หลังจากสามวันแห่งการพักผ่อนผ่านไปเหล่าศิษย์ที่มาเข้าร่วมการสอบในรอบที่สองต่างก็กลับมาพร้อมกับสภาพสมบูรณ์เต็มร้อยอีกครั้ง
ผู้ดูแลหงหันหน้าเข้าไปก้มคารวะทางนิกาย
“ศิษย์นิกายเงาจันทร์ หงเซียวขอเรียนเชิญยอดกลองจรัส!”
พูดไปผู้ดูแลหงก็หยิบธงผืนหนึ่งออกมาเดินพลังปราณเทวะลงไปราวกับว่ามันถูกดูดเข้าไปในหลุมมิติ
ตุบ!
เสียงหนึ่งดังขึ้นสนั่นฟ้า เป็นเสียงที่ดังดินต่ออย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุดพัก
ในหมู่คนที่มาเข้าสอบทั้งหลายนั้น ดวงตาอันแตกตื่นของทุกคนต่างจับจ้องมองไปที่กลองใหญ่ตัวหนึ่งที่กำลังค่อยๆ ปรากฏออกมาจากความว่างเปล่า
“อ้า! หูข้า!”
“ข้า… ข้าไม่ไหวแล้ว!”
เสียงสั่นสะเทือนของเจ้ากลองยักษ์มันทำให้หลายผู้หลายคนเริ่มแสดงอาการเจ็บปวดออกมา
คนที่อ่อนแอมากๆ นั้นถึงขั้นต้องกระอักเลือดออกมาคำโต ดูท่าแรงสั่นนี้มันคงทำให้อวัยวะภายในของพวกเขาได้รับบาดเจ็บไปแล้ว
“นี่มัน…. ท่วงทำนองแห่งยอดเต๋า!”
เย่หยวนยักคิ้วสูงขึ้นด้วยความตื่นตกใจทันที
เพราะอาการแปลกๆ นี้เย่หยวนเองก็เคยรู้สึกรับมันมาแล้ว
ตอนนั้นที่เขากำลังศึกษาวิชาอยู่ที่เผ่าปีศาจ เขาเคยได้ทำให้ท่วงทำนองแห่งยอดเต๋าบรรเลงออกมาครั้งหนึ่ง และเสียงที่เจ้ายอดกลองจรัสนี้ส่งออกมามันก็ให้ความรู้สึกที่คล้ายคลึงกับเสียงนั้น
เพียงแค่ว่าท่วงทำนองยอดเต๋าที่เย่หยวนเคยทำให้ดังนั้นมันเป็นเต๋าแห่งโอสถ
ส่วนเจ้ายอดกลองจรัสตัวนี้มันเป็นยอดเต๋าที่แสนดุร้าย ดูท่าคงเป็นเต๋าสายโจมตีสักอย่างเป็นแน่
เย่หยวนนั้นตื่นตะลึง “ดูท่านิกายเงาจันทร์จะยิ่งใหญ่สมชื่อจริงๆ ยอดกลองจรัสนี้มันคงเป็นถึงสมบัติเทพถ่องแท้เลิศล้ำขั้นสูง เหนือล้ำจนถึงขั้นแค่ขยับหน้ากลองไม่มากก็กลับส่งเสียงทำลายล้างอันทรงพลังเช่นนี้ออกมาได้”
สำหรับท่วงทำนองแห่งยอดเต๋านั้น เย่หยวนย่อมสามารถรับมันไว้ได้ไม่ยาก
แต่พวกไป่หลี่ชิงหยานและคนอื่นๆ นั้นกลับต้องเดินปราณขึ้นมาปกป้องกันร่างของตนไว้
จนในที่สุดเสียงของกลองนั้นก็ค่อยๆ จางหายไป ทำให้ทุกคนต้องถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมา
ผู้ดูแลหงมองดูทุกผู้คนที่มาเข้าสอบครั้งหนึ่งแล้วบอก “คนที่กระอักเลือดกลับไปได้”
คนที่กระอักเลือดออกมานั้นล้วนแล้วแต่แสดงท่าทางสิ้นหวังออกมา แต่พวกเขาก็ได้แต่ต้องก้มหน้ายอมรับความจริง
“ข้าได้ยินมานานว่ายอดกลองจรัสนั้นมีพลังเหนือฟ้า แต่ไม่นึกไม่ฝันว่ามันจะน่ากลัวถึงขั้นนี้เลย!”
