ที่ด้านนอกยอดเพลิงเมฆาตอนนี้มีสามเงาร่างกำลังยืนมองดูอยู่
คนที่เดินนำหน้ามานั้นใส่ชุดสีฟ้าครามเปี่ยมไปคลื่นพลังสุดแข็งแกร่ง เขานั้นเป็นถึงยอดฝีมือนภาสวรรค์
หากเย่หยวนอยู่ตรงนี้เขาคงบอกได้ทันทีว่านี่คือเชียนเย่
และคนทั้งสองที่ด้านหลังนั้นหนึ่งคือจงฮันหลินที่เพิ่งเข้านิกายมาได้ไม่นาน ส่วนอีกคนนั้นคือศิษย์ที่จัดการส่งเย่หยวนเข้ามาเปิดถ้ำหลวงในยอดเพลิงเมฆาแห่งนี้
“หวังเฉียน ครั้งนี้เจ้าทำได้ดีมาก จากวันนี้ไปเจ้าเป็นผู้ติดตามชั้นนอกของนิกายบุปผาเหินเราแล้ว เอาโอสถนี่ไปเป็นรางวัลของเจ้า”
เชียนเย่โยนเม็ดโอสถออกมาด้วยท่าทางสุดหยิ่งผยอง
แต่ว่าทางหวังเฉียนนั้นไม่ได้ใส่ใจเลยแม้แต่น้อย ตอนนี้ภายในใจของเขากลับตื่นเต้นดีใจอย่างมาก
“ขอบพระคุณศิษย์พี่เชียนเย่! ในวันหน้าหากศิษย์พี่เชียนเย่มีเรื่องราวใดต้องการให้ข้ารับใช้ขอให้บอกหวังเฉียนผู้นี้มาได้เลย หวังเฉียนผู้นี้พร้อมที่จะทำการอันตรายทุกสิ่งอย่างเพื่อหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย!”
เชียนเย่ได้ยินเช่นนั้นจึงตอบกลับมา “เจ้าแน่ใจนะว่ามันเข้าไปในยอดเพลิงเมฆาแล้ว?”
หวังเฉียนตอบ “ศิษย์พี่ท่านโปรดวางใจ วันนั้นข้าเฝ้ามองดูพวกมันจนมันเดินเข้าไปในยอดเพลิงเมฆากับตา”
เชียนเย่ตอบกลับไป “พลังวิญญาณบนยอดเพลิงเมฆานี้มันช่างเบาบาง ที่สำคัญมันยังเป็นถิ่นของสัตว์อสูรระดับห้าด้วย ไอ้เด็กคนนั้นมันมั่นใจในตัวเองมากถึงยอมทำตามมาง่ายๆ คิดว่าการมายังที่แห่งนี้จะช่วยฝึกฝนตัวเองได้ แต่หากมันไปเจอสัตว์อสูรระดับห้าเข้ามันย่อมไม่มีทางรอดชีวิต ไปดูมันหน่อยแล้วกัน”
เชียนเย่นั้นมั่นใจในพลังฝีมือของตัวเองมาก ต่อให้เขาจะเจอเข้ากับสัตว์อสูรระดับห้าเขาก็มั่นใจว่าตัวเองจะสามารถถอยหนีกลับมาได้อย่างปลอดภัย
เวลานั้นเองก็มีอีกหลายเงาร่างรีบมุ่งหน้ามายังจุดหมายเดียวกันนี้
ผู้ที่กำลังมานั้นแบ่งได้เป็นสามกลุ่ม พวกเขามุ่งหน้ามาพร้อมๆ กันราวกับว่าได้นัดกันมาก่อนล่วงหน้าแล้วว่าจะมายังยอดเพลิงเมฆาแห่งนี้ด้วยกัน
เชียนเย่ขมวดคิ้วแน่นก่อนจะพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มชั่วร้าย “พวกเจ้านี่มันชุบมือเปิบเก่งกันจริงๆ!”
