บางทีมันอาจเป็นเรื่องบังเอิญหรืออาจจะเป็นเพราะนิกายเงาจันทร์นั้นมีผู้เข้าร่วมน้อยคน
แต่แม้จะผ่านมากว่าครึ่งทางแล้วหยางเชินก็ยังไม่ได้พบเจอกับศิษย์ของนิกายเงาจันทร์เลยสักคน
แต่ว่าสุดท้ายมันก็หนีกันไม่พ้น
ในรอบที่ยี่สิบแปด หยางเชินปะทะกับอี้ชิงเซียง
ตอนนี้เวลากว่าครึ่งปีได้ผ่านไปตั้งแต่เริ่มงานชุมนุมการต่อสู้แห่งก่อไผ่
หยางเชินนั้นเดินมาหยุดตรงหน้าเย่หยวนด้วยรอยยิ้ม “ข้ารอเวลานี้มาถึงครึ่งปี! วันนี้ข้าจะให้เจ้าได้รู้ถึงความรู้สึกที่ศิษย์ร่วมนิกายต้องตายลงต่อหน้าอย่างไม่อาจช่วยอะไรได้!”
พูดจบเขาก็หันไปหาอี้ชิงเซียง “ครั้งก่อนเจ้าโชคดีรอดพ้นภัยไปได้ ครั้งนี้เจ้าจะไม่โชคดีอีกแน่! หากอยากโทษใครก็ไปโทษเย่หยวนที่มาลบหลู่นิกายสว่างชัดข้าเถอะ!”
แต่อี้ชิงเซียงกลับหัวเราะออกมาเมื่อได้ยิน “ข้าก็เคยพูดไปนานแล้วว่านิกายเงาจันทร์เราเองก็ไม่อาจทนดูคนมาท้าทายเหยียดหยามได้! ข้าตายก็คือตาย แต่นิกายเงาจันทร์จะไม่เสียชื่อ! แน่นอนว่านั่นพูดถึงตอนที่เจ้าสังหารข้าลงได้จริงๆ น่ะนะ”
หยางเชินเงียบปากลงทันที ตอนนี้เขาได้รับรู้อย่างชัดเจนแล้วว่ามาพูดเถียงไปตอนนี้มันก็ไม่อาจชนะอีกฝ่ายได้
เขานั้นมาเพื่อที่จะดูท่าทางหวาดกลัวสิ้นหลังของอี้ชิงเซียง ไม่นึกไม่ฝันว่าจะกลับได้เห็นใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความหนักแน่นเช่นนี้แทน
อารมณ์อึดอัดขัดใจของเขานั้นมันเหนือล้ำกว่าที่จะบรรยายได้
ตรงกันข้าม ตอนนี้เหล่าศิษย์นิกายสว่างชัดกลับกลัวจนปากสั่นตัวสั่นหลังเห็นศิษย์ร่วมนิกายถูกสังหารไปเรื่อยๆ
ต่อให้พวกเขาจะเกรงกลัวมากแค่ไหน พวกเขาก็ไม่อาจรอดพ้นมือของเย่หยวนไปได้
ไม่ทันแม้แต่จะยอมแพ้
เหล่าศิษย์ทั้งหลายที่เย่หยวนได้สังหารลงนั้นล้วนแล้วแต่เป็นยอดศิษย์ของนิกายสว่างชัดที่วันหน้าจะได้เติบโตมาเป็นเสาหลักของนิกาย
แต่เพราะการล้างสังหารของเย่หยวนนี้ทำให้งานชุมนุมการต่อสู้แห่งก่อไผ่ในครั้งนี้มันโกลาหลไปหมดสิ้น
นอกจากตัวเขาและเย่หยวนสองดาวเด่นนี้แล้ว อันดับรองๆ ลงไปนั้นมีการแข่งขันที่แสนดุเดือดอย่างมาก
แน่นอนว่าต้นเหตุมันเป็นเพราะเย่หยวนได้ไปให้ของขวัญแก่นิกายต่างๆ มากมาย
ตอนนี้เหล่านิกายที่เคยไร้หวังก็เริ่มกลับมามีความหวังกันอีกครั้ง
เย่หยวนมองดูหยางเชินด้วยสายตาเย็นชา “เจ้าก็เห็นว่าเรานั้นไม่กลัวตายกัน จะยังเอาเรื่องชีวิตมาข่มขู่ทำไมอีก? เอาศักดิ์ศรีของเจ้าไปอวดผู้คนไกลๆ หน้าข้าไป!”
