“นี่มัน… นายท่านเจียงหัว ท่านช่วยผ่อนปรนหน่อยได้หรือไม่? เรานั้นมีเรื่องสำคัญจะพูดคุยกับผู้อาวุโสเจียงหยวนจริงๆ”
เซียวเฟิงนั้นไม่นึกฝันว่ารอมาตั้งนานกว่าเจ็ดวันเจ็ดคืนแต่กลับต้องมาพบเจอเรื่องราวเช่นนี้
เขานั้นไม่ได้กลัวที่จะเสียหน้าใดๆ แต่เขาแค่เจ็บปวดหัวใจที่ตัวเองไม่อาจช่วยเป็นกำลังใดๆ ให้เย่หยวนได้
มันเป็นเรื่องราวที่ยากจะยอมรับได้!
เดิมทีเขานั้นคิดว่าไม่ว่าอย่างไรเสียอาจารย์ของเขานั้นก็เป็นถึงจอมเทพโอสถห้าดาว อีกฝ่ายย่อมจะพอไว้หน้ากันบ้าง ไม่นึกไม่ฝันว่าอีกฝ่ายจะไม่คิดสนใจเลยแม้แต่น้อยเช่นนี้
เซียวเฟิงนั้นรู้สึกขมขื่นอยู่ในใจ
เพียงแค่เขานั้นยังไม่อยากยอมแพ้และคิดสู้ต่อมัน
แต่ใครจะไปคาดคิดว่าฝั่งเจียงหัวนั้นจะแสดงใบหน้าดำมืดออกมา “เรื่องสำคัญ? ตัวเจ้า แค่ผู้ดูแลระดับต่ำคนหนึ่งไม่ได้เข้าใจตำแหน่งของตัวเลยหรือ? ทุกคนมายังที่แห่งนี้เพื่อขอพบท่านผู้นำตระกูลด้วยเรื่องสำคัญกันทั้งสิ้น หากข้าปล่อยให้ทุกผู้คนเข้าไปแล้วมีหรือที่ข้าจะยังทำงานเป็นผู้ช่วยได้? ที่สำคัญจดหมายแนะนำจากจอมเทพโอสถห้าดาวมันก็จะช่วยให้เจ้าเข้าพบท่านผู้นำตระกูลได้แล้ว? ในยอดเมืองหลวงจักรพรรดินี้แค่จอมเทพโอสถห้าดาวมันจะมีค่าใด? เจ้ารีบไสหัวไป อย่าได้ขวางทางผู้คน!”
วินาทีนั้นความโกรธเคืองของเซียวเฟิงก็ปะทุขึ้นทันที
เขานั้นเป็นแค่คนไม่มีชื่อไร้อำนาจใดๆ แต่คำพูดดูถูกของเจียงหัวต่อตัวอาจารย์เขานั้นมันเป็นสิ่งที่เขาไม่อาจยอมรับได้
“เจ้า! จะดูถูกผู้คนจนเกินไปแล้ว! เจ้าเองก็เป็นแค่นภาสวรรค์ผู้หนึ่ง เจ้าคิดว่าตัวเองเก่งกาจมากมายหรือ?” เซียวเฟิงร้องขึ้นอย่างโกรธแค้น
เจียงหัวหรี่ตาลงทันทีและมือขึ้นตบลงมาอย่างไม่คิดส่งสัญญาณเตือนใดๆ
เซียวเฟิงนั้นเป็นแค่ราชันพระเจ้าคนหนึ่งแน่นอนว่าเมื่อเจอกับฝ่ามือนี้มันย่อมเหมือนมีขุนเขาพุ่งตกลงมาใส่ร่าง มีหรือที่เขาจะป้องกันไว้ได้?
แต่ในเวลานั้นเองที่เจียงหัวกลับรู้สึกถึงความเบลอที่ตรงหน้าก่อนจะพบว่าการโจมตีของเขานี้สูญเสียพลังไปจนสิ้น
“เร็ว!” เจียงหัวเบิกตากว้างทันทีด้วยความตื่นตกใจ
เขานั้นเป็นถึงนภาสวรรค์เก้าดาว แต่เขาคนนี้กลับไม่อาจมองเห็นได้เลยว่าเย่หยวนทำอะไรลงไปกันแน่!
