ภายใต้คำสั่งของชายหนุ่มคนนี้มันก็ปรากฏกลุ่มคนจำนวนไม่น้อยขึ้นมาล้อมรอบเย่หยวนไว้จนทำให้เย่หยวนหรี่ตาลงมองอย่างเย็นชา เจ้าหมอนี่มันไร้เหตุผลจนเกินไปแล้ว ไม่คิดถามอะไร คิดเพียงแต่จะจับอย่างเดียวไร้ตรรกะเหตุผลใดๆ มาเสริม
“น้องเจ้าเมา ข้าเลยเอาเขามาส่ง แค่นั้น!”
เย่หยวนพูดอธิบายออกมาอย่างไม่คิดที่จะสนใจเหล่ายามที่ออกมาล้อมรอบตัวเขาไว้เลย
ใครจะไปคิดว่าชายหนุ่มคนนั้นกลับหัวเราะออกมาแทน “หึ เจ้าจะใจดีขนาดนั้น? ข้าว่าเจ้าต้องคิดแผนร้ายใดๆ ต่อน้องซู่ไว้แน่ใช่ไหม? พวกเจ้าจะยังรออะไรอีก? จับมันเสีย! หากมันคิดขัดขืนก็สังหารมันได้เลย!”
เมื่อเหล่ายามได้รับคำสั่งพวกเขาก็เริ่มโจมตีเย่หยวนทันที
เมื่อโจมตีออกมา การโจมตีแต่ละครั้งมันกลับรุนแรงอย่างสุดตัว นี้หรือคือจับ? ดูอย่างไรมันก็คิดสังหารกันชัดๆ!
เย่หยวนขยับร่างกายหายไปจากจุดนั้นในทันที
แสงดาบสีขาวสว่างขึ้นหลายครั้งส่งให้มือของเหล่ายามนั้นลอยขึ้นสู่ฟ้าไปตามๆ กันพร้อมเสียกรีดร้องอย่างโหยหวน
ภายในไม่กี่อึดใจเหล่ายามทั้งหลายของบ้านก็ถูกตัดมือจนขาดสิ้น!
ชายหนุ่มคนนั้นหน้าถอดสีทันทีเมื่อเห็นสภาพการณ์ เขาไม่นึกไม่ฝันว่าเย่หยวนคนนี้กลับจะมีพลังฝีมือมากมายขนาดนั้น
เย่หยวนเก็บดาบลงพร้อมยืนมองดูชายหนุ่ม “จะถือว่าเห็นแก่หน้าของเล้งซู่ วันนี้ข้าจะไม่สังหารผู้คน แต่ข้าขอเตือนไว้ก่อน อย่าได้คิดมาท้าทายข้า!”
พูดจบเย่หยวนก็เดินจากไป
ชายหนุ่มคนนั้นหน้าเปลี่ยนสีไปมาอยู่หลายครั้งก่อนจะหันหน้ากลับมามองเล้งซู่บนพื้นด้วยคิ้วที่ขมวดจนแทบติดกัน
“ฮ่าๆ สุดยอด! พี่เย่ มาชนแก้ว!” เล้งซู่ที่ยังมึนเมาไม่ได้สติร้องบอกออกมา
“เย่หยวน? หมอนั่นมันคือใครกันช่างมีพลังที่เหนือล้ำ! จุนหาวเทียบกับเจ้าแล้วเป็นอย่างไร?”
ชายชุดดำคนหนึ่งปรากฏตัวออกมาข้างๆ ชายหนุ่มในทันทีพร้อมยกมือขึ้นคารวะ “ผู้น้อย… ไม่มั่นใจ!”
