คำพูดของเย่หยวนนั้นดังก้องไปทั่วด้วยน้ำเสียงที่แสนหยิ่งยโส
แต่ตอนนี้กลับไม่มีใครเลยที่คิดว่าเขากำลังพูดจาอวดดี
เพราะเย่หยวนที่มีธงศึกดาวฤกษ์อยู่ในมือนี้มันมีคุณสมบัติพอที่จะเทียบเคียงกับเทพถ่องแท้ขั้นสุดหลายคนด้วยกัน
แต่อีกด้านทางฉูชิงที่อยู่ห่างออกไปนั้นกำลังยืนมองดูภาพตรงหน้าด้วยสีหน้าซีดเผือด
ระหว่างทางที่เดินทางมานี้เขาได้ดูถูกเย่หยวนอยู่ตลอดมา
จนมาถึงเวลาที่เย่หยวนผ่านค่ายกลดาบสังหารสวรรค์นี้ที่เขาเริ่มได้เห็นความน่ากลัวที่แท้จริงของเย่หยวน
ถึงเวลานั้นเขาก็ได้ยอมรับแล้วว่าเย่หยวนนั้นเป็นศัตรูที่แข็งแกร่งคนหนึ่ง
แต่ตอนนี้เขากลับกำลังรู้สึกกลัว!
เย่หยวนที่มีธงศึกดาวฤกษ์อยู่ในมือนี้สามารถต่อสู้จนเสมอกับจีคัง หยางอี้เต่าและพวกได้
การจะสังหารตัวฉูชิงมันก็คงง่ายเสียยิ่งกว่าพลิกฝ่ามือ
เย่หยวนหันมองดูสี่ทิศรอบกายพร้อมโบกสะบัดธงศึกดาวฤกษ์ในมือด้วยรอยยิ้ม “ธงศึกดาวฤกษ์อยู่ที่นี่แล้ว ใครคิดอยากได้ก็จงเข้ามาเอาไป”
ถึงตอนนี้จะยังมีใครกล้าเข้าไปแย่งชิงธงศึกดาวฤกษ์อีก?
เว้นเสียแต่ว่าพวกเขาทั้งหลายจะเบื่อหน่ายในชีวิตแล้ว
จีคังและพวกต่างแสดงสีหน้าไม่สู้ดีออกมาด้วยความรู้สึกเสียดาย
สองเทพถ่องแท้เก้าดาวบวกกับเทพถ่องแท้แปดดาวอีกคนกลับทำได้แต่ปัดป้องเสมอกับนภาสวรรค์สามดาวคนหนึ่ง
เรื่องนี้ไปเล่าให้ใครฟังมันก็คงเป็นได้แค่เรื่องตลก
แต่ตอนนี้พวกเขาทั้งหลายได้รู้แล้วว่าเย่หยวนมีคุณสมบัติพอที่จะครอบครองสมบัติวิญญาณเทพสวรรค์จริง!
“หึ! ไปกัน!” จีคังหันไปบอกทุกคนและเดินนำหน้าไปยังยอดเขาต่อไป
สมบัติวิญญาณเทพสวรรค์ในที่แห่งนี้มันต้องไม่ได้มีแค่ชิ้นเดียวอย่างแน่นอน แถมพลังฝีมือของเย่หยวนเองก็ไม่ธรรมดา เช่นนี้การจะต่อสู้เสี่ยงชีวิตกันเสียแต่ตรงนี้มันคงเป็นเรื่องไม่ฉลาดนัก
เมื่อพวกจีคังจากไปทางหยางอี้เต่าเองก็ตามไปติดๆ
เมื่อเหล่ายอดคนทั้งหลายจากไปแล้วพวกคนอื่นๆ ที่เคยว่าดูถูกเย่หยวนไว้ก็ค่อยๆ เดินหายลับไปเช่นกัน
ในค่ายกลดาบสังหารสวรรค์ตอนนี้คงเหลือแค่จี้ฉุนที่กำลังทนทานผ่านมันมาอยู่
เย่หยวนค่อยๆ เดินหาที่นั่งพักและเริ่มทำสมาธิกับตัว
เดิมทีเขานั้นได้รับความรู้จากค่ายกลดาบสังหารสวรรค์มาไม่น้อย ทำให้ความเข้าใจในแนวคิดแห่งดาบของเขาเพิ่มพูนขึ้นไปจนถึงห้าดาวขั้นปลาย เขาจึงต้องนำมันมาวิเคราะห์ให้เข้าใจอย่างถ่องแท้อีกครั้ง
แถมเรื่องราวในตอนนี้มันก็เป็นอะไรที่พอเหมาะพอดี ทั้งเล้งชิวหลิงและกู่เทียนเฉนั้นต่างยังไม่ผ่านค่ายกลข้ามมายังฝั่งนี้ ทำให้เขาสามารถนั่งรอได้อย่างสบายใจ
แต่เวลานี้เองที่จู่ๆ ก็มีชายหนุ่มคนหนึ่งเดินเข้ามาหาเย่หยวน
เย่หยวนค่อยๆ ลืมตาขึ้นมองดูตรงหน้าพร้อมถามขึ้น “มีอะไรหรือ?”