หยางเชินขมวดคิ้วแน่นและหัวเราะกลับ “เลิกวางท่าเสียที! เมื่อพวกเจ้าได้ขึ้นสังเวียนแล้วข้าอยากรู้เหลือเกินว่าพวกเจ้าจะยังทำหน้ายิ้มเยาะเช่นนั้นได้ไหม!”
หลังจากศึกสองคู่แรกจบลง ในที่สุดก็ถึงคราวของหยางเชินปะทะอี้ชิงเซียง
ตอนนี้เมื่อใดก็ตามที่มีการปะทะระหว่างนิกายสว่างชัดและนิกายเงาจันทร์ มันก็จะกลายเป็นเรื่องฮือฮาดึงดูดสายตาผู้คนทันที
แต่วันนี้มันเป็นครั้งแรกที่หยางเชินจะได้ปะทะกับศิษย์นิกายเงาจันทร์ มันจึงยิ่งทำให้กลายเป็นเรื่องใหญ่ที่ทุกผู้คนจับตามอง
บนสังเวียนนั้นอี้ชิงเซียงมีเหงื่อเย็นเหยียบไหลท่วมกาย ตั้งแต่หน้าผากยันข้อเท้า
นี่มันไม่ใช่เหงื่อที่เกิดจากความกลัว แต่เป็นเหงื่อที่เกิดจากแรงกดดันของหยางเชินที่แสนรุนแรง!
ความกดดันระดับนี้ เขาเคยรู้สึกมันจากคนผู้เดียวท่านั้น นั่นคือเย่หยวน!
ก่อนจะเริ่มหยางเชินก็ปล่อยคลื่นพลังกดดันออกมาอย่างสุดแรงจนครอบคลุมสวรรค์ทั้งเก้า
เมื่อใดก็ตามที่ได้ยินสัญญาณเริ่มการประลอง เขาคงเข้ามาปะทะอี้ชิงเซียงอย่างรุนแรงแน่ๆ คงไม่คิดเหลือเวลาให้ได้ยอมแพ้
ที่ด้านล่างสังเวียนเหล่าศิษย์ทั้งหลายต่างมองดูมันอย่างเคร่งเครียด
“แข็งแกร่ง! นี่หรือคือพลังที่แท้จริงของหยางเชิน!”
“ก่อนๆ มาไม่เคยมีใครทำให้เขาใช้พลังออกมาได้อย่างแท้จริง วันนี้กลับถูกเย่หยวนรีดมันออกมาจนได้!”
“แม้จะอยู่นอกเขตแดนป้องกันข้าก็ยังรู้สึกราวกับจะหายใจไม่ออก! นภาสวรรค์สองดาวด้วยกันแท้ๆ เหตุใดจึงแตกต่างกันได้ขนาดนี้?”
…
ความรู้สึกที่หยางเชินปล่อยออกมานั้นมันเป็นความกดดันที่หนักแน่นแตกต่างจากความเรียบง่ายและสวยงามของเย่หยวน
“เริ่ม!”
ตู้หรูเฟิงร้องบอกและในวินาทีนั้นร่างของหยางเชินก็พุ่งเข้ามาใส่อี้ชิงเซียงอย่างรวดเร็วราวกับลูกศรที่ถูกปล่อยจากคันธนู
ภายใต้แรงกดดันอันมหาศาลและพลังแนวคิดที่หยางเชินปล่อยออกมา อี้ชิงเซียงนั้นไม่อาจจะขยับตัวได้แม้แต่น้อย
อี้ชิงเซียงขมวดคิ้วแน่นเพราะความรู้สึกกดดันอันนี้
แต่เขายังไม่คิดบอกยอมแพ้
เพราะเขารู้ดีว่าหยางเชินต้องมีไม้เด็ดซ่อนไว้อยู่อีกแน่ๆ!
