หนึ่งร้อยวันต่อมากลุ่มคนก็เดินทางมาถึงทะเลกว้างใหญ่แห่งหนึ่ง
ซู่เหยียนหยิบเหรียญออกมาและโยนมันลงทะเลไป
เมื่อเหรียญนั้นตกลงถึงผิวน้ำมันกลับเปลี่ยนกลายเป็นลำแสงพุ่งหายไป
ไม่นานจากนั้นก็มีเรือแจวลำหนึ่งแล่นเข้ามาใกล้พวกเขาบนผิวน้ำ
บนเรือลำน้อยนั้นมีชายชุดขาวยืนอยู่ด้วยท่าทางสง่าและงดงาม
เย่หยวนหรี่ตามองทันทีที่เห็นร่างนั้นเพราะว่าชายชุดขาวคนนี้ยังไม่แก่มากมายแต่กลับเป็นถึงนภาสวรรค์สี่ดาว
วิหารศักดิ์สิทธิ์กอไผ่นั้นยิ่งใหญ่สมชื่อจริงๆ!
แต่คิดอีกทีเย่หยวนก็รู้สึกโล่งใจขึ้น
เพราะวิหารศักดิ์สิทธิ์กอไผ่นั้นเก็บรวบรวมยอดคนจากทั้งมิติอนัตตาก่อไผ่มาไว้
คนที่เข้าไปได้ย่อมมีพรสวรรค์ไม่ด้อยไปกว่าไป่หลี่ชิงหยานแน่ หรือบางทีพวกเขาอาจจะมาพรสวรรค์กว่านางเสียด้วยซ้ำ
ยอดคนมากพรสวรรค์เช่นนั้นบวกกับกำลังทรัพยากรที่หนาแน่นที่สุดในมิติอนัตตาก่อไผ่มันย่อมทำให้ความเร็วในการฝึกฝนและบ่มเพาะเหนือล้ำกว่าที่ใด
“ชูเวินคารวะผู้อาวุโสซู่”
ชายชุดขาวนั้นยกมือขึ้นคารวะซู่เหยียนด้วยท่าทางที่ไม่นอบน้อมแต่ก็ไม่แข็งกร้าว
แต่ซู่เหยียนกลับยิ้มรับไปง่ายๆ “หึๆ ที่แท้เป็นหลานชายชูนี่เอง! ไม่ได้เจอกันมาแค่พันปีหลานชายชูกลับพัฒนาตัวเองขึ้นไปได้อย่างมากมายมหาศาล!”
ชูเวินยิ้มรับออกมา “วรยุทธของวิหารศักดิ์สิทธิ์นั้นเป็นสิ่งที่คนนอกย่อมไม่อาจคาดคิด การพัฒนานี้ของชูเวินมันไม่นับว่ามากมายหรอก”
คำพูดของชูเวินนี้มันเปี่ยมไปด้วยความหยิ่งยโสในทุกน้ำเสียง
ราวกับเขากำลังบอกว่านักยุทธของโลกภายนอกนั้นมันเป็นได้แค่ขยะข้างทาง
ซู่เหยียนได้แต่ยิ้มตอบกลับไปด้วยท่าทางอึดอัด “เรื่องนั้นมันแน่นอน! มิติอนัตตาก่อไผ่เราเคารพนับถือวิการศักดิ์สิทธิ์อย่างมาก ที่แห่งนั้นมันคือดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ยอดอัจฉริยะอย่างหลานชูเวินนั้นมันเป็นยอดคนหนึ่งในหมื่น”
ชูเวินแค่ยิ้มออกมาด้วยท่าทางเย้ยหยันก่อนจะหันสายตาจากซู่เหยียนไป “วันนี้ท่านพาคนที่เพิ่งบรรลุอาณาจักรนภาสวรรค์มาด้วยรึ ดูท่านิกายเงาจันทร์ของท่านนี้มันจะไม่มีอนาคตเสียแล้วจริงๆ!”