ชายหนุ่มกล่าวขึ้น “ก็คงงั้น ไม่เช่นนั้นเจ้าคงลงมือไปแล้ว ดูท่าสองพี่น้องมารหมอกดำจะพลาดเสียด้วย ไม่นึกเลยว่าน้องชายขยะของข้ามันจะไปได้ผู้ช่วยดีๆ เช่นนี้มา ดูถูกมันเกินไปจริงๆ เดิมทีข้าคิดว่ามันเป็นแค่นภาสวรรค์หนึ่งดาวไม่น่าจะเก่งกาจอะไร ไม่นึกเลยว่ามันจะมีพลังที่แข็งแกร่งเช่นนี้จนถึงขั้นที่เจ้าไม่มั่นใจว่าจะชนะได้ เจ้าไปดูมันหน่อยว่ามันเป็นใครมาจากไหนกันแน่”
ชายหนุ่มหันมามองเล้งซู่อีกครั้งด้วยสายตาสุดเหยียดหยาม
ชายในชุดดำตอบรับ “ขอรับ!”
…
เมื่อออกจากบ้านตระกูลเล้งมาได้เย่หยวนก็มุ่งหน้าไปยังหอรวมแก่นแท้พลังที่จวนเจ้าเมืองเป็นคนสร้างขึ้นทันที
ตอนนี้พลังบ่มเพาะของเย่หยวนมันมาถึงขั้นสุดของอาณาจักรนภาสวรรค์หนึ่งดาวแล้ว เขาจึงคิดที่จะใช้เวลานี้ในการเริ่มโจมตีฐานบรรลุของอาณาจักรนภาสวรรค์สองดาว
ตอนนี้เย่หยวนนั้นมีความเข้าใจในแนวคิดที่เหนือล้ำกว่าพลังบ่มเพาะตัวเองไปมาก มันจึงทำให้พลังบ่มเพาะของเขากลายเป็นตัวถ่วงในพลังฝีมือ
และเจ้าหอรวมแก่นแท้พลังนี่ก็คือสถานที่เพื่อทำการบ่มเพาะอย่างแท้จริงที่ทุกผู้คนสามารถเข้ามาใช้ได้
แน่นอนว่าคนที่คิดเข้ามาใช้ต้องมีผลึกปราณเทวะมากเพียงพอ
ที่สำคัญมันยังต้องเป็นผลึกปราณเทวะขั้นกลางด้วย
ในเมืองหลวงจักรพรรดิ ผลึกปราณเทวะขั้นต่ำนั้นมันไม่อาจจะสนองความต้องการพลังวิญญาณของนักยุทธได้อีกแล้ว
การแลกเปลี่ยนซื้อขายในเมืองหลวงจักรพรรดินี้มันจึงใช้ผลึกปราณเทวะขั้นกลางเป็นตัวกลาง
หอรวมแก่นแท้พลังนี้แบ่งออกเป็นเก้าชั้น และจะมีการเก็บผลึกปราณเทวะกันนับตามจำนวนวันที่อยู่
ชั้นแรกจะต้องเสียสิบผลึกปราณเทวะขั้นกลางต่อวัน ซึ่งนั่นมีราคาถึงสามหมื่นผลึกปราณเทวะขั้นต่ำ
ยิ่งสูงขึ้นไป มันก็ยิ่งต้องใช้ปราณเทวะขั้นกลางเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ตามลำดับ
เมื่อไปถึงชั้นเก้า มันมีราคาถึงสามพันผลึกปราณเทวะขั้นกลางต่อวัน เป็นจำนวนที่มากมายมหาศาลมาก
เพราะเจ้าสามพันผลึกปราณเทวะขั้นกลางนี้มันมีราคาคุณค่าเท่ากับผลึกปราณเทวะขั้นต่ำถึงสามสิบล้านชิ้น
และนี่คือจำนวนที่ต้องจ่ายรายวัน
แน่นอนว่าผลที่ได้ออกมามันย่อมแตกต่างอย่างเห็นได้ชัดด้วย