เพราะไม่ว่าอย่างไรเสียในสายตาของเขาเย่หยวนก็เป็นแค่นภาสวรรค์เจ็ดดาวผู้หนึ่ง
แต่ทว่าเขานั้นก็ไม่ได้คิดสนใจเพราะที่แห่งนี้คือบ้านรตระกูลเจียง
“อะไร พวกเจ้าคิดจะมาก่อเรื่องในบ้านตระกูลเจียงหรือ?” เจียงหัวถามขึ้น
เย่หยวนมองดูใบหน้านั้นพร้อมพูดด้วยเสียงราบเรียบ “มันเป็นเจ้าแท้ๆ ที่โจมตีเข้ามาก่อน ทำไมจึงกลายเป็นเราเล่าที่มาก่อเรื่อง? ไม่ให้เจอก็ไม่ต้องเจอสิ เหตุใดต้องไปดูถูกว่าอาจารย์ผู้อื่นเขาด้วย ข้าจะไปทักพ่อเจ้าต่อหน้าเดี๋ยวนี้ เจ้าจะรู้สึกอย่างไร? เห็นไหม ข้ายังไม่ทันว่าอะไรใบหน้าของเจ้าก็เปลี่ยนสีไปแล้ว เพราะฉะนั้นเจ้าก็อย่าได้ไปดูถูกคนอื่นให้มากนัก อย่าได้วางดวงตาไว้สูงเหนือหัวนัก”
คำพูดทั้งหลายนี้เจียงหัวได้แต่ฟังมันด้วยใบหน้าที่เปลี่ยนสีไปมา
เย่หยวนนั้นด่าว่าเขาอยู่แน่ๆ แต่เขากลับรู้สึกเหมือนไม่ได้โดนด่า ทำให้เจียงหัวรู้สึกอึดอัดขึ้นในใจ
จากนั้นใบหน้าของเขาก็ดำมืดลงพร้อมตะโกนลั่น “หึ! ดูท่าพวกเจ้าจะไม่ได้คิดสนใจให้เกียรติตระกูลเจียงเลย! ยามทั้งหลาย มาจัดการจับตัวสั่งสอนพวกมันให้เข็ดหลาบ”
เย่หยวนหรี่ตาลงพร้อมด้วยพลังอันรุนแรงที่พุ่งทะยานเข้าครอบร่างของเจียงหัวทันที
นั่นทำให้เจียงหัวหน้าถอดสี เขารู้สึกราวกับว่าตัวเองนั้นกำลังถูกบีบ แค่จะหายใจยังยากเย็นแสนเข็น
เขานั้นตื่นตกใจอย่างมาก ทำไมนภาสวรรค์เจ็ดดาวคนนี้ถึงสามารถทำให้เขารู้สึกกดดันได้ถึงขนาดนี้?
ภายใต้คำสั่งนั้นนักยุทธนภาสวรรค์เก้าดาวสี่ถึงห้าคนก็ได้พุ่งตัวเข้ามาด้านใน แน่นอนว่าพวกเขานั้นย่อมเป็นยามดูแลความเรียบร้อยของบ้านตระกูลเจียงแล้ว
แม้ว่าในยอดเมืองหลวงจักรพรรดินั้นจะมีเทพถ่องแท้อยู่ไม่น้อย แต่มันย่อมไม่มีทางที่คนทั้งหลายนั้นจะมาเป็นแค่ยามทั่วๆ ไปให้แก่บ้านตระกูลเจียง
“ผู้ช่วยเจียง! ท่าน… ท่านปลอดภัยดีหรือไม่?”
เมื่อเหล่ายามทั้งหลายได้เห็นใบหน้าซีดเซียวของเจียงหัวพวกเขาทั้งหลายก็หน้าถอดสีไปตามๆ กัน
เพราะชายหนุ่มนภาสวรรค์เจ็ดดาวผู้นี้กลับทำให้พวกเขาทั้งหลายนั้นรู้สึกว่าตัวเองไม่อาจเทียบเคียงได้
มันเป็นความรู้สึกที่น่าพิลึก!