ชายชุดขาวข้างๆ ต้วนชิงหงพูดขึ้น “หึ เชียนเย่ เจ้าต่างหากที่เร็วกว่าใครเพื่อน”
ชายคนนี้เองก็มีคลื่นพลังที่ไม่ได้อ่อนแอไปกว่าเชียนเย่เลย หมายความว่าเขาเองก็เป็นยอดฝีมืออาณาจักรนภาสวรรค์
แน่นอนว่าพวกเขานั้นเป็นคนจากนิกายดาบเมฆา
อีกสองกลุ่มคนนั้นหนึ่งคือเจียงเชอเหยียนจากนิกายเหย้าอมตะ ส่วนอีกด้านเป็นคนจากนิกายคชสารมาร แน่นอนว่ามันคงไม่มีใครนำมาได้นอกจากซ่งถิง
“หึ เจ้าว่าเช่นนั้นมันก็ไม่ถูก การสังหารชีวิตน้อยๆ ของเย่หยวนมันไม่ได้ยากเย็นใดๆ เจ้าเองก็เคยคิดสังหารมันด้วยเล่ห์กลเล็กๆ น้อยๆ เช่นกันนี่?” เจียงเชอเหยียนบอกขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม
เชียนเย่กล่าวสวนกลับมาด้วยท่าทางเย้ยหยัน “ตอนที่เราเจอกันในเทือกเขาเงาจันทร์ เจ้ามาอวดอ้างตัวและคิดจะหยุดข้าให้ได้ ตอนนี้กลับกลายเป็นเจ้าเองที่คิดสังหารมัน”
เจียงเชอเหยียนยิ้มตอบ “เวลามันเปลี่ยนไปแล้ว ตอนนั้นเจ้าคิดจะลงมือต่อไป่หลี่นี่!”
เชียนเย่หันไปมองด้วยหางตา “เลิกไร้สาระสักที! ไหนๆ ทุกคนก็มาด้วยกันแล้วทำไมเราไม่เข้าไปในยอดเพลิงเมฆาพร้อมๆ กันเลยล่ะ ข้าเชื่อว่าด้วยพลังฝีมือของพวกเราแล้วการเข้าไปสำรวจดูครั้งนี้มันคงมิใช่ปัญหาใดๆ”
เมื่อทุกคนได้ยินดังนั้น พวกเขาทั้งหลายก็พยักหน้าออกมาพร้อมๆ กัน
เมื่อศิษย์ระดับนภาสวรรค์หลายต่อหลายคนลงมือพร้อมกันเช่นนี้ ต่อให้อีกฝ่ายจะเป็นสัตว์อสูรระดับห้ามันก็ไม่ใช่เรื่องยากเย็นเกินจัดการ
กลุ่มคนนี้เดินขึ้นไปบนยอดเพลิงเมฆาและเริ่มตามหาร่องรอยของพวกเย่หยวนทั้งสองคน
รอยที่เย่หยวนทิ้งไว้นั้นมันแสนชัดเจน บนภูเขานั้นมีหลายจุดที่เกิดร่องรอยการต่อสู้ขึ้นเพราะฉะนั้นการตามหามันจึงไม่ยากเลย
เชียนเย่และพวกไม่ได้ใช้เวลานานมากนักก่อนจะมาพบศพของสัตว์อสูรถูกฟาดฟันกระจัดกระจาย
เมื่อพวกเขาได้เห็นศพของสัตว์อสูรระดับสี่ขั้นปลายทั้งสามตัวนี้ สีหน้าของพวกเขาก็เริ่มซีดลงอย่างทันตาเห็น
“ไอ้เด็กคนนี้มันช่างมีพลังฝีมือที่เหนือล้ำ! แค่ราชันพระเจ้าหกดาวกลับสามารถสังหารสัตว์อสูรระดับสี่ขั้นปลายได้! ที่สำคัญดูแล้วการต่อสู้ไม่น่าจะกินเวลานานมากด้วย!” เชียนเย่บอก
แต่เขียงเชอเหยียนกลับตอบขึ้น “มันแปลกอะไร? เจ้าคิดว่ามันได้รับอันดับหนึ่งในการสอบเข้ามาได้อย่างไร? เพราะอย่างนั้นแหละมันถึงต้องตาย!”