เย่หยวนได้ยินว่าพลังวิญญาณที่ชั้นเก้านั้นมันหนาแน่นเสียยิ่งกว่าตาล่มวิญญาณบ่มเพาะปิดกั้นเสียอีก
แน่นอนว่าจำนวนผลึกปราณเทวะที่ต้องจ่ายเพื่อเข้าไปบ่มเพาะในนั้นมันต้องสูง
เย่หยวนเข้าไปในหอรวมแก่นแท้พลังและมุ่งหน้าตรงไปยังชั้นสามในทันที
ในหอรวมแก่นแท้พลังนั้นมีห้องบ่มเพาะจำนวนมากมาย คนเข้าออกกันตลอดเวลาทำให้มันแออัดไม่น้อย
เมื่อมาถึงชั้นสาม เหล่านักยุทธที่อยู่มาก่อนได้เห็นว่ามีนักยุทธอาณาจักรนภาสวรรค์หนึ่งดาวหลุดขึ้นมาถึงตรงนี้มันจึงทำให้พวกเขาต้องหันมามองเป็นตาเดียว
เพราะหากให้พูดตามหลักการแล้วนักยุทธอาณาจักรนภาสวรรค์หนึ่งดาวย่อมต้องบ่มเพาะอยู่ที่ชั้นหนึ่ง
เมื่อมาถึงชั้นสามมันย่อมเป็นการเปลี่ยนผลึกปราณเทวะโดยใช่เหตุ
เพราะว่าความหนาแน่นของพลังวิญญาณในชั้นนี้มันเหนือล้ำกว่าที่นภาสวรรค์หนึ่งดาวจะสามารถดูดซับได้หมด
ที่ห้องบ่มเพาะ สิ่งสำคัญชั้นสามนี้มันยังต้องจ่ายถึงห้าสิบผลึกปราณเทวะขั้นกลางต่อวัน
เย่หยวนเดินวนดูรอบๆ ครั้งหนึ่งก่อนจะพบกับห้องว่างห้องหนึ่ง
แต่เขานั้นสงสัยเหลือเกินว่าคนรอห้องก็มีมากมายแต่กลับไม่มีใครคิดมาใช้ห้องนี้เลย
เย่หยวนเองก็ไม่ได้คิดอะไรมากมายและยกผลึกปราณเทวะขั้นกลางสี่พันห้ารอยชิ้นออกมาจ่ายให้แก่ช่องหน้าประตูห้องบ่มเพาะในทันที
นั่นทำให้คนมากมายต้องหันมามอง
นภาสวรรค์หนึ่งดาวแต่กลับจ่ายผลึกปราณเทวะขั้นกลางถึงสี่พันกว่าชิ้นออกมาในครั้งเดียว มันช่างเป็นอะไรที่แสนเกินตัว!
ที่ด้านข้างมีคนหัวเราะขึ้น “หึ ไอ้เด็กคนนี้มันโง่จริงๆ!”
‘ตู้ม!’
เกิดเสียงดังขึ้นพร้อมประตูห้องบ่มเพาะที่ค่อยๆ เปิดออก
เย่หยวนที่กำลังจะเดินเข้าไปกลับได้ยินเสียงหนึ่งดังขึ้นมาก่อน “เด็กน้อย ห้องบ่มเพาะนี้มันเป็นของข้า ใครอนุญาตให้เจ้าเข้าไปกัน?”
เย่หยวนหันไปมองชายหนุ่มในชุดงามคนหนึ่ง
ชายหนุ่มคนนี้มองดูเย่หยวนด้วยใบหน้าเย้ยหยัน
“ห้องบ่มเพาะของเจ้า? ห้องบ่มเพาะนี้ไม่ได้มีการเขียนชื่อติดไว้นี่?” เย่หยวนถามกลับไป
ชายหนุ่มคนนั้นหัวเราะขึ้นมา “เจ้าไม่สงสัยบ้างหรือว่าทำไมห้องนี้ทั้งๆ ที่ว่างแต่กลับไม่มีใครกล้ามาจ่ายผลึกปราณเทวะใช้มันเลย?”