เย่หยวนมองดูเจียงหัว “เจ้านั้นใช้ชื่อเจ้านายรังแกผู้อื่น ที่เจ้าบอกว่าพวกข้าไม่เห็นตระกูลเจียงอยู่ในสายตานั้นเจ้าจะหมายความว่าตัวเข้า แค่ผู้ช่วยกระจอกๆ นี้เป็นตัวแทนของบ้านตระกูลเจียงได้หรือ? หรือเจ้าคิดว่าตัวเองได้กลายเป็นผู้นำตระกูลเจียงไปแล้ว? ช่างอวดดีเสียเหลือเกิน!”
เมื่อเหล่ายามทั้งหลายได้ยินพวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะหันมามองเจียงหัวด้วยสายตาแปลกๆ
แต่คำพูดนั้นมันทำให้เจียงหัวหน้าแดงขึ้นมา “จ-เจ้าใส่ร้ายผู้คนแล้ว!”
เย่หยวนหัวเราะออกมาเมื่อได้ยินเช่นนั้น “เจ้าพูดมันเองแท้ๆ ความอวดดีใดๆ นี้เจ้าก็แสดงมันออกมาเอง แต่เจ้ากลับมาบอกว่าข้านั้นใส่ร้ายผู้คน? คนที่คิดมาติดต่อตระกูลเจียงต้องพบเจอนิสัยเช่นนี้ของเจ้ากันทุกคนเลยหรือ? เรารอมาเจ็ดวันเจ็ดคืน ยื่นจดหมายแนะนำตัว และทำทุกสิ่งอย่างตามมารยาทที่ผู้คนควรมีแต่เจ้ากลับแค่มองมันผ่านๆ และไล่พวกเราให้ไสหัวไป? คนเช่นเจ้านี้คงไล่ผู้คนมากมายอย่างไม่คิดสนใจเลยใช่หรือไม่? ในฐานะคนรับใช้แล้วเจ้าได้แต่สร้างศัตรูให้เจ้านาย เรื่องนี้ข้าได้ใส่ร้ายเจ้าหรือไม่?”
เหล่ายามทั้งหลายต่างหันมองหน้ากันเพราะพวกเขานั้นรู้สึกได้จริงๆ ว่านับวันผู้ช่วยเจียงจะยิ่งอวดดีขึ้น
ตอนนี้เมื่อใดก็ตามที่เขาลงมือทำอะไรมันก็จะมีการวางท่าเสมอ
ทุกคนนั้นมีพลังบ่มเพาะที่ไม่ต่างกันมากมาย แต่เขานั้นกลับไม่คิดสนใจมองพวกเขาทั้งหลายว่าเป็นคนระดับเดียวกัน
เพราะฉะนั้นสิ่งที่เย่หยวนว่ามามันไม่ได้ผิดเลย
เมืองจักรพรรดินั้นยังพอว่าแต่เหล่าคนที่มาติดต่อนี้หลายต่อหลายคนนั้นเป็นยอดฝีมือมาจากเมืองหลวงจักรพรรดิ
อย่างที่เย่หยวนว่า ในหมู่คนทั้งหลายนี้หากมีใครคิดแสดงตัวไม่พอใจขึ้นมามันคงทำให้เกิดปัญหาใหญ่แก่เจ้านายของเขาเป็นแน่
และแน่นอนว่าความวุ่นวายนี้มันย่อมทำให้ผู้คนในเรือนรับรองต้องหันมาให้ความสนใจ
หลายๆ คนตอนนี้กำลังพยักหน้าเห็นด้วยกับเย่หยวนอยู่ในใจ
เพราะพวกเขาทั้งหลายนั้นมาเพื่อขอให้เจียงหยวนช่วยเหลือ พวกเขาทั้งหลายจึงได้แต่นั่งรออยู่ในเรือนรับรองอย่างไม่มีทางเลือก รอให้ถูกเรียกเข้าพบ
เพียงแค่ว่าจะได้เจอเจ้าตัวหรือไม่นั้นมันกลับขึ้นอยู่กับอารมณ์ของเจียงหัวล้วนๆ
หมายปีมานี้เจียงหัวได้ขูดรีดผู้คนไปมากมายแล้วด้วย
คนที่มาจากเมืองจักรพรรดิเหมือนเย่หยวนนี้เจียงหัวไม่คิดจะสนใจสนทนาด้วยและแน่นอนว่าย่อมไม่มีทางจะยื่นมือไปช่วยเหลือใดๆ
แต่เจียงหัวนั้นกลับหัวเราะขึ้นเมื่อได้ยิน “เจ้าจะหมายความว่าวันหน้าเจ้านั้นเก่งกาจ เป็นตัวตนที่ผู้นำตระกูลไม่กล้าไปลบหลู่? ฮ่าๆ! ข้าอยากรู้จริงๆ ว่าคนบ้านนอกเช่นเจ้าที่มาจากแค่เมืองจักรพรรดิมันจะมีเรื่องสำคัญใดเจรจากับผู้นำตระกูล!”
