ตึง!
เสียงกล้องสั่นสะท้านฟ้าดังขึ้นทั่วจนทำให้ผู้คนที่อยู่ใกล้ๆ มันต้องแก้วหูสั่น
ทุกคนที่ยังหัวเราะกันอยู่เมื่อวินาทีที่แล้วกลับหน้าถอดสีไปทันทีที่ได้ยินเสียงกลองนี้
เพราะหากไม่ใช่คนที่โง่ไร้สมองจริงๆ พวกเขาย่อมฟังออกว่านี่คือเสียงกลองที่ดังที่สุดแล้วตั้งแต่เริ่มทดสอบมา!
ทุกคนได้แต่ยืนนิ่งอย่างที่ไม่มีใครคาดคิดว่าตดของฮันยองจะสามารถทำให้ยอดกลองจรัสดังสนั่นขึ้นมาได้ขนาดนี้
“อะ!”
ฮันยองร้องและไม่อาจจะทนยืนต่อไปได้จนร่วงหล่นลงมาจากอากาศ
แต่เขานั้นไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดใดๆ ค่อยๆ ลุกขึ้นยืนด้วยใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความตื่นเต้นอย่างถึงที่สุด
เขาวิ่งเข้ามาหาเย่หยวนด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “มันได้ผลจริง! เจ้าไม่ได้หลอกข้าจริงๆ ด้วย!”
เย่หยวนตอบกลับไปด้วยท่าทางไม่ค่อยพอใจนัก “ที่แท้ท่านก็ยังคิดว่าข้าหลอกจนวินาทีสุดท้าย!”
ฮันยองแทบสำลักเมื่อได้ยินก่อนจะกล่าวแก้ตัวขึ้นด้วยท่าทางเก้ๆ กังๆ “ข้าไม่ได้หมายความว่าแบบนั้น”
“หึๆ จะสงสัยก็ไม่แปลกหรอก เพราะยังไงเสียวิธีที่ข้าบอกไปมันก็เหนือล้ำกว่าจินตนาการ” เย่หยวนยิ้มรับ
ที่ด้านข้างหยางฝานนั้นตกตะลึงจนพูดอะไรไม่ออก ตอนนี้ดวงตาที่เขามองดูเย่หยวนตรงหน้านั้นแทบจะหลุดออกมาจากเบ้า
การชี้นำของเด็กคนนี้มันได้ผล!
ผู้ดูแลหงที่เห็นภาพนี้เองก็มองดูอย่างมึนงงไม่แพ้กัน นี่เป็นครั้งแรกเลยที่เขาได้เห็นคนใช้วิธีแสนบ้าบออย่างนี้ในการผ่านการทดสอบ
“ฮันยอง ระดับห้า! ผ่านการทดสอบ!”
คำพูดชุดนี้มันเหมือนค้อนใหญ่ทุบลงกลางหัวเจ่าเจา
เขาได้แต่กัดฟันแน่นตอบสวนกลับไป “ผู้ดูแลหง ข้า… ข้าไม่ยอมรับ! คนเราจะผ่านการทดสอบด้วยวิธีการเช่นนั้นได้อย่างไร?”
ผู้ดูแลหงหันมามองดู “เจ้าสงสัยในคำตัดสินของเฒ่าคนนี้?”
เจ่าเจาสะดุ้งตกใจทันที แต่เขาก็ยังเลือกที่จะหาข้ออ้างขึ้นมาปกป้องตัวเองเพิ่ม “ผู้ดูแลหง หากปล่อยให้มันตดผ่านเช้านี้วันหน้านิกายเงาจันทร์เราจะไม่กลายเป็นที่หัวเราะของผู้คนไปทั่วหล้าหรือ?”
ผู้ดูแลหงขมวดคิ้วแน่น “ผ่านก็คือผ่าน ยอดกลองจรัสไม่หลอกลวงผู้คน! ยังบ่นมากความอีกข้านี่แหละจะถอนเจ้าทิ้งจากรายชื่อให้!”
เจ่าเจาหน้าถอดสีทันที มีหรือที่ได้ยินขนาดนั้นแล้วเขายังจะกล้าว่าอะไรต่อ
ฮันยองพูดขึ้นด้วยท่าทางแสนภูมิใจ “เจ่าเจา เมื่อกี้ยังมั่นใจสุดเปี่ยมอยู่เลยนี่? ไหนว่าข้าจะก้าวข้ามเจ้าไปไม่ได้ไง? หึๆ เอาล่ะ ยอมแพ้เสีย!”
เจ่าเจาทำหน้าดำคร่ำเครียดออกมาทันที เขากัดฟันตอบมา “เจ้าตีกลองด้วยวิธีสุดทุเรศ ยังจะมีหน้ามากล่าวถึงการท้าทายใดอีก?”
ฮันยองเดาคำตอบนี้มาก่อนหน้าและกล่าวขึ้นมาด้วยท่าทางเย้ยหยัน “สิ่งที่แม้แต่ผู้ดูแลหงยังยอมรับมิใช่หน้าที่ของเจ้ามาตัดสิน! ข้าจะผ่านการทดสอบหรือไม่ธงผืนน้อยนั้นย่อมบอกได้ดีที่สุด! แล้วตอนนี้เจ้าคิดจะมากลับคำพูดอย่างนั้นหรือ?”