คำพูดนั้นชูเวินพูดออกมาระหว่างที่จ้องมองเย่หยวน
เย่หยวนเพิ่งบรรลุมาได้ไม่นานนัก คลื่นพลังที่เขามีจึงย่อมต่ำกว่าคนอื่นๆ อย่างชัดเจน
แค่มองปราดเดียวก็พอรู้ได้แล้วว่าเขานั้นเพิ่มบรรลุมา
อาณาจักรนภาสวรรค์นั้นมีช่องว่างของแต่ละดาวอย่างชัดเจน ทำให้มีการแบ่งแยกแต่ละดาวออกเป็นขั้นต้น ขั้นกลาง ขั้นปลายและสุดท้ายขั้นสุด
ด้วยคลื่นพลังของตัวเย่หยวนนี้มันเป็นขั้นต้นของอาณาจักรนภาสวรรค์หนึ่งดาว ชูเวินจึงมีท่าทางดูถูกเขามาก
เหล่าคนที่มาร่วมงานชุมนุมการต่อสู้แห่งกอไผ่นั้นต่อให้พวกเขาจะยังเป็นนภาสวรรค์หนึ่งดาว อย่างน้อยๆ ก็ต้องอยู่ในขั้นปลายหรือสุดของอาณาจักรนภาสวรรค์หนึ่งดาวถึงจะยังพอทำอะไรได้ ขั้นต้นนั้นไม่ต้องพูดถึงเลย
เว้นเสียแต่ว่าเมื่อคำพูดเหล่านั้นถูกกล่าวเหล่าคนทั้งหลายรวมถึงซู่เหยียนกลับแสดงสีหน้าแปลกๆ ออกมา
เมื่อชูเวินเห็นเช่นนั้นเขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกรำคาญใจขึ้นมา
พวกนี้มันไม่พอใจแต่กลับไม่มีใครกล้าพูดออกมา?
นั่นทำให้ใบหน้าของเขาเปลี่ยนสีไป “ทำไมกัน? ข้าพูดอะไรผิดหรือ?”
ซู่เหยียนผงะไปเล็กน้อยด้วยท่าทางสุดอึดอัดก่อนจะยิ้มตอบ “ใช่แหละ ที่หลานชายชูเวินพูดมามันไม่ผิดหรอก!”
แม้เขาจะพูดเช่นนั้นแต่มีหรือที่ชูเวินจะแยกไม่ออกถึงน้ำเสียงเย้ยหยันนั้น?
ความหมายในคำพูดนี้ของซู่เหยียนคือ เจ้ามาจากวิหารศักดิ์สิทธิ์ ฉะนั้นทุกสิ่งอย่างก็เอาตามเจ้าว่าเถอะ
แต่เป็นไป่หลี่ชิงหลายที่เม้มปากพูดขึ้น “ศิษย์พี่ชูอย่าเพิ่งมั่นใจมากไปเลย หากเย่หยวนได้เข้าวิหารศักดิ์สิทธิ์ไปแล้วเขาคงใช้เวลาไม่นานก้าวข้ามท่านไปได้”
เมื่อชูเวินได้ยินเขาก็ยิ้มออกมาอย่างเยือกเย็น “หึ ศิษย์น้องหญิงคนนี้ช่างประเมินตนไว้สูงจริงๆ! แต่ดูเหมือนว่านิกายเงาจันทร์ของเจ้าจะไม่มีผู้ผ่านเข้ามาได้นับสิบๆ ครั้งแล้วนะ? แล้วเจ้าไปเอาความมั่นใจเช่นนั้นมาจากไหนกัน?”