“หึๆ เปล่าหรอก ข้าแค่เห็นว่าพี่เย่นั้นมีพลังเหนือล้ำและคิดอยากมาทำความรู้จักไว้ ข้ามีนามว่าถังเหยียนเป็นนักยุทธจรคนหนึ่ง” ชายหนุ่มคนนั้นยกมือขึ้นคารวะพร้อมพูดแนะนำตัว
เย่หยวนเองก็มองเห็นชายหนุ่มคนนี้มาตั้งแต่ก่อนหน้า เดิมทีตอนที่เขาเข้าท้าทายค่ายกลดาบสังหารสวรรค์นั้นเขาสามารถผ่านสามระดับแรกมาได้อย่างง่ายดาย มันจึงทำให้เย่หยวนประหลาดใจไม่น้อย
แต่ทว่าตัวเขาผู้นี้กลับไม่ได้คิดที่จะท้าทายค่ายกลต่อและเลือกที่จะเดินผ่านค่ายกลเคลื่อนย้ายมาทันที
แม้ว่าถังเหยียนคนนี้จะเป็นนักยุทธจรแต่เขาก็มีพลังฝีมือที่นับได้ว่าเหนือล้ำมาก
แต่ว่าเขานั้นทำตัวต่างจากฉูชิงหรือซัวหาน เพราะเขานั้นไม่พยายามที่จะทำตัวเด่นสักเท่าใด
“ที่แท้เป็นพี่ถังนี่เอง ยินดีที่ได้รู้จัก!”
เย่หยวนนั้นเป็นคนที่ตอบรับมารยาทด้วยมารยาท
ถังเหยียนคนนี้เข้ามาทักทายเขาด้วยรอยยิ้มและคำพูดแสนสุภาพ แน่นอนว่าเย่หยวนย่อมจะไม่ทำตัวเสียมารยาทใส่อีกฝ่าย
ถังเหยียนยิ้มตอบ “แท้จริงแล้วตอนที่อยู่ในประตูวิหคชาด ข้านั้นได้เห็นพี่เย่ลงมือจนรู้สึกขนลุกซู่ไปทั่วทั้งกาย! การผสานแนวคิดแห่งดาบและแนวคิดแห่งห้วงมิติเข้าด้วยกันได้ถึงขั้นนี้มันเป็นสิ่งที่ถังคนนี้เกิดมาไม่เคยพบเคยเห็น!”
เย่หยวนกล่าว “เจ้าเองก็พูดเกินไป พี่ถังเองก็คงไม่ได้มีพลังฝีมือที่ธรรมดาเช่นกันใช่ไหมเล่า?”