แม้ว่าพลังของเขาจะแข็งแกร่ง มันก็ไม่ได้แข็งแกร่งจนทำให้อี้ชิงเซียงต้องยอมแพ้ในวินาทีที่ขึ้นสังเวียนมา
เพราะอย่างไรพวกเขาทั้งคู่ก็เป็นนภาสวรรค์สองดาวด้วยกัน การจะทำให้คนในดาวเดียวกันพูดคำว่า ‘ ข้ายอมแพ้’ นั้นมันช่างเป็นเรื่องที่แสนจะยากเย็น
จู่ๆ อี้ชิงเซียงก็ต้องหรี่ตาลงเพราะความรู้สึกราวกับว่าภาพตรงหน้ากำลังค่อยๆ เคลื่อนไหวช้าลง!
ตอนนี้ต่อให้เขาจะอยากเปิดปากพูดยอมแพ้มันก็ช้าเสียยิ่งกว่าช้า
โลกทั้งใบในตอนนี้ มีเพียงตัวหยางเชินเท่านั้นที่ยังขยับไหวอย่างปกติ!
‘แนวคิดแห่งกาลเวลา!’
อี้ชิงเซียงร่ำร้องขึ้นในใจ
“เอ๋ อี้ชิงเซียงทำอะไรของมัน? กลัวจนฉี่ราดแล้วหรือ?”
“ดาบของหยางเชินจะปาดถึงคอแล้วแท้ๆ ทำไมเขากลับไม่ขยับตัวเลย?”
ที่ด้านล่างเหล่าศิษย์ต่างไม่เข้าใจเรื่องราวว่าด้านบนสังเวียนมันกำลังเกิดอะไรขึ้นกันแน่
ในสายตาของพวกเขา อี้ชิงเซียงนั้นเอาแต่ยืนนิ่งไม่ยอมทำอะไรราวคนโง่ ได้แต่ยื่นคอออกไปให้หยางเชินฟันทิ้ง
‘เคร้ง!’
เสียงดังสนั่นลั่นขึ้นมาส่งร่างของอี้ชิงเซียงลอยปลิวไปไกล
“ข้า… ขอ… ยอมแพ้!”
อี้ชิงเซียงพูดสามคำนี้ออกมาระหว่างที่ร่างยังลอยไปไม่ตกพื้น
“บ้าเอ๊ย! เจ้ารับมันไว้ได้อย่างไรกัน?! เจ้ามีปัญญาป้องกันมันได้อย่างไร?! ข้าจะฆ่าเจ้า!”
หยางเชินพุ่งตัวเข้ามาตามอี้ชิงเซียงอย่างบ้าคลั่ง
แต่เวลานั้นเองที่เกิดมีคลื่นพลังแสนรุนแรงพุ่งเข้าใส่ร่างของเขาจนปลิวกระเด็นไป
“เขานั้นได้ยอมแพ้ออกมาแล้ว เจ้าจงอย่าได้ลงมืออีก! ครั้งนี้จะถือว่าเตือน ครั้งหน้าหากเจ้าทำอะไรเช่นนี้อีก ข้าจะสังหารทันที!”
ตู้หรูเฟิงกล่าวออกมาอย่างไร้อารมณ์ใดๆ ในน้ำเสียง
หยางเชินพยายามลุกขึ้นยืนด้วยท่าทางสุดแค้น
ตอนนั้นเองที่ตู้หรูเฟิงประกาศขึ้นอีกครั้ง “ศึกนี้หยางเชินเป็นฝ่ายชนะ”
หยางเชินได้แต่กัดฟันตัวเองแน่น ใบหน้าของเขาในตอนนี้มันไม่มีร่องรอยของความดีใจอยู่เลย
เป้าหมายของเขาคือสังหาร มิใช่ชนะ
อารมณ์ทนเก็บมากกว่าครึ่งปีของหยางเชินได้ระเบิดขึ้นในศึกครั้งนี้
แต่สุดท้ายเขากลับพลาด!
