ด้านในถ้ำหลวงนั้นมันราวกับว่าไม่มีวันเวลา เวลาสองร้อยปีผ่านไปได้ในพริบตา
ที่ยอดเพลิงเมฆา จนทุกวันนี้มันก็ยังคงเป็นสถานที่รกร้าง
แต่ในวันนี้มันกลับมีหลายเงาร่างกำลังเดินขึ้นมาบนยอดเขานี้
หนึ่งในคนที่มานั้นมองดูรอบๆ ด้วยความหวาดกลัวและกังวล “ข้าได้ยินว่าที่ยอดเพลิงเมฆานี้มีสัตว์อสูรระดับห้าอยู่หลายตัว หวังว่าเราจะไม่ไปเจอมันเข้านะ!”
คนที่นำหน้าหันกลับมาบอก “จะกลัวอะไร? ยอดเพลิงเมฆามันแสนกว้างใหญ่ สัตว์อสูรระดับห้าเองก็มีแค่ไม่กี่ตัวหรอก มีหรือที่เราจะบังเอิญไปเจอมันเข้า? วันนี้ขอแค่เราหาหญ้าหางชาดเจอเราก็ย่อมสามารถทำภารกิจที่นิกายให้มาให้ลุล่วงได้!”
อีกคนหนึ่งบ่นตามออกมา “บ้าจริงๆ! ทำไมเจ้าหญ้าหางชาดมันต้องมาขึ้นบนยอดเพลิงเมฆานี้ด้วยนะ? ยอดเพลิงเมฆานี้มันอันตรายมากกว่าสถานที่ใดๆ ในเทือกเขาเงาจันทร์เลยนะ!”
จู่ๆ ดวงตาของคนผู้หนึ่งในกลุ่มก็เบิกกว้างพร้อมร้องออกมา “หญ้าหางชาด!”
นั่นทำให้ทุกผู้คนหันไปมองตามและพบว่ามีหญ้าสมุนไพรนั้นขึ้นอยู่ไม่ไกล ตัวต้นมันมีสีแดงชาดพร้อมใบที่ยาวเหยียดออกมาราวกับเป็นหางของสัตว์
คนทั้งหลายนี้ต่างตื่นเต้นดีใจและวิ่งเข้าไปหามันทันที
แต่เวลานั้นเองมันกลับมีคลื่นพลังอันแสนรุนแรงที่ทำให้พวกเขาแทบหายใจไม่ออก
จากนั้นก็ปรากฏร่างของหมียักษ์ตัวหนึ่งขึ้นมาตรงหน้า
“หมีเมฆาแล้งบรรพกาล! ส-สัตว์อสูรระดับห้า! ม-มันจะไม่บังเอิญไปหน่อยหรือ?”
เมื่อคนที่นำหน้ามาเห็นร่างของหมีเฒ่าสีหน้าของเขาก็ซีดเผือดลงทันที ขาทั้งสองของเขาสั่นจนมิอาจควบคุมได้
เขานั้นเป็นถึงราชันพระเจ้าเก้าดาว แต่เมื่อต้องมาอยู่ตรงหน้าหมีตัวนี้พลังของเขานั้นมันกลับไม่มีค่าใดเลย
หมีเมฆาแล้งบรรพกาลมองดูกลับมาด้วยท่าทางโกรธเคืองแทบอยากสังหารพวกเขาลง “แมลงน้อยมารบกวนเวลาบ่มเพาะของเฒ่าหมีผู้นี้อีกแล้ว! พวกเจ้าสมควรตาย!”
พูดจบมันก็ตะปบฝ่าเท้าลงมา
ด้วยพลังกดดันอันมหาศาลนี้เหล่าศิษย์นิกายเงาจันทร์ทั้งหลายจึงไม่สามารถจะต้านทานใดๆ ได้เลย ตอนนี้พวกเขาทั้งหลายได้แต่หลับตารอให้ความตายมาเยือน
“หมีเฒ่า อย่าทำร้ายพวกเขา”
จู่ๆ ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นจากในป่าทำให้เจ้าหมีทำหน้าตาน้อยใจออกมาทันที แต่คลื่นพลังของมันกลับหดเล็กลงจนหายไปกับสายลม
เหล่าศิษย์ทั้งหลายนั้นได้แต่ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกด้วยความยินดีที่รอดพ้นภัย
“ศิษย์หลินฟ่านขอขอบคุณท่านผู้อาวุโสที่ช่วยชีวิตข้าน้อยไว้!”