ถังเหยียนยิ้มขึ้นมาอย่างขื่นขมเมื่อได้ยินเช่นนั้น “หึ ถังคนนี้เคยคิดมาตลอดว่าตัวเองนั้นเก่งกาจแต่หากเทียบเคียงกับพี่เย่แล้วมันเหมือนอยู่กันคนละภพ ก่อนหน้าที่จะมานี้ถังคนนี้เองก็มั่นใจในตัวเองอย่างมากเหลือ แต่ตอนนี้มันช่างน่าขัน เมื่อขึ้นหลังเสือมาแล้วมันย่อมยากที่จะลงได้ ข้าเป็นเพียงแค่นักยุทธจรคนหนึ่งที่ไม่มีที่พึ่งพา ข้าแค่นึกสงสัยว่า… ข้าจะติดตามพี่เย่ไปได้หรือไม่? เป็นแค่ผู้ติดตามก็เพียงพอกับข้าแล้ว”
ถังเหยียนพูดออกมาอย่างสละสลวยแต่แท้จริงแล้วความหมายของเขาก็คือเขาต้องการจะได้คนช่วยคุ้มครอง
เพราะการต่อสู้เมื่อสักครู่นี้มันมิใช่สิ่งที่เขาจะยุ่งเกี่ยวด้วยได้เลย
นักยุทธจรหลายต่อหลายคนคิดที่จะเข้ามาเพื่อหยิบชิ้นปลามันไปในเรื่องราวอันยิ่งใหญ่นี้
เพราะไม่ว่าอย่างไรเสียเทพถ่องแท้ทั้งหลายก็ต้องกดพลังบ่มเพาะของตนลงมายังอาณาจักรนภาสวรรค์
แต่ตอนนี้ทุกผู้คนต่างได้รับพลังเดิมกลับคืนมา สำหรับนักยุทธ์นภาสวรรค์อย่างพวกเขาแล้วเรื่องราวมันคงไม่ง่ายอีก
ตอนนี้จะกลับตัวก็ไม่ได้ จะให้ไปต่อมันก็คงไม่มีทางถึง
แม้ว่าเย่หยวนคนนี้จะเป็นนักยุทธ์นภาสวรรค์เช่นกัน แต่ตอนนี้มันคงไม่มีใครที่จะมองว่าเขาคนนี้เป็นแค่นภาสวรรค์คนหนึ่งแล้ว
ถังเหยียนเข้ามาหาเขาในครั้งนี้ก็เพื่อที่จะหาผู้ช่วยนั่นเอง
เย่หยวนมองดูถังเหยียนอย่างร้อนแรงพยายามที่จะมองลึกเข้าไปถึงเจตนาแท้จริงของอีกฝ่าย
แต่ถังเหยียนนั้นมีใบหน้าและสายตาที่ซื่อตรง ดวงตาของเขาสงบนิ่งไม่มีสิ่งใดผสมฝนออกมาให้เห็นได้เลย
“หึๆ มิติวิเศษต่อจากนี้ไปมันคงยากเสียยิ่งกว่าค่ายกลดาบสังหารสวรรค์นี้ เย่คนนี้เองก็ยังไม่แน่ใจว่าจะสามารถดูแลตัวเองได้หรือไม่ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องการดูแลพี่ถังเลย ต้องขออภัย” เย่หยวนกล่าวขึ้นพร้อมยกมือคารวะแสดงท่าทางขอโทษ
หลังหยุดคิดไปพักหนึ่งสุดท้ายเย่หยวนก็เลือกที่จะปฏิเสธ
เพราะเขาเองก็มิใช่เด็กเมื่อวานซืนที่เพิ่งเข้ายุทธภพมา เรื่องที่ว่าใจคนยากแท้หยั่งถึงนั้นเขาได้พบเจอกันตัวมานับครั้งไม่ถ้วน
เหล่าคนที่เข้ามายังดินแดนศักดิ์สิทธิ์นี้มีใครบ้างที่ไม่ได้หวังสมบัติ?
คนตั้งมากมายที่เดินทางมาด้วยกันในครั้งนี้ คนที่เย่หยวนพอจะเชื่อใจได้จริงๆ มันก็เห็นคงมีแต่เล้งชิวหลิงเท่านั้น
แม้แต่กู่เทียนเฉ ตัวเย่หยวนเองก็ยังไม่คิดที่จะเชื่อมั่นให้มากมาย
แต่ตอนนี้กลับมีคนแปลกหน้าเดินเข้ามาขอร่วมกลุ่มด้วย มีหรือที่เขาจะยังเดินทางได้ข้างหน้าอย่างไว้วางใจได้?
เพราะแท้จริงแล้วสิ่งที่เย่หยวนกังวลที่สุดหาใช่เหล่าจีคังทั้งหลายไม่
การใช้พลังของธงศึกดาวฤกษ์มันก็แค่เพื่อสร้างข้ออ้าง แท้จริงแล้วเย่หยวนสามารถที่จะใช้พลังของเต๋าสวรรค์โดยตรงจัดการกับพวกจีคังก็ยังทำได้
แต่สิ่งที่เย่หยวนกังวลมากที่สุดในการเดินทางครั้งนี้ก็คือพวกเทพสวรรค์!
คำพูดทั้งหลายที่เขาบอกกล่าวฟางเทียนและพวกนั้นก็เพราะเรื่องนี้!