“หากมันถูกใช้งานจริงๆ ออกมาต่อให้เป็นยอดฝีมือนภาสวรรค์ก็คงถูกสังหารลงในพริบตาเลยใช่ไหม?”
พลังที่ยอดกลองจรัสแสดงออกมาในครั้งนี้ พวกเขาทั้งหลายต่างตกตะลึงอย่างมาก
หลังคนเหล่านั้นจากไปแล้วผู้ดูแลหงก็บอกออกมา “เอาล่ะมาเริ่มการทดสอบรอบที่สองกัน ไม่เกี่ยวว่าพวกเจ้าจะใช้วิธีการใด ขอแค่พวกเจ้าสามารถทำให้ยอดกลองจรัสนั้นส่งเสียงออกมาได้ ก็จะนับว่าเป็นการผ่าน คนที่ผ่านจะได้เข้าเป็นศิษย์แท้ของนิกายเงาจันทร์ คนที่ไม่ผ่านวันนี้จะได้เป็นศิษย์ดูแลช่วยงานทั่วไป หากเจ้าอยากเป็นศิษย์ทั่วไปแล้วพวกเจ้าก็สามารถถอนตัวได้ทันที แต่ว่าเฒ่าคนนี้ต้องขอเตือนก่อนเลยว่าจงประเมินตัวเองให้ดี! การโจมตีของพวกเจ้านั้นยอดกลองจรัสจะคืนสนองมันกลับมาหลายเท่าตัว บางทีมันอาจจะถึงขั้นทำให้พวกเจ้าต้องเสียชีวิตลงเลยก็ได้”
คำพูดนี้ของผู้ดูแลหงทำให้หลายๆ คนหน้าซีดเผือดลง
ยอดกลองจรัสนี้จะมีพลังที่เหนือล้ำจนเกินไปแล้ว
การตีกลองนี้มั่วๆ อย่างไม่ประเมินตัวเองมันเท่ากับการรนหาที่ตายดีๆ นี่เอง
“เอาล่ะตอนนี้พวกเจ้าจงออกมาทดสอบกันเรียงตามลำดับกลับด้านจากผลการสอบคราวก่อน” ผู้ดูแลหงบอก
นั่นทำให้คนแรกที่ได้ขึ้นสนามสอบคือคนที่ได้ที่โหล่ของการสอบรอบที่ผ่านมา เขาเป็นชายร่างผอมบางคนหนึ่ง
เมื่อเขาเดินขึ้นไปยืนอยู่กลางอากาศ คนทั้งหลายก็ได้เห็นว่าเขาหยิบแท่งเหล็กยาวขึ้นมาไว้ในมือ
“กระบองทิพย์ไร้จำกัด!”
ชายร่างผอมบางคนนี้ฟาดกระบองเหล็กลงไปยังยอดกลองจรัส
ปัง!
มีเสียงกรีดร้องดังขึ้นมา แต่กลับไม่มีเสียงของยอดกลองจรัสเลยแม้แต่น้อย แขนขวาของเขาคนนั้นแตกสลายออกเป็นเสี่ยงๆ ในวินาทีที่มันตีถูกกลอง
เมื่อต้วนชิงหงเห็นภาพนี้เขาก็พูดขึ้นมาด้วยท่าทางเย้ยหยัน “หึ ขยะจริงๆ! มันคิดว่ากำลังตีกลองที่บ้านมันอยู่หรือถึงได้เอาท่อนเหล็กไปฟาดเอาดื้อๆ แบบนั้น?”