เย่หยวนพยักหน้า “ที่เจ้าพูดมานั้นข้าเองก็สงสัยอยู่”
ชายหนุ่มคนนั้นยิ้มเยาะขึ้น “นี่คือห้องส่วนตัวของข้า หานเซี่ยวคนนี้ มันจึงไม่มีใครกล้ามายุ่งอย่างไรล่ะ!”
เย่หยวนมองดูหานเซี่ยวก่อนจะยิ้มขึ้น “เช่นนั้นเองหรือ ข้าไม่รู้มาก่อนเลย เอาเช่นนี้เป็นอย่างไร? ไม่ว่าอย่างไรเสียข้าก็ยังไม่ได้เข้าไป เจ้าแค่คืนผลึกปราณเทวะมาให้ข้าแล้วข้าจะยกห้องบ่มเพาะนี้คืนให้”
หานเซี่ยวหัวเราะขึ้นมาในทันทีที่ได้ยิน “ฮ่าๆ! เจ้าคิดจะให้ข้าคืนผลึกปราณเทวะให้? น่าขัน!”
นั่นทำให้คนรอบๆ ต่างอมยิ้มออกมา
“ไอ้เด็กคนนี้มันโง่มากเลยใช่ไหมเนี่ย?”
“หานเซี่ยวใช้วิธีนี้หลอกลวงผู้คนมามากมาย ช่วยไม่ได้หรอก ไอ้เจ้าหมอนี่มันเก่งกาจจนเกินไป ในหมู่นภาสวรรค์สามดาวด้วยกันแล้วไม่มีใครที่จะเทียบเคียงเขาได้”
“เด็กคนนี้เป็นแค่นภาสวรรค์หนึ่งดาว แต่ถึงขั้นกล้าไปขอผลึกปราณเทวะคืนจากหานเซี่ยว ข้าคิดว่าเขาคงไม่ได้กลับดีๆ แน่”
…
เย่หยวนแสดงสีหน้าดำมืดออกมา “เช่นนั้นเจ้าก็คิดรอให้ข้าใส่ผลึกปราณเทวะเข้าไปก่อนแล้วค่อยเข้ามาบอกกล่าว?”
เย่หยวนย่อมมองหานเซี่ยวคนนี้ออกตั้งแต่แรก
เพราะตอนที่เขาเดินมาถึงนั้น ตัวหานเซี่ยวเองก็ไม่ได้อยู่ไกลออกไปนัก
หานเซี่ยวหัวเราะลั่น “ข้าจงใจไง เจ้าจะทำอะไรข้าได้ล่ะ? เอาล่ะ ไปไกลๆ ข้าเสีย ไม่เช่นนั้นเจ้าจะได้ลงไปนอนคุยกับพื้น!”
‘ตุบ!’
เสียงของหานเซี่ยวยังไม่ทันขาดร่างกายของเขาก็ลอยปลิวออกไปชนกับกำแพงเข้าอย่างแรงพร้อมเลือดที่ไหลกลบร่าง
เท้านี้ของเย่หยวนเตะออกมาอย่างหนักหน่วง
“ไอ้พวกโง่หลงตัวเองนี่มันมีทุกที่เสียจริงๆ! คราวนี้ข้าจะช่วยสั่งสอนเจ้าให้! ไม่ใช่ทุกคนหรอกนะที่เจ้าจะสามารถลบหลู่ท้าทายได้”
เย่หยวนหันไปมองเขาคนนั้นอย่างเหนื่อยหน่ายก่อนจะหันหน้าเดินเข้าไปในห้องบ่มเพาะทันที ปล่อยให้เหล่าผู้คนได้แต่มองดูภาพตรงหน้าอย่างมึนงงสับสน
‘ตุบ!’
เมื่อเย่หยวนเดินเข้าห้องไป ประตูของห้องบ่มเพาะนั้นก็ปิดลงเบาๆ
…………………………