ที่นอกเมืองตอนนี้มันเต็มไปด้วยกองทหารพร้อมสามเทพถ่องแท้ที่เดินนำมาด้านหน้า
ส่วนตรงหน้าของพวกเขานั้นคือหยูจินซงที่ถูกเย่หยวนใช้ดาบจี้คอเดินมาพร้อมๆ กับเจียงยู่ถัง
“เด็กน้อย เราปล่อยเจียงยู่ถังมันไปแล้วแต่เจ้ายังไม่คิดปล่อย เจ้าไม่กลัวว่าจะถูกยอดเต๋าสะท้อนหรือ?” เทพถ่องแท้สองดาวคนนั้นกล่าว
เย่หยวนบอกกลับไป “ที่พวกเจ้าตามมาถึงตอนนี้มันก็เพื่อคิดฆ่าสังหารข้าหลังข้าปล่อยมันไปมิใช่หรือ?”
“หึ! เจ้าคิดว่าตัวเองจะรอดไปได้หรือ? พระนั้นหนีได้ แต่วัดนั้นหนีไม่ได้! เว้นเสียแต่ว่าเจ้าจะไม่สนใจชีวิตของผู้คนในเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์แล้ว!” หยูจินซงร้องบอก
เย่หยวนนั้นได้สาบานต่อเต๋าสวรรค์แล้วเพราะฉะนั้นเขาจึงไม่เกรงกลัวว่าเย่หยวนจะฆ่าสังหารเขาอีกในครานี้ เขาจึงยิ่งกล้าพูดอย่างไม่เกรงกลัวมากขึ้น
เรื่องราวที่มาของเย่หยวนนั้นทางจวนเจ้าเมืองได้ตรวจสอบจนครบถ้วนแล้ว หยูจินซงรู้ดีว่าการข่มขู่เย่หยวนด้วยเรื่องนี้มันต้องได้ผลที่สุด
แต่เย่หยวนกลับตอบมาอย่างเย็นชา “หากเจ้าจะส่งคนไปทำลายเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์ก็เป็นเรื่องที่ข้าไม่อาจห้ามปราบได้ แต่จากวันนี้ไปเจ้าจงระวังตัวให้มาก ไม่เช่นนั้นแล้วสักวันเจ้าอาจจะได้พบว่ามีดาบปักเข้าที่กลางอกอย่างไม่รู้ตัว”
หยูจินซงหน้าถอดสีทันทีที่ได้ยิน “เจ้าขู่ข้า? เจ้าไม่รู้หรือว่าจวนเจ้าเมืองนั้นมีเทพถ่องแท้มากมายเพียงใด?”
เย่หยวนนั้นตอบกลับไปด้วยท่าทางเฉยชา “ข้าแค่พูดบอกความจริง วันนี้เองก็มีเทพถ่องแท้ตั้งมากมายแต่สุดท้ายพวกเขาก็ไม่อาจปกป้องเจ้าได้”
เมื่อคำพูดเหล่านั้นถูกกล่าวตอนนี้มิใช่แค่หยูจินซง แต่รวมไปถึงเหล่าเทพถ่องแท้ทั้งหลายเองก็มีใบหน้าเหยเก
หยูจินซงนั้นเริ่มตัวสั่นขึ้นมา เพราะเขานั้นกลัวเรื่องนี้จริงๆ
เย่หยวนไปไหนมาไหนราวกับเงามืดแถมยังมีแนวคิดแห่งห้วงมิติที่ลึกล้ำ มันเป็นสิ่งที่ไม่อาจป้องกันได้เลย
และสิ่งที่น่ากลัวกว่าก็คือเจ้าลายสีฟ้านั่น!
หลังจากที่เขาถูกเย่หยวนดึงเข้ามิติลายพระเจ้าไปร่างกายของเขาก็หมดแรงความรู้ใดๆ จะขัดขืน
พลังแนวคิดใดๆ ที่เขาเคยบ่มเพาะฝึกฝนมาล้วนไร้ประโยชน์หายไปสิ้น!
