ด้านในม่านพลังนั้นกงเหวินและกงเฉินมองดูเย่หยวนที่ด้านบนอย่างอิจฉาริษยา
“ชิๆ เราสองพี่น้องใช้เวลากว่าสี่แสนปีจึงจะบรรลุแนวคิดแห่งห้วงมิติสี่ดาวได้! ไอ้เด็กคนนี้อายุแค่พันกว่าปีกลับสามารถทำได้ถึงขั้นนี้แล้ว!” กงเหวินบอก
ตระกูลกงนั้นเป็นตระกูลที่ได้รับหน้าที่ให้ดูแลดวงใจแห่งมิติอนัตตามารุ่นต่อรุ่น พวกเขาจึงมีความได้เปรียบในด้านการทำความเข้าใจศึกษาแนวคิดแห่งห้วงมิติ
ที่สำคัญพี่น้องกงคู่นี้ยังถือได้ว่าเป็นยอดคนของตระกูลกงด้วย
แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นพวกเขาก็ยังเริ่มบรรลุแนวคิดแห่งห้วงมิติได้เมื่อเขาอยู่ในอาณาจักรนภาสวรรค์ขั้นปลายแล้ว
ที่สำคัญเวลาที่พวกเขาใช้มันยังแสนจะยาวนาน!
แต่เย่หยวนคนนี้ที่มีอายุแค่พันกว่าปีกลับสามารถทำสิ่งที่พวกเขาต้องใช้เวลากว่าสี่แสนปีเพื่อศึกษา
ปรากฏการณ์เช่นนี้มันคงได้แต่พูดว่าเป็นสัตว์ประหลาด
ตงน้อยหันมาบอก “ใครกันนะที่มันบอกว่าศิษย์ครั้งนี้มีคุณภาพต่ำ?”
กงเหวินตัวแข็งทื่อไปทันทีก่อนจะพูดขึ้นอย่างเขินอาย “นายท่าน ข้า… จะรู้ได้อย่างไรกัน?”
ตงน้อยหัวเราะบอก “ไม่รู้ก็อยากพูด คนบางคนนั้นคือตัวตนที่ทั้งชีวิตพวกเจ้าทำได้แค่เฝ้ามอง เพราะฉะนั้นจงอย่าทำตัวอวดดีให้มากนัก”
กงเหวินนั้นแสดงท่าทีสำนึกผิดออกมาอย่างถึงที่สุด “ขอรับนายท่าน! กงเหวินจะไม่ทำเรื่องเช่นนี้อีกแล้ว!”
ตอนนั้นเองที่เย่หยวนบนมิติว่างเปล่านั้นได้ลืมตาตื่นขึ้นพร้อมถอนหายใจยาว “แนวคิดแห่งห้วงมิตินี้มันช่างเหนือล้ำ การทำความเข้าใจของข้าคงจบลงแค่นี้”
เมื่อพี่น้องกงเหวินได้ยินพวกเขาก็ร้องพ่นคำด่าทอออกมาในทันที “ไอ้เจ้าเด็กคนนี้ เจ้าคิดท้าทายพวกเราอย่างนั้นหรือ? จากสี่ดาวขั้นต้นไปจนถึงขั้นสุดนั้นพวกเราใช้เวลากว่าห้าหมื่นปีนะ!”
ใช้เวลากว่าสามปีในที่สุดแนวคิดแห่งห้วงมิติของเย่หยวนก็บรรลุขึ้นมาถึงสี่ดาวขั้นสุดและไม่อาจจะพัฒนาไปได้อีก
เย่หยวนแค่บ่นออกมาอย่างไม่มีเจตนาใดแอบแฝง แต่พี่น้องกงเหวินกลับคิดว่ามันเป็นความรวดเร็วที่เหนือฟ้าล้ำสวรรค์จนทำให้ผู้คนที่ได้ยินต้องรู้สึกสิ้นหวัง
เย่หยวนขยับร่างและเมื่อเขาปรากฏกายออกมาอีกครั้งเขาก็มาอยู่ข้างๆ ตงน้อยเสียแล้ว
แนวคิดแห่งห้วงมิติสี่ดาว เคลื่อนย้ายมิติ!
