เมื่อเห็นใบหน้าสุดแตกตื่นนั้นของชูเวิน เย่หยวนก็พูดบอกขึ้น “ดูท่าเจ้าจะผิดหวังมากนะ”
คำพูดนั้นทำให้มุมปากของชูเวินกระตุกขึ้นทันที ตอนนี้เขาได้สติกลับมาแล้วและดูท่าจะอึดอัดมากจนได้แต่หัวเราะแห้งๆ ออกมา “ข้าก็บอกแล้วมัน… มันแค่อุบัติเหตุ”
เย่หยวนมองดูใบหน้าของเขาด้วยรอยยิ้ม “เจ้านั้นช่างอ่อนแอ จงใจแล้วมันจะทำไม? ตอนนี้ตาเจ้ามองเลิกลั่กไปทั่วไม่กล้าแม้แต่จะสบตาข้า คนอย่างเจ้ามันไม่มีปัญญาพอจะเป็นตัวร้ายเสียด้วยซ้ำ ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเจ้าถึงได้เจ็บอกเจ็บใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นในวิหารนัก”
เย่หยวนนั้นพูดออกมาพร้อมไอเย็นที่บาดขั้วหัวใจ
ชูเวินได้แต่มองดูเย่หยวนอย่างโกรธแค้น พยายามเปลี่ยนความอับอายอึดอัดให้กลายเป็นความโกรธแทน
ชูเวินได้แต่กัดฟันตอบมาด้วยความไม่พอใจ “ไอ้เด็กนรก เจ้ากำลังท้าทายความอดทนของข้า!”
เย่หยวนตอบ “ท้าทายความอดทนเจ้า? เช่นนั้นก็เข้ามาสังหารข้าสิ! อยากฆ่ากันก็เดินเข้ามาท้ากันตรงๆ ด้วยพลังฝีมือของเจ้าข้าย่อมไม่มีทางเทียบเคียง เห็นไหม สุดท้ายก็ไม่กล้าอีกแล้ว เจ้ามันคนไร้ตัวตนในวิหารหากเข้ามาฆ่าสังหารศิษย์นิกายนอกที่เดินทางมาเข้าร่วมงานชุมนุมการต่อสู้แห่งกอไผ่ทางวิหารคงลงโทษเจ้าไปตามสมควรอย่างไม่มีใครคิดช่วย สุดท้ายมันก็เพราะว่าเจ้านั้นอ่อนแอจนเกินไป!”
“พอแล้ว! หุบปากเดี๋ยวนี้นะ!” ชูเวินตะโกนร้อง
เย่หยวนนั้นพูดจี้ใจดำของเขาอย่างไม่มีหยุดยั้งทำให้ตอนนี้เขาแทบเสียสติ
ซู่เหยียนมองดูสภาพบ้าคลั่งของชูเวินนั้นด้วยความตื่นตกใจไม่น้อย
เย่หยวนทำให้จิตใจของนภาสวรรค์สี่ดาวแทบพังทลายลงด้วยคำพูดแค่ไม่กี่คำ
นี่มันการสังหารอย่างไม่ต้องเสียเลือดโดยแท้!
ด้วยสายตาของซู่เหยียนเขาย่อมมองออกว่าตอนนี้จิตใจของชูเวินกำลังเข้าสู่สภาวะแตกสลาย เรื่องนี้มันอาจจะส่งผลอย่างใหญ่หลวงต่อความเร็วในการบ่มเพาะของเขาในอนาคต
ชูเวินนั้นเดิมทีก็เป็นคนที่อยู่ในวิหารอย่างยากลำบาก หากหลังจากนี้เขายังพัฒนาตัวเองได้ช้าลงอีกชีวิตของเขาคงมีแต่ความมืดมนแล้ว
เย่หยวนส่ายหัวออกมาพร้อมรอยยิ้ม “การเจ้าวิหารนั้นไม่ได้หมายความว่าคนเราจะกลายเป็นเทพสวรรค์ได้ทันที มันเพียงแต่เป็นการเอาตัวเองเข้าไปอยู่ในสภาพแวดล้อมที่โหดร้ายกว่าเดิมก็เท่านั้น ต่อให้ข้าไม่พูด เรื่องจุดอ่อนของเจ้ามันก็ไม่มีทางเปลี่ยนแปลง คนเช่นเจ้ามันไม่มีค่าพอมาเป็นศัตรูของข้าหรอก ผู้อาวุโสซู่ เราไปกันเถอะ”
พูดจบเย่หยวนก็เดินไปยังตึกหลังแรกที่เห็นบนเกาะทันที
สถานที่แห่งนี้มันมีแรงปิดกั้นอยู่ในทุกอณูอากาศ ต่อให้เป็นเทพถ่องแท้ก็ไม่อาจจะบินเหินได้ในสภาพเช่นนี้
การที่เย่หยวนสามารถขี่ยอดคลื่นมาบนทะเลสงบวิญญาณได้มันย่อมมิใช่เพราะเย่หยวนสามารถหลุดรอดจากพลังปิดกั้นนี้ไปได้ เพียงแค่ว่าสถานที่ที่ชูเวินดีดเขาลงนั้นมันมีพลังปิดกั้นที่แสนอ่อนแอ
ในสถานที่ที่มีพลังปิดกั้นรุนแรง ชูเวินย่อมไม่กล้าทำอะไรเสี่ยง
ไม่เช่นนั้นมันจะไม่ใช่การกลบฝังเย่หยวน แต่ตัวเขาเองก็จะจมร่วงลงได้พร้อมๆ เย่หยวนด้วย
ระหว่างทางที่นั่งเรือมาเย่หยวนย่อมพอเข้าใจพลังปิดกั้นในทะเลสงบวิญญาณไปแล้ว
บวกกับการมีชูเวินนำทางมาให้ มันไม่แปลกมากนักหรอกที่เย่หยวนจะสามารถเดินทางถึงตัวเกาะได้
กลุ่มคนค่อยๆ เดินเข้ามาในเกาะจนเริ่มเห็นหมู่ตึกปลูกไว้อย่างสวยงามหลายหลัง
“ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ก่อไผ่!”