ความไร้พลังนั้นมันยังสร้างความหวาดกลัวให้แก่ตัวเขามาจนถึงวินาทีนี้
เขาไม่คิดอยากจะต้องพบเจอเรื่องราวเช่นนั้นซ้ำอีกเป็นครั้งที่สอง!
แค่คิดว่าต้องถูกคนประหลาดเช่นนี้สะกดรอยตามทุกวัน หยูจินซงก็รู้สึกเสียวสันหลังเย็นวาบขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่แล้ว
หยูจินซงกัดฟันแน่นด้วยความโกรธแค้น “เจ้า! เจ้าจำเรื่องราววันนี้ไว้ให้ดี!”
การวางแผนล่อลวงผู้คน ใช้คำหว่านล้อมและต้อนให้จนมุมนั้นคือสิ่งที่หยูจินซงคนนี้ถนัดเป็นอย่างมากที่สุด ในชีวิตเขานั้นไม่เคยวางแผนใดแล้วผิดพลาดเช่นนี้มาก่อน
ไม่นึกว่าวันนี้แผนการใดๆ ของเขาทั้งหลายกลับถูกเย่หยวนผู้ลึกลับคนนี้ทำลายสิ้น ทำให้จิตใจของเขาเกิดความกังวลขึ้นอย่างมาก
แต่จู่ๆ หางตาของเย่หยวนก็กระตุกขึ้น “ในเมื่อมาแล้วพวกท่านจะไม่เผยตัวหน่อยหรือ?”
ไม่มีใครตอบกลับมา เหล่าทหารทั้งหลายเองก็คิดไปว่าเย่หยวนคงสมองเพี้ยนไปแล้วเพราะนอกจากพวกเขามันก็ไม่มีใครที่ไม่ปรากฏตัวอีก
แม้แต่เหล่าเทพถ่องแท้ทั้งหลายยังต้องมึนงง
เย่หยวนลากตัวหยูจินซงก่อนจะขยับร่างไปยังที่แห่งหนึ่งที่ไม่ห่างไปนัก
“ยังไม่ออกมาอีกหรือ?” เย่หยวนบอกอีกครั้ง
จู่ๆ ก็มีสองเงาร่างปรากฏออกมา
มันเป็นชายวัยกลางคนในชุดดำและชายชราในชุดเทา
“ท-ท่านเจ้าเมือง!”
“ท่านเจ้าสำนัก!”
ตอนนี้ทั้งเทพถ่องแท้สองดาวผู้นั้นและเฟยหมิงเทียนต่างร้องออกมาด้วยความตื่นตกใจ
เพราะเมื่อมาถึงขนาดนี้แล้วเฟยหมิงเทียนย่อมจะตามติดมาดูเรื่องราวให้ถึงที่สุดด้วย
และคนทั้งสองที่ปรากฏกายออกมานี้มันมิใช่ใครที่ไหนนอกจากเจ้าเมืองหลวงจักรพรรดิเก้ามั่น หยูเหวินเฟิงและเจ้าสำนักอากาศแจ่ม หลี่คงหมิง!
หลี่คงหมิงมองดูเย่หยวนด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความตื่นตะลึง “ช่างเป็นเด็กหนุ่มที่เก่งกาจ เจ้าเข้าใจในห้วงมิติมากกว่าที่เจ้าสำนักคนนี้คาดเดาไปนัก!”
ทุกคนต่างหันมามองดูเย่หยวนด้วยความตื่นตะลึง พวกเขาทั้งหลายนั้นได้แต่สงสัยว่าเย่หยวนไปตรวจเจอยอดคนทั้งสองนี้ได้อย่างไร
เพราะไม่ว่าอย่างไรเสียแม้แต่เทพถ่องแท้ทั้งหลายที่อยู่ในที่นี้ก็ยังไม่อาจสัมผัสได้ถึงตัวตนของคนทั้งสองนี้เลย!