เพราะเกือบหมื่นปีมานี้นิกายเงาจันทร์นั้นทำผลงานในชุมนุมการต่อสู้แห่งกอไผ่ได้แย่ลงทุกวี่วัน
ในหมู่นิกายระดับเทพถ่องแท้ทั้งสิบสี่ของมิติอนัตตา มีเพียงห้าเท่านั้นที่จะผ่านเข้าสู่วิหารศักดิ์สิทธิ์ได้ การต่อสู้ที่มีนี้มันจึงแสนดุเดือด
ในหมู่นิกายระดับเทพถ่องแท้ทั้งสิบสี่ นิกายเงาจันทร์นั้นอยู่ในระดับกลางค่อนไปทางล่าง
บางนิกายนั้นพัฒนาขึ้นทุกวี่วัน แต่ละครั้งก็จะมีคนสามารถเข้าวิหารศักดิ์สิทธิ์ได้ร่ำไป
แต่นิกายอย่างนิกายเงาจันทร์นั้นมันย่อมถูกมองข้ามอย่างดูถูก
และชูเวินคนนี้ก็คิดดูถูกนิกายเงาจันทร์อยู่เต็มอก
นิกายเช่นนี้ทุกครั้งที่มาร่วมงานชุมนุมการต่อสู้แห่งกอไผ่นั้นพวกเขาจะเป็นได้แค่ตัวประกอบให้คนอื่นเขี่ยออกไป
เมื่อไม่มีพลัง มันก็ย่อมไม่มีความนับหน้าถือตา
นี่คือกฎของโลกทุกใบ
เย่หยวนตอบกลับไป “ความมั่นใจของนักยุทธนั้นควรมาจากพลังฝีมือที่แท้จริงมิใช่แค่การมองตัวเองว่าดี หลังจากท่านมาถึงก็เอาแต่พูดว่าเหยียดหยามนิกายเงาจันทร์ ดูท่าในวิหารศักดิ์สิทธิ์ท่านคงถูกคนอื่นหยามเหยียดมามากล่ะสิ?”
คำพูดของเย่หยวนนี้มันทำให้ชูเวินหน้าแดงขึ้นทันทีด้วยความโกรธ
เย่หยวนพูดถูก!
สำหรับคนภายนอกแล้ววิหารศักดิ์สิทธิ์นั้นมันคือแดนศักดิ์สิทธิ์
แค่เข้าวิหารไปได้มันก็เท่ากับเกียรติยศมหาศาล
แต่ความเป็นจริงนั้นโหดร้าย ภายในวิหารนั้นยิ่งมีการแข่งขันที่เข้มข้น สุดท้ายพวกเขาย่อมไม่อาจหนีพ้นจากกฎปลาใหญ่กินปลาเล็ก
การที่ชูเวินเข้าวิหารศักดิ์สิทธิ์มาได้ ความสามารถพรสวรรค์ของเขาย่อมเหนือล้ำผู้คน
แต่ว่าหลังเข้าวิหารศักดิ์สิทธิ์มาแล้ว ทุกคนต่างก็เป็นยอดอัจฉริยะทำให้ความได้เปรียบก่อนๆ ของเขาหายไปจนสิ้น
เจ้ามากพรสวรรค์ แต่คนอื่นๆ เองก็มีพรสวรรค์ไม่ด้อยไปกว่าเจ้า!