ผลเช่นนี้ มันย่อมยากที่จะรับได้
เมื่อสักครู่ในวินาทีสุดท้ายอี้ชิงเซียงกลับปล่อยปราณเทวะออกมาจากร่างและใช้ปราณเทวะขยับดาบขึ้นมารับการโจมตีของเขาไว้
แนวคิดแห่งกาลเวลาของเขานั้นสามารถชะลอกระแสเวลารอบตัวอี้ชิงเซียงได้ แต่สิ่งหนึ่งที่เขาไม่อาจชะลอลงได้ก็คือปราณเทวะ!
แน่นอนว่านี่ไม่ใช่ข้อจำกัดของแนวคิด แต่ที่เขายังชะลอมันไม่ได้เป็นเพราะแนวคิดแห่งกาลเวลาของเขายังอ่อนแอเกินไป
ไม่เช่นนั้นอี้ชิงเซียงก็คงไม่อาจรอดพ้นความตายไปได้แน่
เย่หยวนขยับร่างขึ้นมาข้างๆ กายอี้ชิงเซียงก่อนจะมอบโอสถให้เขากิน
สภาพของอี้ชิงเซียงในตอนนี้มันแย่เสียยิ่งกว่าตอนที่เขาโดนเล่นงานครั้งแรกเสียอีก
แต่เขานั้นไม่ตาย!
เมื่อโอสถเข้าสู่ร่าง แผลของอี้ชิงเซียงก็ค่อยๆ หายบรรเทาลง
“ข้าไม่นึกเลยว่าไม้ตายของเจ้าหมอนี่จะเป็นแนวคิดแห่งกาลเวลา!”
คิดได้เช่นนั้นเย่หยวนก็รู้สึกหวั่นๆ ขึ้นมา
แนวคิดแห่งกาลเวลานั้นคล้ายกับแนวคิดแห่งห้วงมิติตรงที่มันเป็นยอดของแนวคิด เป็นหนึ่งในแนวคิดที่ยากจะสำเร็จที่สุด
นอกจากจอมเทพนิรันดร์แล้วนี่ก็เป็นครั้งแรกที่เย่หยวนได้เห็นคนใช้แนวคิดแห่งกาลเวลา
แค่มองครั้งเดียวเย่หยวนก็รู้ได้ทันที
เจ้าแนวคิดแห่งกาลเวลานี้มันเป็นสิ่งที่ยากจะรับมือ
เพราะทุกอย่างจะถูกควบคุมภายใต้แนวคิดแห่งกาลเวลานี้
เมื่อสักครู่นี้อี้ชิงเซียงเองก็ไม่อาจจะรับมือต่อต้านใดๆ ได้เลยเช่นกัน ไม่สามารถแม้แต่จะพูด!
“หึๆ นี่… การฝึกพิเศษครึ่งปีนี้มันช่าง… คุ้มค่า!”
อี้ชิงเซียงนั้นไม่ได้ท้อใจแต่กลับตื่นเต้นขึ้นมาแทน
การที่เขาสามารถหลบรอดหายนะครั้งนี้มาได้มันย่อมเป็นเพราะการฝึกพิเศษกับเย่หยวน
และเพราะการฝึกนี้เอง มันได้ช่วยทำให้พลังฝีมือของคนทั้งสามนั้นพัฒนาไปอย่างก้าวกระโดด
ในเวลาครึ่งปีมานี้ พวกเขาฝึกตัวภายใต้ความเป็นความตาย
และเพราะการฝึกนี้เองที่ทำให้พวกเขาได้รู้ถึงพลังที่แท้จริงของเย่หยวน!
…………………………