เพราะฉะนั้นดวงตาของเหล่าเทพถ่องแท้ทั้งหลายจึงมองมายังเย่หยวนอย่างตกตะลึง
เย่หยวนนั้นสามารถจับสัมผัสของหยูเหวินเฟิงและหลี่คงหมิงได้ แต่พวกเขาไม่อาจรับรู้ แค่นี้มันก็แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนแล้วว่าเย่หยวนนั้นมีความเข้าใจในห้วงมิติที่เหนือล้ำกว่าพวกเขาแค่ไหน
แต่เย่หยวนนั้นยังเป็นเพียงแค่นภาสวรรค์ห้าดาว!
เย่หยวนไม่คิดสนใจหลี่คงหมิงและหันไปบอกที่อีกความว่างเปล่าหนึ่ง “หากข้าเดาไม่ผิดท่านคงเป็นท่านเจ้าหอยอดดอกแล้ว?”
ทุกคนสั่นสะท้านขึ้นทันที ไม่นึกไม่ฝันว่าแท้จริงแล้วเจ้าหอยอดดอกเองก็จะมาถึงที่นี่ด้วย
หยูเหวินเฟิงและหลี่คงหมิงเองก็หน้าถอดสีไป เพราะพวกเขานั้นไม่สามารถสัมผัสได้เลยว่ามีใครที่ยังซ่อนตัวอยู่ตรงนั้นด้วย
การซ่อนตัวในช่องว่างมิตินั้นเป็นการวิชาการซ่อนตัวระดับสูง
แน่นอนว่าการซ่อนตัวเช่นนี้มันย่อมขึ้นอยู่กับความเข้าใจในห้วงมิติของนักยุทธคนนั้นๆ
เมื่อบ่มเพาะไปได้ถึงอาณาจักรเทพถ่องแท้แล้วโลกใบน้อยของคนผู้นั้นก็นับได้ว่าสมบูรณ์ทำให้พวกเขาสามารถดึงพลังแห่งห้วงมิติจากโลกใบน้อยออกมาได้มากขึ้น
เพียงแค่ว่าการใช้งานพลังนั้นออกมามันล้วนแตกต่างไปตามแต่ละผู้คน
ต่อให้เป็นคนในอาณาจักรเดียวกัน มันก็อาจเกิดความแตกต่างที่ยิ่งใหญ่ได้
หยูเหวินเฟิงและหลี่คงหมิงนั้นสัมผัสได้ถึงตัวตนของอีกฝ่ายมานาน เพียงแค่ว่าพวกเขานั้นไม่อาจสัมผัสได้ถึงตัวตนของเจ้าหอยอดดอกเลย เรื่องนี้มันย่อมแสดงให้เห็นแล้วว่าในวิชานี้เจ้าหอยอดดอกนั้นเหนือล้ำกว่าพวกเขา
แต่แน่นอนว่าวิชาเช่นนั้นมันเป็นได้แค่ลูกเล่นกับเหล่ายอดฝีมือระดับนี้
เพราะแม้พวกเขาจะซ่อนตัวในห้วงมิติ แต่พวกเขาเองก็ใช้พลังใดๆ ออกมามิได้ ไม่เช่นนั้นแล้วหากใช้พลังออกมาแม้แต่น้อยอีกฝ่ายก็คงสามารถตรวจจับถึงการมีอยู่ได้ทันที จะใช้ลอบโจมตีก็คงไม่สามารถทำได้แล้วในเวลานั้น
แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นเรื่องราวนี้มันก็ยิ่งทำให้เจ้าหอยอดดอกดูลึกลับมากขึ้นไปกว่าเก่า
เพราะกับยอดฝีมือระดับพวกเขาทั้งหลายความแตกต่างเพียงน้อยมันก็มากพอจะสร้างชัยชนะได้
และการซ่อนตัวเช่นนี้มันยากที่จะตรวจพบ
แต่สุดท้ายแล้วพวกเขาทั้งสามคนกลับไม่สามารถรอดพ้นสายตาของเย่หยวนไปได้เลย!
มีหรือที่ทุกผู้คนจะไม่แตกตื่น?