เมื่อฮันยองเห็นภาพนี้สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปในทันทีก่อนจะหันมาบอกเย่หยวนที่ยืนอยู่ข้างๆ “ไอ้เด็กคนเมื่อกี้มันไม่ได้อ่อนแอเลยแท้ๆ ทำไมมันถึงได้เสียท่าง่ายดายขนาดนั้น?”
เย่หยวนบอก “สิ่งที่เจ้ายอดกลองจรัสนี้ทดสอบหาใช่พละกำลังไม่ แต่เป็นการทดสอบความรู้ต่อเต๋าที่เรามี การใช้กำลังมีแต่จะส่งผลต่อกันข้าม ยิ่งใช้แรงมากเท่าไหร่มันก็จะยิ่งได้รับแรงสะท้อนกลับมากเท่านั้น แค่นี้ยังนับว่าเบาแล้ว หากท่านขึ้นไปร่างของท่านคงแตกสลายเป็นจุลแน่”
ฮันยองแทบสำลักเมื่อได้ยิน “ข้าไม่โง่อย่างมันหรอกน่า”
เย่หยวนหันไปมองฮันยองอีกครั้ง “เรื่องการผ่านของท่านมันย่อมไม่มีปัญหา แต่มันคงเป็นไปไม่ได้ที่ท่านจะชนะเจ่าเจา”
คำพูดนั้นทำให้ฮันยองหน้าเปลี่ยนสีไปทันทีด้วยความไม่พอใจ
นิกายเมฆาสายฟ้าและนิกายคชสารมารของพวกเขาทั้งสองนั้นเป็นศัตรูกันมาแต่ไหนแต่ไร ฮันยองและเจ่าเจานั้นนับว่าเป็นคู่ปรับกันมานาน
เพียงแต่ว่าไม่ว่าฮันยองจะพยายามมากแค่ไหน เขาก็ไม่เคยจะเอาชนะเจ่าเจาได้สักครั้ง
เรื่องนี้มันเป็นปมในใจเขามานาน
“เย่หยวน เวลาต่อยคนอย่าต่อยหน้า เวลาด่าว่าอย่าสะกิดปม เจ้าพูดอย่างนี้มันทำเอาข้าเจ็บใจขึ้นมาเลยนะ!” ฮันยองบอกด้วยท่าทางหมองๆ
เย่หยวนยิ้มตอบ “ข้าจะสอนวิธีที่ทำให้ท่านชนะเจ่าเจาได้เอาไหม?”
ฮันยองเบิกตากว้างทันที “จริงเรอะ? เจ้าอย่าได้มาหลอกข้านะ ไม่เช่นนั้นข้าไม่นับเจ้าเป็นพี่น้องด้วยแล้วนะ”
เย่หยวนยิ้มไป “จะหลอกเพื่อ? เรื่องแค่นี้มันง่ายเหมือนพลิกฝ่ามือเท่านั้นแหละ”
เมื่อคำพูดเหล่านั้นถูกกล่าวออกมา ตอนนี้มิใช่แค่ฮันยอง แต่แม้แต่หยางฝานก็เดินเข้ามาหาเย่หยวนด้วยท่าทางสงสัย
คนทั้งสองนั้นไม่ได้รู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นกับเย่หยวนในเทือกเขาเงาจันทร์ เพราะฉะนั้นพวกเขาย่อมไม่มีทางรู้ถึงฝีมือที่แท้จริงของเย่หยวนไปได้
“เย่หยวน คำพูดพวกนั้นมันจะไม่เกินไปหน่อยหรือ? ต่อให้เจ้าจะได้ที่หนึ่งของรอบก่อนมาแต่การสอบกับยอดกลองจรัสของรอบสองนี้ต่อให้เป็นเจ้าที่ได้ที่หนึ่งมาก่อนมันก็คงไม่ง่ายนักหรอกนะ” หยางฝานบอก
คำพูดนั้นมันถูกกล่าวออกมาอย่างอ้อมๆ แต่เย่หยวนย่อมเข้าใจเนื้อความได้ทันทีว่าแค่ชนะรอบแรกมาได้เพราะดวง มันไม่นับว่าเป็นผู้ชนะอย่างแท้จริง
พลังฝีมือของเจ้ามีแค่ไหน เจ้าไม่รู้อยู่แก่ใจหรือ?