ศิษย์ที่นำกลุ่มมาหันไปก้มหัวให้ทางต้นเสียง ทำให้ศิษย์คนอื่นๆ เองก็กล่าวตามออกมา
ในสายตาของหลินฟ่านแล้วการที่ใครจะสามารถหยุดเจ้าหมีเมฆาแล้งบรรพกาลได้ด้วยแค่คำพูด คนผู้นั้นอย่างน้อยๆ ก็ต้องเป็นถึงระดับผู้ดูแล
ไม่เช่นนั้นด้วยนิสัยอันดุร้ายของเจ้าสัตว์อสูร มีหรือที่มันจะยอมฟังใครง่ายๆ?
หมีเฒ่าตัวนั้นพูดขึ้นด้วยท่าทางไม่ค่อยพอใจ “ไอ้เด็กคนนี้ กว่าเจ้าจะออกมาจากการเก็บตัวได้!”
ในป่าทึบนั้นพวกเขาได้เห็นเงาร่างของชายหนุ่มคนหนึ่งเดินออกมา มันจะเป็นใครไปได้อีกนอกจากเย่หยวน?
เมื่อกลุ่มศิษย์เห็นเย่หยวนดวงตาของพวกเขาก็เบิกโพลงจนแทบถลนออกจากเบ้า
พวกเขาคิดไปเสียแล้วว่าอีกฝ่ายเป็นผู้อาวุโสยอดฝีมือมาจากที่ไหน นั่งคิดกันอยู่นานแต่สุดท้ายเขาเองกลับกลายเป็นแค่ศิษย์อาณาจักรราชันพระเจ้าอีกคนหนึ่งเหมือนๆ กับพวกเขาทั้งหลาย!
เว้นเสียแต่ว่าทำไมเจ้าสัตว์อสูรถึงได้ฟังคำสั่งจากเขา?
เย่หยวนมองดูที่เจ้าหมีเมฆาแล้งบรรพกาลด้วยรอยยิ้ม “หมีเฒ่า เจ้าไม่ต้องออกมาทำหน้าตาเหมือนไปโกรธไปแค้นใครมาจากชาติปางก่อนเช่นนั้นก็ได้ เวลาสองร้อยปีมานี้เจ้าเองก็พัฒนาตัวเองขึ้นไปมาก เรื่องทั้งหลายนั้นมิใช่เพราะข้าหรอกหรือ?”
เย่หยวนนั้นเข้าเก็บตัวนานถึงสองร้อยปี
ตาล่มวิญญาณบ่มเพาะปิดกั้นนั้นมันช่วยเสริมพลังวิญญาณให้เย่หยวนและทำให้เขาบรรลุดาวขึ้นมาติดๆ กันหลายดาว ในช่วงเวลาสองร้อยปีมานี้ในที่สุดเย่หยวนก็บรรลุขึ้นมาถึงอาณาจักรวายุพระเจ้าเก้าดาว
สัตว์อสูรทั้งสามเองก็ได้พัฒนาพลังฝีมือของพวกมันไปอย่างมหาศาลด้วยคลื่นพลังวิญญาณที่บ้าคลั่งนี้
ตอนนี้พลังของพวกมันแต่ละตัวนั้นเทียบเคียงได้กับมนุษย์นภาสวรรค์สองดาว
เมื่อเย่หยวนพูดเช่นนั้นขึ้นมา ทางเจ้าหมีเองก็ได้แต่ยิ้มๆ ตอบกลับไป “หึๆ เรื่องทั้งหลายก็เพราะเจ้าไง”
เย่หยวนตอบกลับไป “เข้าใจก็ดี!”
เมื่อเหล่าศิษย์ทั้งหลายได้ยินคำพูดของเย่หยวนและหมีเมฆาแล้งบรรพกาล พวกเขาทุกคนต่างก็แสดงสีหน้าตกตะลึงอย่างที่ไม่สามารถอธิบายได้ออกมา
ทำไมมนุษย์ถึงอยู่กับสัตว์อสูรได้อย่างสงบสุขขนาดนี้?