ทุกคนพยักหน้าออกมาเมื่อได้ยิน การปรากฏตัวของยอดอัจฉริยะขนาดนี้มันย่อมจะทำให้อำนาจของสามนิกายใหญ่สั่นคลอน
เรื่องราวแบบนั้นมันพวกเขาไม่มีทางปล่อยให้เกิดขึ้น
การที่เย่หยวนถูกส่งไปยังยอดผู้กล้าสวรรค์นั้นสามนิกายใหญ่ย่อมมีส่วนเกี่ยวข้องทั้งสิ้น
ไม่เช่นนั้นด้วยพลังฝีมือที่เย่หยวนแสดงออกมา ต่อให้เขาไม่มีพลังอำนาจใหญ่ใดๆ หนุนหลังเขาก็ไม่น่าจะตกต่ำจนถูกโดยนมายังยอดผู้กล้าสวรรค์นี้
ศิษย์ระดับนภาสวรรค์ของนิกายดาบเมฆา อี้ชิงเซียงบอกขึ้นมาด้วยรอยยิ้มที่แสนเย็นเยือก “พลังงานวิญญาณตรงหน้ามันหนาแน่นขึ้นเรื่อยๆ ดูท่าที่นั่นคงเป็นที่ๆ มันเลือกจะเปิดถ้ำหลวงขึ้น แต่พื้นที่แถบนี้เองมันก็ใกล้กับเขตแดนของสัตว์อสูรระดับห้าแล้วใช่ไหม?”
ได้ยินคำพูดนั้นของอี้ชิงเซียงทุกคนก็ยิ้มออกมาพร้อมๆ กัน
ต่อให้เย่หยวนจะเก่งกาจขนาดไหน เมื่อต้องไปเจอกับสัตว์อสูรระดับห้ามันก็ย่อมเท่ากับความตายอยู่ดี
ทุกคนตามรอยเท้าของเย่หยวนมาจนใกล้ถึงตาล่มวิญญาณบ่มเพาะปิดกั้นมาขึ้นเรื่อยๆ
“ยอดเพลิงเมฆานี้มันช่างเป็นดินแดนรกร้างห่างไกล! ที่ๆ มีพลังวิญญาณหนาแน่นที่สุดกลับไม่อาจจะเทียบเท่าถ้ำหลวงระดับสามได้ด้วยซ้ำ”
เมื่อสัมผัสได้ถึงพลังวิญญาณรอบๆ เชียนเย่ก็บอกขึ้นมาด้วยสีหน้าท่าทางเหนื่อยหน่าย
คนอื่นๆ เองก็แสดงท่าทางเห็นด้วยออกมาอย่างถึงที่สุด
ถ้ำหลวงที่พวกเขาได้ทำการบ่มเพาะนั้นคือถ้ำบนตาล่มวิญญาณระดับสูงทั้งสิ้น เมื่อมาเห็นสภาพของยอดเพลิงเมฆาที่แห้งเหือดนี้พวกเขาย่อมดูถูกเหยียดหยามมัน
เดิมทียอดผู้กล้าสวรรค์นั้นก็เป็นยอดที่มีพลังวิญญาณเหือดแห้งที่สุดอยู่แล้ว ยอดเพลิงเมฆานี้เองก็เป็นยอดที่อยู่ในระยะไม่ไกลจากยอดผู้กล้าสวรรค์นัก พลังวิญญาณของยอดเขาในที่แบบนี้มันย่อมไม่มีทางจะหนาแน่นไปได้
“โฮ่ก!”
“โฮ่ก!”
“โฮ่ก!”
จู่ๆ ก็เกิดเสียงสัตว์คำรามขึ้น
คลื่นพลังอันรุนแรงมหาศาลนั้นพุ่งพวยออกมาจากรอบทิศ
เมื่อเหล่าศิษย์ได้ยินพวกเขาก็รีบเข้ามารวมกลุ่มกันในทันที
คลื่นพลังของสัตว์อสูรที่กำลังมาล้อมพวกเขาอยู่นั้นมันแสนทรงพลัง ในหมู่พวกมันนั้นมีสัตว์อสูรที่ถึงระดับห้าอยู่หลายตัว
“ไม่ดีแล้ว! ทำไมจู่ๆ จึงมีสัตว์อสูรมากมายขนาดนี้ปรากฏขึ้น? รีบหนีเร็ว! ที่แบบนี้เราอยู่ต่อไม่ได้แน่!” เจียงเชอเหยียนบอกด้วยใบหน้าซีดเผือด
แต่ว่านางยังพูดไม่ทันขาดคำก็มีเงาร่างของสัตว์อสูรสามตัวพุ่งออกมาจากป่าทึบทั้งสามด้าน ล้อมรอบกลุ่มคนไว้ตรงกลางอย่างพอเหมาะพอดี
“หมีเมฆาแล้งบรรพกาล! กวางอสูรทองสายรุ้ง! หมูป่ามังกรสายฟ้า!”