มาอวดอ้างตัวเองตรงนี้ทำไมเจ้าไม่ลองตักน้ำใส่กะโหลกชะโงกดูเงาตัวบ้าง?
เย่หยวนไม่คิดที่จะปฏิเสธ แต่หันไปบอกฮันยองด้วยรอยยิ้มแทน “หากท่านเชื่อข้าก็จะบอก หากท่านไม่เชื่อก็ช่างมัน นับว่าข้าไม่ได้พูดอะไรแล้วกัน”
ฮันยองสะท้านขึ้นมาในทันที เพราะให้พูดตรงๆ เขาเองก็ไม่ค่อยเชื่อเย่หยวนนัก
แต่การเอาชนะเจ่าเจานั้นเป็นความฝันที่เขามีมาตลอดชีวิต
จู่ๆ เขาก็ยิ้มขึ้นมาและบอก “น้องข้าบอกมาเถอะ ข้าเชื่อเจ้า!”
เย่หยวนพยักหน้ารับและกระซิบบอกวิธีการแก่ฮันยองไป
เมื่อฮันยองได้ยินเขาก็แสดงท่าทางสุดสงสัยออกมาในทันที “ง่ายเช่นนั้น? มันจะได้ผลหรือ?”
เย่หยวนพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “คนที่คิดว่ายากไม่รู้ คนที่รู้คิดว่าไม่ยาก การทดสอบรอบนี้มันไม่ได้ยากเย็นอย่างที่ท่านคิดหรอก”
ฮันยองแสดงสีหน้าท่าทางแปลกๆ ออกมาและนั่งคิดอยู่กับตัวเองไปนาน
ระหว่างนั้นการทดสอบก็ดำเนินต่อไปเรื่อยๆ อย่างราบรื่น
แต่จนถึงตอนนี้ ยังไม่มีใครที่สามารถผ่านการสอบได้เลย
คนบางคนถึงขั้นไม่กล้าที่จะขึ้นไปรับการทดสอบเพราะภาพบาดแผลอันน่ากลัวของผู้เข้าสอบคนก่อนๆ
ตุบ!
ในที่สุดหลังผ่านไปได้กว่าสี่สิบคน ในที่สุดก็เกิดเสียงยอดกลองจรัสดังขึ้นมาได้
เพียงแค่ว่าเสียงนี้มันแสนแผ่วเบาราวยุงบิน จะนับว่ามันสร้างเสียงได้หรือไม่นั้นก็บอกยาก
“ติงหยวนระดับศูนย์! ผ่านการทดสอบ!” ตอนนั้นเองผู้ดูแลหงก็ประกาศออกมา
ดูท่าผู้ดูแลหงคงจะตัดสินระดับของผู้ที่ผ่านการทดสอบไปด้วยธงน้อยผืนนั้น
ระดับศูนย์นั้นเรียกได้ว่าแทบไร้ตัวตน
แต่แค่การได้ผ่านเข้าไป มันก็ไม่ได้ง่ายแล้ว
เมื่อการสอบมาจนถึงคนลำดับหลังๆ คนที่สามารถผ่านได้มันก็ยิ่งมีจำนวนมากขึ้นและมากขึ้น แต่ส่วนมากก็ยังอยู่ในระดับศูนย์และระดับหนึ่ง
จนมาถึงคนที่หนึ่งร้อย ที่ในที่สุดก็มีคนผ่านด้วยระดับสอง
…………………………