ตอนนี้ที่ด้านหน้าของพวกเขามีตัวอักษรเขียนไว้อยู่ว่าดินแดนศักดิ์สิทธิ์ก่อไผ่
“ว่ากันว่าที่แห่งนี้คือแค่ส่วนเล็กๆ ของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ก่อไผ่ เป็นจุดเดียวที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ก่อไผ่เปิดต่อสายตาผู้คนและยังเป็นสถานที่จัดชุมนุมการต่อสู้แห่งกอไผ่อีกด้วย” ซู่เหยียนบอก
เย่หยวนพยักหน้ารับและกำลังคิดเดินเข้าไปด้านในชุมนุมการต่อสู้แห่งกอไผ่ก่อนจะได้ยินเสียงระเบิดดังสนั่นขึ้นมาจากด้านในเกาะ
ปัง!
ด้านหลังเขามีตึกหลังหนึ่งถูกระเบิดจนลอยปลิวหลังคาหายไปจนสิ้น เป็นภาพที่สุดล้ำจินตนาการ
เรื่องนี้ทำให้ซู่เหยียนหน้าถอดสี “เกิดอะไรขึ้น? หรือว่ามีใครคิดเข้ามาก่อเรื่องในชุมนุมการต่อสู้แห่งกอไผ่?”
เย่หยวนตอบกลับไป “ไม่หรอก นั่นมันน่าจะเป็นเตาหลอมระเบิด แต่การที่ทำให้เกิดแรงระเบิดขนาดนี้ได้ความสามารถของนักหลอมคนนั้นคงไม่ธรรมดา”
เจียงเชอเหยียนเองก็สงสัยในใจอย่างมากจนอดถามขึ้นมาไม่ได้ “แล้วหากเทียบกับเจ้าล่ะ?”
แต่ตั้งที่เย่หยวนเดินก้าวขึ้นมาถึงอาณาจักรนภาสวรรค์ เจียงเชอเหยียนนั้นก็หยุดคิดที่จะสร้างความลำบากใดๆ ให้แก่เขาอีกต่อไป
นางรู้ว่าการเป็นใหญ่ของเย่หยวนนั้นไร้ซึ่งทางหยุดแล้ว
ชุมนุมการต่อสู้แห่งกอไผ่ในครั้งนี้เย่หยวนเองก็เป็นความหวังที่มากกว่าไป่หลี่ชิงหยานเสียอีก
ส่วนจะเป็นความหวังได้มากแค่ไหน ตอนนี้ไม่มีใครทราบได้
แต่สุดท้ายแล้วสิ่งที่รู้คือเขาแข็งแกร่ง!
อี้ชิงเซียงเองก็มีความคิดไม่ต่างไปจากเจียงเชอเหยียนมากนัก
เขาย่อมไม่คิดอยากทำตัวเป็นเชียนเย่ที่สอง ต่อต้านเย่หยวนจนสุดท้ายถูกสังหารลงอย่างไร้ทางหนี
เย่หยวนหันไปมองเจียงเชอเหยียนด้วยรอยยิ้ม “ข้านั้นไม่เคยทำเตาหลอมของตนระเบิดมาก่อน แน่นอนว่าหากข้าคิดอยากทำจริงๆ มันก็คงแรงกว่านี้นับร้อยเท่า”
ทุกผู้คนเบิกตากว้างออกมาทันทีเมื่อได้ยิน รวมไปถึงซู่เหยียนด้วย
พวกเขาทั้งหลายนั้นไม่เคยเห็นสภาพของเย่หยวนตอนหลอมโอสถ แต่โอสถที่เขามอบให้ไป่หลี่ชิงหยานนั้นมันก็มากพอจะพิสูจน์ว่าเขามีฝีมือไม่น้อย
แต่การบอกว่าแรงกว่านับร้อยเท่าจากแรงระเบิดเมื่อสักครู่นี้ มันยังดูเหลือเชื่อเกินไปหน่อย
เพราะอย่างไรเสียห้องหลอมโอสถทุกแห่งมันก็จะถูกสร้างขึ้นพร้อมค่ายกลป้องกัน การที่สามารถระเบิดค่ายกลนั้นทิ้งได้มันย่อมต้องเป็นพลังที่มหาศาล
แต่หนึ่งร้อยเท่าจากแรงระเบิดนี้ มันจะรุนแรงแค่ไหน?