ชูเวินได้รับรู้หลังเข้าวิหารมาว่าแม้เขาจะพัฒนาตัวเองได้รวดเร็วแค่ไหน มันก็มีคนที่เร็วกว่าเขาอยู่เสมอ และเป็นคนพวกนั้นที่ได้รับคำชื่นชมจากทางวิหารแทน
ทำให้ชีวิตของเขายิ่งยากลำบากขึ้นทุกวัน
“โอหัง! เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นใครกันถึงกล้ามาพูดกับข้าเช่นนี้?” ชูเวินร้องออกมาด้วยท่าทางไม่พอใจ
เย่หยวนมองดูชูเวินด้วยสายตาสุดสงสารก่อนจะส่ายหัวพูดขึ้น “ความรู้สึกของท่านนั้นข้าพอเข้าใจได้ เพราะฉะนั้นข้าจะไม่ต่อล้อต่อเถียงกับท่านหรอก”
ตอนนี้ใบหน้าของชูเวินเปลี่ยนจากแดงเป็นดำเพราะเย่หยวนนั้นช่างจี้ใจดำของเขาได้อย่างถูกจุด
แต่ละคำพูดมันเหมือนเข็มนับล้านเล่มพุ่งเข้าแทงจิตใจ
ซู่เหยียนเองก็รู้สึกเหมือนความอัดอั้นได้ถูกระบายออกมา หลายปีมานี้ทุกครั้งที่พวกเขาได้มาร่วมงานชุมนุมการต่อสู้แห่งกอไผ่นิกายเงาจันทร์นั้นจะถูกเหยียดหยามอยู่เสมอๆ
ไม่ว่าจะเป็นศิษย์ของวิหารหรือศิษย์นิกายอื่น มันแทบไม่มีใครมองนิกายเงาจันทร์อยู่ในสายตา
แต่เขาก็ไม่มีทางเลือกนอกจากต้องสงบเสงี่ยมเจียมเนื้อเจียมตัวไป
เมื่อได้เห็นว่าชูเวินถูกว่าจนหน้าหงายเช่นนั้นเขาย่อมพึงพอใจอย่างมาก
แต่ว่าเขาเองก็ต้องตกตะลึงในพลังการสังเกตนี้ของเย่หยวน
ดูท่าแล้วเย่หยวนคงประเมินสภาพของชูเวินได้ถูกต้อง
วิหารนั้นเป็นสถานที่ลึกลับไม่มีทางที่คนภายนอกจะรู้ความเป็นไปภายใน
คนจากโลกภายนอกไม่มีทางได้รู้เลยว่าภายในนั้นมันมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นบ้าง
ต่อให้เป็นเจ้านิกายระดับเทพถ่องแท้ก็มิอาจรู้ได้ว่าในวิหารมันมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นบ้าง
แต่ไม่มีใครคิดสงสัยพลังของวิหาร
นั่นทำให้ศิษย์ของวิหารศักดิ์สิทธิ์นั้นแม้จะเป็นแค่นภาสวรรค์ก็มีท่าทางหยิ่งยโสโอหัง
เมื่อถูกคนเหล่านี้ว่ากล่าวแม้จะเป็นผู้อาวุโสถ่ายทอดอย่างเขาก็ได้แต่ทนฟัง
แต่เย่หยวนนั้นกลับเห็นเรื่องราวทั้งหลายได้ในคราเดียวและตอกกลับไปด้วยคำพูดไม่กี่คำ
“พวกเจ้าหุบปาก! หลานชายชูเป็นศิษย์ของวิหารศักดิ์สิทธิ์เชียวนะ พวกเจ้ามีสิทธิ์ใดไปสั่งสอนเขากัน?” ซู่เหยียนหันมาว่ากล่าว
เพียงแค่ว่าใบหน้านั้นของเขามันไม่มีความโกรธ แถมยังแสดงท่าทางยอมรับออกมาด้วยซ้ำ
เมื่อพวกเย่หยวนเห็นพวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะขึ้นในใจ
พวกเขารู้ดีว่าที่ซู่เหยียนทำแบบนี้ก็เพื่อเปิดทางถอยให้แก่ชูเวิน พวกเขาจึงหุบปากลงตามคำสั่ง
ซู่เหยียนหันหน้ากลับออกมาจากชูเวินทำให้ชูเวินไม่อาจเห็นสีหน้านั้นได้และคิดดีใจที่ซู่เหยียนออกมาช่วยกู้หน้าให้
แต่ว่าเขาก็ยังพูดออกมาต่อ “ไอ้พวกคนโอหัง วิหารนั้นมิใช่ที่ที่พวกเจ้าจะมาส่อปากได้”
เย่หยวนและพวกหันไปมองหน้ากันอย่างพร้อมเพรียง “ขอรับๆ ศิษย์พี่ท่านว่าอย่างไรมันก็คงเป็นเช่นนั้น”
นั่นทำให้ใบหน้าของชูเวินยื่นยาวออกมาจนแทบกลายเป็นหน้าม้า
…………………………