เมื่อเชียนเย่ได้เห็นสัตว์อสูรทั้งสามเขาก็กลับจนขาแทบสั่น
แม้ว่าสัตว์อสูรพวกนี้มันจะยังอยู่แค่ระดับห้าขั้นต้น แต่พลังของพวกมันนั้นก็เหนือกว่านภาสวรรค์หนึ่งดาวอย่างพวกเขาแน่นอน
หากพวกมันมาแค่ตัวเดียว พวกเขาอาจจะยังพอล้อมต่อสู้เอาชนะได้
แต่การที่มันทั้งสามตัวปรากฏขึ้นพร้อมกันนั้นมันเท่ากับความตาย!
สัตว์อสูรทั้งสามตัวนี้ย่อมเป็นสัตว์อสูรที่ยอมจำนนให้แก่เย่หยวนไปก่อนหน้า
เพราะสุดท้ายอย่างไรพวกมันก็ไม่อาจต้านทานความเย้ายวนของตาล่มวิญญาณบ่มเพาะปิดกั้นได้และเลือกที่จะยอมจำนนแก่เย่หยวน
เพราะอย่างไรเสียในยอดเพลิงเมฆานี้มันก็เป็นยอดเขาที่ขาดแคลนพลังวิญญาณอย่างมาก
“ไอ้พวกโง่เง่าตาบอด กล้ามาขัดจังหวะการบ่มเพาะของเฒ่าหมีนี้ สมควรตายเสีย!”
หมูป่ามังกรสายฟ้าตอบ “ไอ้หมีดำ จะไปพูดกับมันทำไมอีก? รีบๆ สังหารพวกมันเสียเถอะ”
กวางอสูรทองสายรุ้งพูดขึ้นบ้าง “สังหารมัน! เฒ่ากวางนี้ยังต้องเอาเวลาไปบ่มเพาะอีก!”
สัตว์อสูรทั้งสามนั้นไม่คิดจะพูดจาให้มากความ พวกมันพุ่งตัวเข้าโจมตีพวกเชียนเย่ในทันที
ในวินาทีนั้น คนทั้งหลายต่างต้องทนรับมือการโจมตีที่แสนดุร้ายของยอดสัตว์อสูรทั้งสามตัว
“ไอ้พวกนี้มันมีสติปัญญาแล้ว เราสู้ไม่ได้แน่! ตอนนี้ต้องรีบหนีก่อนแล้ว!” เจียงเชอเหยียนบอก
แล้วมีหรือที่พวกเขาจะยังกล้าทนรับมือต่อ? ตอนนี้พวกเขาทั้งหลายพยายามอย่างถึงที่สุดที่จะแหวกฝ่าวงล้อมกลับออกไป
แต่ว่ามีหรือที่สัตว์อสูรทั้งสามจะปล่อยไปง่ายๆ? หากอยากหนีมันก็มิใช่เรื่องง่ายดายนัก
ระหว่างทางนั้นพวกเชียนเย่จึงต้องทนรับการต่อสู้อันขมขื่น
หวังเฉียนนั้นเป็นแค่ราชันพระเจ้าเก้าดาว เมื่อถูกพลังตะปบของหมีเมฆาแล้งบรรพกาลร่างกายของเขาจึงแหลกสลายอย่างไม่สามารถต่อกลับมาเป็นตัวคนได้
น่าเสียดายที่เขาเพิ่งจะได้เป็นผู้ติดตามนิกายบุปผาเหินไปไม่ถึงครึ่งวัน แต่กลับต้องมาตายลง จิตวิญญาณเต๋าแหลกสลายไม่มีชิ้นดี
กลุ่มคนยังคงถอยต่อไปพร้อมๆ กับป้องกันตัวจากการโจมตีที่แสนรุนแรง ในหัวของพวกเขาคิดแค่ว่าจะต้องออกไปจากยอดเพลิงเมฆานี้ให้ได้
ถึงเวลานั้นไม่ว่าสัตว์อสูรพวกนี้มันจะแข็งแกร่งปานใด มันก็คงไม่กล้าจะตามติดพวกเขาออกไปถึงโลกภายนอกแน่
…………………………