จะบอกว่าเย่หยวนนั้นแข็งแกร่งอย่างไร้เปรียบในดินแดนศักดิ์สิทธิ์มันก็ไม่ผิด แต่มันก็มีข้อจำกัด
ตอนนี้ดินแดนศักดิ์สิทธิ์นั้นกำลังค่อยๆ คืนพลังดั้งเดิมของมันกลับมา แต่มันก็ยังไม่มากพอที่จะต่อต้านเทพสวรรค์ในเวลานี้
หากเทพสวรรค์เข้ามาก่อเรื่องในดินแดนศักดิ์สิทธิ์นี้พวกเขาเหล่านั้นอาจจะทำให้โลกใบเล็กนี้แตกสลายเป็นเสี่ยงๆ
แม้ว่าจอมเทพนิรันดร์นั้นจะเป็นเทพสวรรค์เช่นกัน แต่เขาก็ไม่ได้เป็นแค่เทพสวรรค์ธรรมดาๆ ทั่วไป
เขานั้นแกร่งกว่าเทพสวรรค์คนอื่นๆ อย่างมากล้น!
แล้วจะมั่นใจได้อย่างไรว่าการเดินทางครั้งนี้จะไม่มีเทพสวรรค์ที่แอบซ่อนตัวกดพลังบ่มเพาะของตัวเองเข้ามา?
บนร่างของถังเหยียนนั้นมันไม่มีข้อบกพร่องใดๆ ให้จับได้
แต่ความสมบูรณ์แบบนี้เองที่เป็นข้อบกพร่องอย่างหนึ่ง!
เมื่อตอนที่เขาตรวจสอบเจตนาของถังเหยียน ถังเหยียนก็ยังคงทำตัวสงบนิ่งได้อย่างมาก
เพราะไม่ว่าอย่างไรเสียพลังที่เขาปล่อยออกมามันก็อยู่ในระดับของเทพถ่องแท้ขั้นสุด
แน่นอนว่าแค่นภาสวรรค์คนหนึ่งย่อมไม่มีทางทำหน้าเฉยเมินต่อตัวตนเช่นเขาได้แน่
แน่นอนว่าเย่หยวนเองก็ยังไม่ได้ตัดความคิดที่ว่าถังเหยียนนั้นเป็นแค่คนที่หนักแน่นและมั่นคงทิ้งไป
แต่เขานั้นแค่ไม่อยากจะเสี่ยง
ถังเหยียนถอนหายใจออกมา “ดูท่าถังคนนี้จะรีบร้อนเกินไป ข้าหวังว่าพี่เย่จะไม่คิดติดใจเอาความ ลาก่อน!”
เย่หยวนพยักหน้ารับไว้แต่ไม่ได้พูดใดๆ ตอบกลับไปอีก
เพราะตอนนี้ร่างของจี้ฉุนก็ได้ปรากฏขึ้นมาที่ฝั่งนี้
‘ฟุบ!’
โดยไม่คิดที่จะหยุดพักใดๆ จี้ฉุนใช้วิชาเคลื่อนย้ายออกมาอย่างถึงที่สุดและเพิ่มความเร็วพุ่งตัวหนีไปทันที
จี้ฉุนนั้นผ่านค่ายกลมาได้เพียงสามระดับ และสามระดับแรกนี้มันย่อมไม่สร้างความลำบากใดๆ ให้แก่เขาได้
ภายในค่ายกลนั้นเขาได้เห็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นในฝั่งนี้ทั้งสิ้น
แน่นอนว่าเขาย่อมเลือกที่จะพุ่งตัวหนีไปในวินาทีที่ออกมาได้
แต่เย่หยวนนั้นรอวินาทีนี้มาแสนนาน เขาหัวเราะลั่นขึ้นพร้อมโบกสะบัดธงศึกดาวฤกษ์ในมืออีกครั้งหนึ่ง
นั่นทำให้พลังแห่งดวงดาวอันรุนแรงพวยพุ่งเข้าไปกระแทกร่างของจี้ฉุนอย่างแรง
‘ปัง!’
จี้ฉุนกระอักเลือดคำโตออกมาแต่เขากลับเร่งความเร็วของตัวเพิ่มขึ้นจากแรงกระแทก!
“เย่หยวน! ความแค้นเราต้องได้สะสางกันสักวัน!”
ไกลออกไปเสียงโกรธแค้นของจี้ฉุนลอยมาตามลม
แต่คลื่นพลังของเขานั้นระส่ำอย่างมาก แสดงอย่างชัดเจนว่าเขากำลังบาดเจ็บหนัก
ทุกคนต่างมองดูภาพตรงหน้าด้วยความหวาดกลัว ได้แต่เงียบปากเหมือนจักจั่นในหน้าหนาว
ยอดฝีมือเทพถ่องแท้แปดดาวที่สุดแสนแข็งแกร่งผู้เป็นถึงเจ้าเมืองกลับวิ่งหนีเย่หยวนในวินาทีแรกที่เห็นหน้ากัน
เรื่องนี้มันไม่เคยมีให้เห็นมาก่อนบนโลกหล้า
…………………………