ก่อนหน้านี้เย่หยวนสามารถเคลื่อนตัวผ่านห้วงมิติได้แต่มันก็ได้แต่ในระยะไม่ไกลมาก
แต่ตอนนี้เย่หยวนสามารถเคลื่อนที่ได้ในระยะนับหมื่นกิโลเมตรเพียงแค่คิดอยากไป แน่นอนว่ามันย่อมเทียบกับสภาพก่อนหน้านี้ไม่ได้เลย
ยอดฝีมือนภาสวรรค์ส่วนมากก็พอจะใช้พลังแห่งห้วงมิติและทะลุผ่านมิติได้ในระดับหนึ่ง แต่พลังของพวกเขาเหล่านั้นมันต่างจากเย่หยวนราวฟ้ากับเหว
“ตงน้อย เจ้าตามข้ามาหน่อย ข้ามีเรื่องจะคุยกับเจ้า” เย่หยวนเปิดปากพูดขึ้น
ตงน้อยแสดงท่าทีมึนงงออกมาเพราะไม่เข้าใจว่าเย่หยวนกำลังคิดวางแผนอะไร แต่สุดท้ายก็ยังเดินตามเขาไป
“อะไรเล่า? เจ้ามีเรื่องใดก็รีบๆ พูดเสีย!” คนทั้งสองเดินมาจนถึงที่ไร้ผู้คนและตงน้อยก็ถามขึ้นอย่างหมดความอดทน
เย่หยวนหันมายิ้มให้ตงน้อยก่อนจะขยับเคลื่อนร่างราวสายฟ้าสกัดจุดบนร่างของตงน้อยไปหลายที
ตงน้อยหน้าถอดสี ตอนนี้เขาไม่อาจขยับไหวร่างกายได้เลย
“เด็กน้อย เจ้ารู้ไหมว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่?” ตงน้อยถามขึ้นด้วยเสียงจริงจัง
เย่หยวนยิ้ม “อย่าเพิ่งกังวลไป ข้าแค่มีเรื่องจะคุยด้วยหน่อย ท่านเทพสวรรค์!”
ตงน้อยผงะไปทันทีที่ได้ยิน “เจ้าพูดเรื่องอะไร? ข้าไม่เข้าใจ!”
เย่หยวนหัวเราะออกมา “คนตรงอย่างเราๆ ย่อมไม่ต้องพูดอ้อมค้อมให้มากความ ท่านเทพสวรรค์ท่านไม่ต้องแสร้งทำตัวอีกแล้ว ตอนที่เหล่าเทพถ่องแท้ทั้งหลายเห็นท่านคนพวกนั้นต่างแสดงท่าทางประหลาดออกมา หากข้าไม่อาจมองเรื่องนี้ออกได้ข้าก็คงโง่งมจนเกินทนแล้ว”
เพราะแท้จริงแล้วเย่หยวนรู้สึกได้มานานแล้วว่าตงน้อยนั้นมีอะไรแปลกๆ เขามักบอกว่าหมูสมบัติคือสัตว์เลี้ยงของเขา แต่มีหรือที่สัตว์เลี้ยงแปลกประหลาดเช่นนี้จะถูกส่งมอบมาให้เด็กตัวน้อย?
ที่สำคัญ แม้ตู้หรูเฟิงจะปิดบังมันไว้แต่ความเคารพที่เขามีต่อตงน้อยมันก็ไม่อาจปิดได้มิด
เมื่อบวกรวมกับสีหน้าของสองพี่น้องกงเมื่อเห็นตงน้อยแล้ว เย่หยวนก็มั่นใจได้ทันทีว่าตงน้อยนั้นมิใช่หลายของเทพสวรรค์ใดๆ แต่เป็นตัวเทพสวรรค์เอง!
เพียงแค่ไม่รู้ทำไมเขาจึงได้กลายมามีสภาพอย่างในปัจจุบันได้
ตงน้อยทำหน้าเหยเกออกมาในทันที “หรือว่าเจ้าเป็นสุนัขรับใช้ของอู่เต๋า? อย่าได้ลืมไปว่าที่แห่งนี้คือวิหารศักดิ์สิทธิ์! หากเจ้ากล้าลงมือต่อข้าตู้หรูเฟิงและพี่น้องกงคงไม่ปล่อยเจ้าไปแน่!”
เย่หยวนยิ้มตอบ “อู่เต๋า? นั่นเองก็เป็นหนึ่งในเทพสวรรค์ของวิหารใช่ไหม? แต่เขาไม่ได้เกี่ยวข้องใดกับข้าหรอก ที่ข้าเรียกท่านมาก็เพื่อจะเจรจาต่อรองกับท่าน”
หลังจากได้ยินเช่นนั้นตงน้อยจึงแสดงใบหน้าที่โล่งอกโล่งใจขึ้นมา
แต่เขาก็รู้ด้วยว่าสิ่งที่เย่หยวนจะเจรจานั้นมันต้องมิใช่สิ่งดีงามแน่ๆ ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่ต้องสกัดจุดร่างของตงน้อยไว้เช่นนี้
เจ้าหมอนี่มันช่างกล้า ทั้งๆ ที่รู้ถึงตัวตนของเขาแล้วเย่หยวนกลับยังกล้าลงมือเช่นนี้ ไม่กลัวบ้างหรือว่าจะถูกลงโทษล้างแค้นทีหลัง?
“พูดมา!” ตงน้อยบอก
เย่หยวนยิ้ม “ข้าอยากเชิญท่านไปยังมหาพิภพถงเทียนกับข้า!”
ได้ยินเช่นนั้นตงน้อยก็เบิกตากว้างออกมาด้วยความตื่นตกใจทันที “เจ้า! เจ้าเป็นคนจากมหาพิภพถงเทียน? นี่มัน… เป็นไปไม่ได้น่า!”