ที่สำคัญเย่หยวนยังเป็นแค่ราชันพระเจ้าเก้าดาวด้วย!
เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้ มันจึงทำให้พวกเขาเชื่อได้ว่าเย่หยวนอาศัยอยู่ในยอดเพลิงเมฆานี้
ไม่ใช่ว่ายอดเพลิงเมฆานี้มันเป็นสถานที่รกร้าง ทุกผู้คนที่คิดมาเปิดถ้ำหลวงตรงนี้ต้องตายกันหมดหรอกหรือ?
งั้น… ภาพตรงหน้านี้มันคืออะไรกัน?
เย่หยวนหันไปมองเห็นหญ้าหางชาดขึ้นอยู่ไม่ไกลจึงบอกออกมา “พวกเจ้ามาเพื่อหาหญ้าหางชาด?”
หลินฟ่านหายใจเข้าลึกก่อนจะตอบกลับไป “ใช่แล้ว ศิษย์น้องเจ้านั้น… หรือว่าที่นี่คือถ้ำหลวงของเจ้า?”
เย่หยวนพยักหน้าออกมาเป็นการยอมรับและตอบกลับไปด้วยคำถามแทน “พวกเจ้าทั้งหลายมาจากยอดรองใด?”
หลินฟ่านเองก็ไม่คิดจะปิดบังใดๆ “พวกเราทั้งหลายนั้นมาจากยอดหทัยสวรรค์ เพราะว่าครั้งนี้เราได้รับภารกิจจากนิกายให้มาเก็บหญ้าหางชาดไปเราจึงต้องมาที่ยอดเพลิงเมฆาแห่งนี้ ไม่นึกเลยว่าเราจะมารบกวนการบ่มเพาะเก็บตัวศิษย์น้อง”
เย่หยวนยกมือขึ้นมาโบกปัด “ข้าเองก็บังเอิญออกจากการเก็บตัวมาวันนี้เหมือนกัน ไม่เช่นนั้นหมีเฒ่านี้คงไม่ปล่อยพวกเจ้ารอดกลับไปแน่”
คำพูดนี้ทำให้ทุกผู้คนสะท้านตัวขึ้น คิดในหัวแค่ว่าวันนี้พวกเขาช่างโชคดีจริงๆ
การตะปบของเจ้าหมีเมื่อสักครู่นี้ พวกเขาไม่มีทางหลบรอดไปได้แน่!
แต่สิ่งที่พวกเขาตื่นตะลึงมากกว่าก็คือการที่เจ้าสัตว์อสูรระดับห้าตัวนี้กลับเฝ้ายามให้แก่เย่หยวน
ไอ้หมอนี่มันเป็นใครกันแน่?
การมาเปิดถ้ำหลวงในยอดเพลิงเมฆา หมายความว่าเด็กคนนี้น่าจะมาจากยอดผู้กล้าสวรรค์ แต่ยอดผู้กล้าสวรรค์ไปมียอดคนระดับนี้อยู่ตั้งแต่เมื่อใดกัน?
เย่หยวนคิดอะไรขึ้นมาได้จึงหันไปถามหลินฟ่านอีกครั้ง “อ่า จริงด้วย ข้ามีพี่ชายอยู่คนหนึ่งนามฮันยอง เขาเองก็ได้ไปอยู่ที่ยอดหทัยสวรรค์ ไม่ได้เจอกันมาตั้งสองร้อยกว่าปี ไม่รู้ว่าตอนนี้เขาเป็นอย่างไรบ้างแล้ว?”
เพราะหลังจากการสอบเข้าครั้งนั้น เย่หยวน ฮันยอง หยางฝานต่างแยกย้ายกันไปอยู่กับยอดของตัวเอง
ฮันยองและหยางฝานนั้นมีนิกายของตัวเองเป็นคนหนุนหลัง พวกเขาย่อมได้ไปอยู่ยอดรองที่ไม่เลวร้ายนัก
ยอดหทัยสวรรค์นั้นนับได้ว่าเป็นยอดที่อยู่ในระดับกลางระหว่างยอดทั้งเก้า ทรัพยากรที่ได้ก็ค่อนข้างสมบูรณ์
เมื่อพูดถึงชื่อฮันยองออกมา หลินฟ่านก็หน้าซีดลงทันที
เรื่องนี้ทำให้เย่หยวนสะดุ้งตัวขึ้นทันที รู้สึกแปลกๆ ขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
ตอนนี้ใบหน้าของเย่หยวนเย็นเยือกลง คลื่นพลังอันน่าขนลุกขนพองค่อยๆ ถูกปล่อยออกมาจากร่างนั้น
“เกิดอะไรขึ้นกันเขา?”