เจ่าเจารู้สึกว่าตัวเองถูกต้อนจนมุมทันที
คนรอบๆ เองก็หันหน้ามามองเจ่าเจาเป็นตาเดียวด้วยความดูถูกเหยียดหยาม
ตอนที่คนทั้งสองท้าทายกัน ผู้คนมากมายได้ยินมัน
ตอนนี้เจ่าเจากลับเลือกจะกลับคำเสียอย่างนั้น
เจ่าเจากัดฟันแน่น “ข้ากลับคำไง เจ้าจะทำอะไรข้าได้?”
แต่ฮันยองกลับยิ้มออกมากว้างกว่าเก่า “ข้าทำอะไรเจ้าได้? หึๆ ดูเถอะทุกคน นี่แหละคนจากนิกายคชสารมารพูดอะไรไม่มีหลักแน่นอน ไม่มีปัญญาพอท้าข้าแต่กลับมาท้าทาย ตอนนี้แพ้แล้วกลับไม่ยอมรับความพ่ายแพ้! ช่างเป็นเรื่องน่าขันเสียจริงๆ!”
“เจ่าเจาคนนี้ ไม่นึกเลยว่าจะหน้าไม่อายขนาดนี้!”
“นิกายคชสารมารเสียหน้าเพราะมันคนเดียว”
“หึ แพ้แล้วไม่ยอมแพ้ วันหน้าใครจะไปอยากอยู่ด้วยคนอย่างนี้?”
…
คำพูดเดียวของฮันยองทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังขึ้นทันที
เจ่าเจานั้นทำหน้าตาออกมาไม่ถูก ตอนนี้เขารู้สึกเหมือนตัวเองได้ขึ้นมาขี่หลังเสือที่กำลังวิ่งลงเหว เพราะไม่ว่าจะอยู่หรือไป จะยอมหรือหรือปฏิเสธ สุดท้ายนิกายก็ต้องเสียหน้าเพราะเขาอยู่ดี
ระหว่างที่เขากำลังทำอะไรไม่ถูกอยู่นั้นก็มีเงาร่างหนึ่งพุ่งมาถึงตัวเขา
เพียะ!
เสียงตบหน้าเจ่าเจาดังสนั่นไปทั่วบริเวณ
ซ่งถิงมองดูเจ่าเจาด้วยใบหน้าแสนผิดหวังและกล่าวออกมาอย่างโกรธเคือง “เจ้าโง่ บ้าไปแล้วเรอะ? ถึงได้ไปรับคำท้าโง่ๆ เช่นนี้!”
เจ่าเจานั้นเศร้าโศกอยู่เต็มหัวใจ แต่ใครจะไปรู้ได้ว่าฮันยองจะใช้ตดเอาชนะเขาได้?
“ข้า…”
เจ่าเจานั้นกำลังจะพูดปกป้องตัวเองขึ้นแต่ซ่งถิงกลับกล่าวขึ้นก่อน “เจ้ารู้อะไรไหม? จากนี้ไปเจ้ามิใช่คนของนิกายคชสารมารอีกต่อไปแล้ว!”
เจ่าเจาหน้าซีดเผือดลงทันทีก่อนจะกล่าวขึ้นอย่างตระหนก “นี่มัน… ท่านจะทำอย่างนั้นได้อย่างไร?”
หากถูกไล่ออกจากกลุ่มอำนาจนิกายคชสารมารแล้ว เขาย่อมไม่มีทางหาใครมาคุ้มกะลาหัวในนิกายเงาจันทร์ได้ในวันหน้า
ในนิกายนั้นมันเต็มเปี่ยมไปด้วยยอดอัจฉริยะมากมาย การที่คนอยากเขาจะลืมตาอ้าปากเองได้นั้นมันเป็นเรื่องแสนยาก
ซ่งถิงนั้นพ่นลมออกมาแรง “เช่นนั้นแล้วเจ้ามีวิธีแก้ไขเรื่องนี้?”
เจ่าเจาแทบสำลักเมื่อได้ยิน ดูท่าตอนนี้วิธีนี้มันคงเป็นการดีที่สุดที่จะแก้ไขปัญหาตรงหน้า
เจ่าเจานั้นหน้าซีดเผือด เขาได้รู้ตัวแล้วว่าอนาคตของเขาคงไม่สดใสอีกต่อไปแล้ว
และคนร้ายก็คือการท้าทายนั้น!
การท้าทายที่ตอนแรกดูยังไงก็ชนะ แต่สุดท้ายกลับเป็นเขาที่แพ้!