“ไม่ต้องแล้ว! ข้าจะให้ผู้นำตระกูลเจ้ามาหาข้าด้วยตัวเอง! พี่เซียว ไปกันเถอะ” เย่หยวนบอก
พูดไปเขาก็ดึงพลังที่กดดันเจียงหัวอยู่กลับมาและเดินนำเซียวเฟิงจากไปทันที
แต่เมื่อความกดดันบนร่างของเจียงหัวผ่อนลงเขาก็รู้สึกได้ถึงความโกรธแค้นที่ปะทุขึ้นเต็มหัวใจ
เมื่อเห็นเย่หยวนยเดินออกไปเช่นนั้นเจียงหัวจึงร้องตะโกนสั่ง “ไปเรียกข้ารับใช้เทพถ่องแท้ในบ้านหลักมาจัดการเจ้าเด็กคนนี้ให้ข้า! ข้าอยากรู้เสียจริงว่ามันจะเป็นคนใหญ่คนโตแค่ไหน!”
ฟุบ!
ดาบแสงลำหนึ่งพุ่งผ่านความว่างเปล่าเข้ามาจากหน้าประตูบ้านจนผ่านหูของเจียงหัวไปอย่างรุนแรง
เจียงหัวแค่รู้สึกถึงลมที่วิ่งผ่านหน้าไปพร้อมร่างกายที่แข็งทื่อไม่อาจขยับ
แกรก!
เสาไม้ที่ด้านหลังเจียงหัวหักลงเป็นสองท่อน
เจียงหัวได้แต่เบิกตากว้างมองดูภาพตรงหน้าราวกับว่าได้พบเจอยมบาลมาก็ไม่ปาน
เหงื่อเย็นเยือกไหลลงมาเต็มหน้าผากของเขา
เขานั้นได้แต่ยืนอยู่ตรงนั้นอย่างไม่กล้าขยับตัวจนเงาร่างของพวกเย่หยวนเดินหายไปจากเขตบ้านตระกูลเจียง
เหล่ายามทั้งหลายได้แต่มองภาพตรงหน้าอย่างตื่นตะลึง
พวกเขานั้นกำลังรู้สึกโล่งอยู่ลึกๆ ในใจ เพราะหากเมื่อสักครู่นี้พวกเขาคิดลงมือแล้วตอนนี้คงได้ลงไปนอนเป็นร่างไร้วิญญาณ!
ผสานแนวคิด! แนวคิดแห่งห้วงมิติ!
เด็กหนุ่มคนนี้มันไม่ธรรมดา!
จู่ๆ เจียงหัวก็สั่นสะท้านไปทั้งร่างเหมือนจะกลับมาได้สติอีกครั้ง
“มัน…มันไปแล้ว?” เจียงหัวถามยามทั้งหลายขึ้นด้วยท่าทางกังวลและหวาดกลัว
…………………………
“นี่มัน… นายท่านเจียงหัว ท่านช่วยผ่อนปรนหน่อยได้หรือไม่? เรานั้นมีเรื่องสำคัญจะพูดคุยกับผู้อาวุโสเจียงหยวนจริงๆ”
เซียวเฟิงนั้นไม่นึกฝันว่ารอมาตั้งนานกว่าเจ็ดวันเจ็ดคืนแต่กลับต้องมาพบเจอเรื่องราวเช่นนี้
เขานั้นไม่ได้กลัวที่จะเสียหน้าใดๆ แต่เขาแค่เจ็บปวดหัวใจที่ตัวเองไม่อาจช่วยเป็นกำลังใดๆ ให้เย่หยวนได้
มันเป็นเรื่องราวที่ยากจะยอมรับได้!