เมื่อสัมผัสได้ถึงคลื่นพลังของเย่หยวน หลินฟ่านและพวกจึงแทบหายใจไม่ออก
นี่มันคลื่นแห่งความตายที่แท้!
เป็นตอนนี้นี่เองที่เขาได้รู้ว่าแม้เย่หยวนจะเป็นราชันพระเจ้าเก้าดาวเหมือนๆ กับตัวเขา แต่เย่หยวนนั้นแข็งแกร่งกว่าเขาอย่างไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า!
“หลังจากฮันยองเข้านิกายมาเขาก็พัฒนาตัวเองไปอย่างรวดเร็วจนได้กลายเป็นศิษย์ชั้นนอกระดับต้นๆ แต่ในการแข่งขันเก้ายอดครั้งก่อนฮันยองได้เข้าปะทะกับจงฮันหลินจากยอดดอกตูมสวรรค์ สุดท้ายเขาจึงถูกจงฮันหลินเล่นงานจนเกือบตายบนเวที ตอนนี้… ตอนนี้เขาพิการและถูกเลื่อนลงไปเป็นศิษย์ทั่วไปช่วยงานเบ็ดเตล็ดแทน”
เมื่อหลินฟ่านพูดจบเขาก็บนว่าใบหน้าของเย่หยวนนั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยความเย็นเยือก ตอนนี้หัวใจของหลินฟ่านเองแทบจะเต้นไม่เป็นจังหวะแล้ว
ราวกับว่าเขาจะสัมผัสได้ถึงความโกรธแค้นที่ก่อตัวขึ้นในร่างเย่หยวน
นี่คืออาการโกรธสินะ?
“พวกเจ้าเก็บหญ้าหางชาดแล้วไปเถอะ” เย่หยวนบอก
หลินฟ่านและพวกราวกับว่าเป็นนักโทษที่พ้นโทษมาได้ พวกเขาแสดงความขอบคุณต่อเย่หยวนอีกหลายครั้งก่อนจะรีบเก็บสมุนไพรและจากหายไป
หลังจากคนทั้งหลายไปแล้วเย่หยวนก็กัดฟันแน่นพูดขึ้น “เชียนเย่ จงฮันหลิน พวกเจ้านี่มันกล้าไม่เบา!”
เย่หยวนย่อมเข้าใจได้ดีว่าฮันยองนั้นถูกจงฮันหลินหมายตาไว้ตั้งแต่ก่อนหน้า เพราะฉะนั้นจงฉันหลินจึงได้ลงมือเล่นงานเขาหนักขนาดนั้น
ความโกรธแค้นที่เขามีต่อนิกายบุปผาเหินมันยิ่งเพิ่มทวีคูณ
ฮันยองนั้นเป็นคนห่ามๆ แต่ก็มีนิสัยตรงไปตรงมาทำอะไรอย่างซื่อสัตย์ เขาสมควรจะได้รับชื่อว่าเป็นพี่น้องจริงๆ
“เฒ่าหมี พวกเจ้าเฝ้าดูถ้ำหลวงไว้ให้ดี ข้ามีเรื่องต้องออกไปจัดการเสียหน่อย” เย่หยวนบอกหมีเฒ่า
หมีเฒ่าพยักหน้ารับ “วางใจเถอะ ด้วยพลังของพวกเราทั้งสามแล้วเว้นเสียแต่ว่ามันจะเป็นระดับผู้ดูแลมาเอง พวกเราย่อมไม่มีทางพ่ายแพ้ให้แก่ใครแน่!”
เย่หยวนพยักหน้าและกระทืบเท้าส่งร่างหายไปจากยอดเพลิงเมฆาทันที
…………………………