เย่หยวนยิ้ม “ท่านพูดเรื่องปราณเทวะของข้า? หึๆ วรยุทธบ่มเพาะที่ข้าใช้มันพิเศษนิดหน่อยทำให้สามารถดัดแปลงปราณเทวะเป็นแบบของมิติอนัตตาก่อไผ่นี้อย่างไม่ยากเย็นอะไร”
ตงน้อยหน้าถอดสีลงทันที “ไม่มีทาง! เจ้าลืมเรื่องนั้นไปได้เลย!”
เย่หยวนยักไหล่ตอบก่อนจะค่อยๆ ลูบหัวเจ้าหมูสมบัติด้วยท่าทางเอ็นดู “หมูสมบัติ ข้าขอโทษด้วย มันไม่ใช่ว่าข้าไม่อยากหลอมโอสถให้เจ้า แต่เป็นเพราะชะตาของเราในวันหน้านั้น… สักวันเราจะได้พบกันใหม่”
‘อู๊ดๆ’
หมูสมบัติวิ่งออกจากอ้อมอกของตงน้อยและใช้จาสั้นๆ ทั้งสองข้างของมันถูกับตัวเย่หยวนด้วยน้ำตาไหลนองหน้า เสียใจสุดแสนที่ต้องจากลา
เย่หยวนถอนหายใจยาว “ข้าเองก็ไม่ได้ไร้หัวใจ แต่มหาพิภพถงเทียนนั้นยังมีเรื่องให้ข้าต้องกลับไปจัดการอีกมาก! อืม… บางทีในวันหน้าเมื่อข้าจัดการเรื่องทั้งหลายสิ้นแล้ว ข้าอาจจะกลับมาหาเจ้าที่มิติอนัตตาก่อไผ่แห่งนี้อีกครั้งนะ?”
หมูสมบัติส่ายหัวออกมาอย่างรุนแรงพร้อมเกาะขาเย่หยวนไว้แน่นไม่ยอมคิดที่จะปล่อย
เมื่อตงน้อยเห็นภาพนี้เขาก็กัดฟันร้องขึ้นอย่างโกรธแค้น “หน้าไม่อาย!”
เย่หยวนหันมามองตงน้อย “จริงๆ ที่ข้าเข้าร่วมงานชุมนุมการต่อสู้แห่งก่อไผ่ก็เพื่อจะเข้ามายังดวงใจมิติอนัตตาแห่งนี้ แต่ตอนนี้ข้ากลับได้สร้างสายสัมพันธ์กับมิติอนัตตาก่อไผ่แห่งนี้ไว้เสียแล้ว เมื่อข้าจากมิติอนัตตาก่อไผ่ไปพวกท่านทั้งหลายคงมุ่งหน้าไปเล่นงานนิกายเงาจันทร์เป็นแน่ เมื่อไม่มีทางเลือกอื่นแล้วข้าจึงต้องทำเช่นนี้ ที่สำคัญสภาพของท่านในปัจจุบันเองก็ไม่อาจจะหลอมโอสถให้หมูสมบัติกินได้ด้วย ท่านมหาพิภพถงเทียนกับข้าเถอะ มันเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดแล้ว”
ตงน้อยมองดูเย่หยวนอย่างแปลกประหลาดใจ ไม่นึกไม่ฝันว่าเขากลับจะมีแผนการเช่นนี้
ดูท่าเจ้าหนุ่มคนนี้จะให้ค่ากับสายสัมพันธ์ไม่น้อย
โดยรวมแล้วเย่หยวนนั้นไม่ได้อยู่อย่างสบายนักในนิกายเงาจันทร์
จริงๆ เมื่อการสังหารเชียนเย่ เขาถึงขั้นไปต่อต้านสร้างความไม่พอใจให้แก่เจ้านิกาย
แต่หากไม่มีนิกายเงาจันทร์นี้ เขาก็ย่อมไม่มีทางใดที่จะเข้ามาเหยียบยังดวงใจมิติอนัตตาแห่งนี้ได้
เย่หยวนนั้นทำอะไรย่อมตัดสินอย่างตรงไปตรงมา
หากวันนี้เขาออกจากมิติอนัตตาก่อไผ่ไปแล้ว มันคงทำให้นิกายเงาจันทร์ต้องพบเจอความยากลำบากแน่ พวกเขาอาจจะถึงขั้นถูกทำลายลงเพราะเขาก็ได้
เพราะฉะนั้นก่อนจะจากไปเขาจึงต้องคิดถึงความเป็นอยู่ของนิกายเงาจันทร์ไว้ก่อน
เดิมทีเขาคิดหาทางแก้ปัญหาเรื่องนี้จนหัวแทบระเบิด แต่เมื่อเขาได้เรียนรู้ถึงตัวตนที่แท้ของตงน้อย เย่หยวนก็นึกแผนนี้ขึ้นมาได้
ที่สำคัญหมูสมบัติยังติดเย่หยวนอย่างมากแล้วด้วย หากเย่หยวนจากไปแล้วมันคงไม่มีใครทำโอสถที่ถูกปากมันได้อีก
…………………………