออกไป “ม-ไม่มีปัญหาครับ!”
เขาเริ่มตั้งสติและอ่านรายชื่อตามในประกาศออกมา “อันดับหนึ่งไป่หลี่ชิงหยานและเย่หยวน คะแนนแก้วอสูรศักดิ์สิทธิ์สองร้อยยี่สิบสามแต้ม! อันดับที่สองจงฮันหลิน คะแนนแก้วอสูรศักดิ์สิทธิ์แปดสิบสามแต้ม…”
“หา!”
เกิดเสียงร้องขึ้นมาพร้อมๆ กันจากคนโดยรอบ
ผู้ดูแลคนนั้นเองก็หันมามองเชียนเย่ด้วยท่าทางตื่นตกใจ ได้แต่คิดในใจว่าตัวเองหูฝาดไปหรือเปล่า
สองร้อยยี่สิบสามแต้มแก้วอสูรศักดิ์สิทธิ์ ที่สำคัญยังเป็นการล่าแบบกลุ่ม จำนวนขนาดนี้มันจะไม่มาไปหรือ
ที่สำคัญแต้มแก้วอสูรศักดิ์สิทธิ์นี้มันคือการนับจำนวนของแก้วอสูรศักดิ์สิทธิ์ระดับสี่ขั้นปลายเท่านั้น
การจะแลกหนึ่งแต้มแก้วอสูรศักดิ์สิทธิ์มันต้องใช้ถึงสิบแก้วอสูรศักดิ์สิทธิ์ระดับสี่ขั้นกลาง
หรือก็คือคนทั้งสองนี้ล่าสัตว์อสูรระดับสี่ไปอย่างน้อยๆ นับพันตัว
การทำเช่นนั้นได้ในเวลาแค่หนึ่งเดือนมันน่าเหลือเชื่อมาก
ในอดีตแล้วอันดับหนึ่งอย่างมากก็จะได้แค่แปดสิบถึงเก้าสิบแต้มเท่านั้น
ดวงตาคู่งามของไป่หลี่ชิงหยานจ้องมองดูเย่หยวนอย่างไม่อยากเชื่อสายตา
จู่ๆ นางก็คิดถึงอะไรบางอย่างขึ้นมาได้จนตัวสั่นทั้งร่าง แก้วตาของนางหดเล็กลงโดยไม่สามารถหยุดยั้งตัวได้
…………………………