เจ้าหอยอดดอกในชุดดำคนนั้นเดินออกมาจากความว่างเปล่า เพียงแค่ว่าแม้จะเป็นตอนนี้เขาก็ยังซ่อนอยู่ในผ้าคลุมดำทำให้ผู้คนไม่อาจเห็นเขาได้อย่างชัดเจน
“เจ้าหนุ่ม เจ้าช่างเก่งกาจ! เจ้าสนใจจะมาเข้าหอยอดดอกข้าหรือไม่?” เจ้าหอยอดดอกบอกขึ้น
นั่นทำให้หยูเหวินเฟิงและหลี่คงหมิงหน้าถอดสีทันที พวกเขาไม่นึกไม่ฝันว่าเจ้าหอยอดดอกคนนี้จะพูดเข้าเรื่องทันทีตั้งแต่เปิดปากครั้งแรก
“เย่หยวน เจ้าอย่าได้! สำนักอากาศแจ่มต่างหากคือบ้านของเจ้า!” หลี่คงหมิงบอก
หยูเหวินเฟิงเองก็พูดขึ้นตาม “เย่หยวน ตราบเท่าที่เจ้าเข้ากับจวนเจ้าเมืองเรา ข้าจะลืมเรื่องในวันนี้เสียและจะมอบที่ดินให้เจ้าเท่ากับหนึ่งร้อยเมือง!”
เมื่อคำพูดเหล่านั้นถูกกล่าวคนที่มองดูอยู่รอบๆ ก็ฮือฮาแตกตื่นขึ้นทันที!
ที่ดินเท่าร้อยเมืองนั้นมันจะมีทรัพยากรมากเพียงใด? จะมีนักยุทธในการปกครองขนาดไหนและจะสามารถสร้างกองกำลังแข็งแกร่งเช่นใดขึ้นได้?
สำหรับนักยุทธแล้วเรื่องนี้มันเหนือล้ำกว่าคำว่าน่าสนใจไปมาก!
ตราบเท่าที่เย่หยวนยอมรับคำ มันจะเท่ากับว่าเขาได้เป็นเจ้าเมืองหลวงจักรพรรดิน้อยๆ เมืองหนึ่งเลย
เดิมทีพวกเขาทั้งหลายนั้นคิดว่าสามยอดฝีมือนี้จะมาเพื่อลงโทษเย่หยวนแต่ไม่นึกไม่ฝันเลยว่าเรื่องมันจะกลับตาลปัตรได้ขนาดนี้
“ท่านพ่อ ข้า…”
“หุบปากไป! เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องยุ่ง!”
หยูจินซงที่พยายามจะพูดขึ้นกลับถูกหยูเหวินเฟิงขัดสั่งห้ามทันทีอย่างไร้เยื่อใย
เย่หยวนมองดูที่เจ้าหอยอดดอกพร้อมบอก “หากอยากให้ข้าร่วมหอยอดดอกมันย่อมเป็นไปได้ แต่ข้านั้นมีข้อแม้!”
“ข้อแม้ใด?”
ทุกคนนั้นใจสั่นรัวโดยเฉพาะทางหยูเหวินเฟิงและหลี่คงหมิง
“ส่งตัวหรงซีเยว่มาให้ข้า!” เย่หยวนบอก
เจ้าหอยอดดอกเงียบไปทันทีก่อนที่สุดท้ายจะบอกขึ้น “เจ้าเสนอเงื่อนไขอื่นมาแทน!”
เย่หยวนยกมือขึ้นโบกปัด “ข้านั้นแค่ยื่นข้อแม้ ท่านจะรับหรือไม่ก็ล้วนแล้วแต่ท่าน”
พูดจบเย่หยวนก็หันไปมองหยูเหวินเฟิง “ข้านั้นไม่ต้องการที่ดินหนึ่งร้อยเมืองใดๆ ข้าแค่ต้องการชีวิตของหยูจินซงผู้นี้! หากท่านยอมรับข้าจะเข้าจวนเจ้าเมือง!”
………………………..