“ชิ! ไอ้คนอวดดี เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นใคร? ร้อยเท่าจากแรงระเบิดเมื่อสักครู่นี้ เจ้ารู้หรือไม่ว่ามันหมายความว่าอย่างไร?”
เมื่อชูเวินได้ยินเขาก็อดไม่ได้ที่จะพูดแทรกขัดขึ้นมา
แต่เย่หยวนนั้นเหมือนไม่ได้ยินใดๆ และเตรียมก้าวเท้าเดินเข้าไปต่อ
ระหว่างทางชูเวินพอที่จะสงบสติอารมณ์ตัวเองลงได้ แต่ท่าทางนี้ของเย่หยวนมันกลับทำให้ไฟมารในจิตใจของเขาลุกโชนอีกครั้ง
“นี่ ข้าพูดกับเจ้าอยู่ หูหนวกเรอะ?” ชูเวินร้องตะโกน
เย่หยวนหันไปบอก “เจ้าพูดกับข้า? ข้าได้ยินแต่เสียงหมาเห่า”
นั่นทำให้ใบหน้าของชูเวินแดงจัดขึ้นและกำลังจะพูดตอบกลับมา แต่เย่หยวนกลับพูดต่อขึ้นก่อน “ข้าก็เคยบอกแล้ว หากเจ้าไม่กล้าสังหารข้าก็หุบปากไป อย่าได้หาเรื่องใส่ตัวอีกเลย!”
ดวงตาของชูเวินนั้นเปี่ยมไปด้วยไฟแค้น เขากัดฟันพูดบอก “ไอ้เด็กนรก มารอดูกันเถอะ! สักวันเจ้าจะต้องเสียใจ!”
เย่หยวนหุบปากลงด้วยสีหน้าสุดเหนื่อยหน่ายอย่างถึงที่สุด
สุดท้ายด้วยการนำทางของชูเวิน ในที่สุดกลุ่มนิกายเงาจันทร์ก็มาถึงยังบ้านที่ตั้งอยู่ริมสุดดินแดนศักดิ์สิทธิ์ก่อไผ่
“นี่คือที่อยู่ของพวกเจ้า!” ชูเวินบอก
ซู่เหยียนทำหน้าไม่พอใจออกมาทันที “ชูเวิน เจ้าจะเกินไปแล้วนะ! หากข้าจำไม่ผิดที่แห่งนี้คือโรงฟืนใช่ไหม?”
ชูเวินยิ้มออกมา “นิกายตัวประกอบอย่างพวกเจ้านั้นยังจะอยากได้การดูแลดีๆ อีก? ข้าว่าพวกเจ้าคงไม่ได้อยู่นานนักหรอก เดี๋ยวก็ได้กลับบ้านกันหมดแล้ว”
ฝั่งนิกายเงาจันทร์ทุกคนนั้นขุ่นเคืองอยู่เต็มอก เจ้าหมอนี่มันใช้หน้าที่ของตัวเพื่อล้างแค้นส่วนตน
แต่เย่หยวนกลับไม่คิดสนใจ “โรงฟืนสินะ นักยุทธมีโลกเป็นบ้านพัก เราจะมาสนใจเรื่องที่สถานที่ทำไม?”
ซู่เหยียนหรี่ตาลงทันทีด้วยความตื่นตกใจในคำพูดของเย่หยวน
เด็กคนนี้ช่างมากพรสวรรค์แต่กลับไม่คิดสนใจเวลามีใครชื่นชมหรือเย้ยหยัน
การที่สามารถพูดคำเหล่านี้ออกมาได้มันย่อมหมายความว่าเขามองโลกเห็นในมุมกว้าง จิตใจของเขานั้นหนักแน่นและสูงส่งอย่างที่ไม่มีใครจินตนาการได้
แม้แต่ตัวซู่เหยียนยังยอมรับว่าใจตัวเองไม่กว้างขนาดนี้
คำพูดของเย่หยวนมันทำให้ชูเวินหน้าดำหน้าแดงขึ้นมาอีก
เพราะเดิมทีเขาคิดจะใช้โอกาสนี้ระบายความอัดอั้นที่มี ใครจะไปคิดว่าเย่หยวนกลับรับมันไปด้วยหน้าระรื่น
ฟุบ!
จู่ๆ ก็มีอะไรบางอย่างสีชมพูอ่อนพุ่งเป็นลำแสงเข้ามายังอ้อมอกของเย่หยวน
แม้แต่ตัวเย่หยวนก็ยังมึนงงว่ามันคืออะไรกันแน่
“หมูสมบัติ เจ้าไปไหนแล้ว หมูสมบัติ?” ไม่นานก็มีเสียงใสๆ ลอยตามมา
…………………………