ฮันยองมองดูเรื่องนี้อยู่ไกลๆ ด้วยใบหน้าแสนสุข
หลายต่อหลายปีเจ่าเจาเอาแต่กดขี่เขามาตลอด ทำให้เขาแทบไม่ได้มีโอกาสพักหายใจ
ไม่นึกไม่ฝันว่าแค่โอกาสเอาคืนครั้งเดียวนี้มันจะกลบฝังฝ่ายตรงข้ามได้จนมิดหัว
เมื่อไม่มีการสนับสนุนจากนิกายคชสารมารแล้ว สามพี่น้องเจ่ามันก็คงต้องเจอชะตากรรมที่ยากลำบากแน่
เหมือนอย่างที่เจียงเชอเหยียนบอกเย่หยวนไว้ ขนาดคนเก่งกาจอย่างเย่หยวนยังหาที่อยู่ในนิกายยาก คนธรรมดาๆ อย่างเจ่าเจาย่อมไม่มีทางทำอะไรได้
ตอนนั้นเองที่ฮันยองรู้สึกเหมือนได้ยกเขาออกจากอก ดวงตาที่เขามองดูเย่หยวนนั้นเปี่ยมไปด้วยคำขอบคุณ
จริงๆ แล้วสิ่งที่เย่หยวนสอนเขานั้นมันง่ายดายมาก มันคือการให้เขาโคจรพลังโลกในร่างไปเรื่อยๆ และจมมันลงยังจุดตันเถียน
เมื่อมันเก็บรวมไว้จนถึงขีดจำกัดก็ให้ปล่อยมันออกมาในคราเดียว
แม้ว่าฮันยองจะไม่เข้าใจว่าทำไม แต่สุดท้ายเขาก็ทำตาม
เรื่องที่เขาเคยสงสัยวิธีการนี้ของเย่หยวนนั้น เขาอับอายในหัวใจอย่างมาก
เย่หยวนแค่คิดจะช่วยเขาเอาคืนเจ่าเจา แต่เขากลับไปสงสัยความคิดของเย่หยวนแทน
หยางฝานเปิดปากบอกต่อเย่หยวน “เย่หยวนข้าต้องขออภัย!”
เย่หยวนหันมามองเขาด้วยรอยยิ้ม “ท่านเป็นห่วงพี่น้องท่านจึงได้ว่ากล่าวเช่นนั้นออกมา มีหรือที่ข้าจะยังแยกความดีความชั่วออกจากกันไม่ได้อีก? ไม่ต้องขอโทษใดๆ หรอก”
หยางฝานมองดูเย่หยวนด้วยความตื่นตะลึง
เด็กคนนี้ช่างมีจิตใจแยกแยะผิดถูกอย่างชัดเจน!
“เย่หยวน ข้าเห็นว่าตอนที่เจ่าเจามันมาพูดกับเจ้าเมื่อสักครู่นี้มันดูกลัวๆ เจ้าหรือไม่?”
หยางฝานนั้นรู้สึกแปลกๆ เพราะตอนที่เจ่าเจาเห็นเย่หยวนเขากลับทำหน้าเหยเกออกมาในเสี้ยววินาทีหนึ่ง ราวกับว่าเย่หยวนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดมาจากที่ไหน
ความรู้สึกนี้มันจึงยิ่งทำให้เขารู้สึกผิดปกติ
ต่อให้เย่หยวนจะบรรลุมาได้ เจ่าเจาก็ไม่น่าจะต้องกลัวถึงขั้นนั้นใช่ไหม?
“ไอหมอนั่นมันถูกข้าและแม่นางไป่หลี่สั่งสอนตอนอยู่ในเขาเงาจันทร์น่ะ คงเป็นเพราะเรื่องนั้น” เย่หยวนตอบกลับมา
หยางฝานยอมรับมันได้ในทันที แต่คำพูดนี้ของเย่หยวนมันกลับยิ่งทำให้เขามึนงงอีกเรื่องหนักเข้าไปใหญ่
หรือว่าแท้จริงแล้วสายสัมพันธ์ระหว่างเย่หยวนและไป่หลี่ชิงหยานมันจะมีอะไรมากกว่าที่เห็น?
การทดสอบดำเนินต่อไป จนตอนนี้ผู้ที่เหลืออยู่นั้นมีแต่ยอดฝีมือระดับแนวหน้า หลายคนได้ถึงระดับสาม บ้างถึงระดับสี่
เพียงแค่ว่ามันยังไม่มีใครไปถึงระดับห้า
จนถึงตาของต้วนชิงหงที่เขาสามารถลั่นกลองระดับห้าออกมาได้ในที่สุด
จงฮันหลินและต้วนชิงหงนั้นฝีมือเทียบเท่ากัน ทำให้เขาเองก็สามารถลั่นกลองระดับห้าได้
เรื่องนี้มันก็เท่ากับว่าฮันยองอยู่ในอันดับสามของการทดสอบนี้แล้ว เรื่องนี้มันเป็นสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิดมาก่อน
“ต่อไป เย่หยวน!”
ตอนนี้เป็นตาของเย่หยวนบ้างแล้ว แต่เขากลับไม่คิดขยับตัวและหันไปบอกผู้ดูแลหงพร้อมยกมือคารวะ “ผู้ดูแลหง ศิษย์ขอทำการทดสอบเป็นคนสุดท้ายจะได้หรือไม่?”
…………………………