เดิมทีเขานั้นคิดว่าไม่ว่าอย่างไรเสียอาจารย์ของเขานั้นก็เป็นถึงจอมเทพโอสถห้าดาว อีกฝ่ายย่อมจะพอไว้หน้ากันบ้าง ไม่นึกไม่ฝันว่าอีกฝ่ายจะไม่คิดสนใจเลยแม้แต่น้อยเช่นนี้
เซียวเฟิงนั้นรู้สึกขมขื่นอยู่ในใจ
เพียงแค่เขานั้นยังไม่อยากยอมแพ้และคิดสู้ต่อมัน
แต่ใครจะไปคาดคิดว่าฝั่งเจียงหัวนั้นจะแสดงใบหน้าดำมืดออกมา “เรื่องสำคัญ? ตัวเจ้า แค่ผู้ดูแลระดับต่ำคนหนึ่งไม่ได้เข้าใจตำแหน่งของตัวเลยหรือ? ทุกคนมายังที่แห่งนี้เพื่อขอพบท่านผู้นำตระกูลด้วยเรื่องสำคัญกันทั้งสิ้น หากข้าปล่อยให้ทุกผู้คนเข้าไปแล้วมีหรือที่ข้าจะยังทำงานเป็นผู้ช่วยได้? ที่สำคัญจดหมายแนะนำจากจอมเทพโอสถห้าดาวมันก็จะช่วยให้เจ้าเข้าพบท่านผู้นำตระกูลได้แล้ว? ในยอดเมืองหลวงจักรพรรดินี้แค่จอมเทพโอสถห้าดาวมันจะมีค่าใด? เจ้ารีบไสหัวไป อย่าได้ขวางทางผู้คน!”
วินาทีนั้นความโกรธเคืองของเซียวเฟิงก็ปะทุขึ้นทันที
เขานั้นเป็นแค่คนไม่มีชื่อไร้อำนาจใดๆ แต่คำพูดดูถูกของเจียงหัวต่อตัวอาจารย์เขานั้นมันเป็นสิ่งที่เขาไม่อาจยอมรับได้
“เจ้า! จะดูถูกผู้คนจนเกินไปแล้ว! เจ้าเองก็เป็นแค่นภาสวรรค์ผู้หนึ่ง เจ้าคิดว่าตัวเองเก่งกาจมากมายหรือ?” เซียวเฟิงร้องขึ้นอย่างโกรธแค้น
เจียงหัวหรี่ตาลงทันทีและมือขึ้นตบลงมาอย่างไม่คิดส่งสัญญาณเตือนใดๆ
เซียวเฟิงนั้นเป็นแค่ราชันพระเจ้าคนหนึ่งแน่นอนว่าเมื่อเจอกับฝ่ามือนี้มันย่อมเหมือนมีขุนเขาพุ่งตกลงมาใส่ร่าง มีหรือที่เขาจะป้องกันไว้ได้?
แต่ในเวลานั้นเองที่เจียงหัวกลับรู้สึกถึงความเบลอที่ตรงหน้าก่อนจะพบว่าการโจมตีของเขานี้สูญเสียพลังไปจนสิ้น
“เร็ว!” เจียงหัวเบิกตากว้างทันทีด้วยความตื่นตกใจ
เขานั้นเป็นถึงนภาสวรรค์เก้าดาว แต่เขาคนนี้กลับไม่อาจมองเห็นได้เลยว่าเย่หยวนทำอะไรลงไปกันแน่!
เพราะไม่ว่าอย่างไรเสียในสายตาของเขาเย่หยวนก็เป็นแค่นภาสวรรค์เจ็ดดาวผู้หนึ่ง
แต่ทว่าเขานั้นก็ไม่ได้คิดสนใจเพราะที่แห่งนี้คือบ้านรตระกูลเจียง
“อะไร พวกเจ้าคิดจะมาก่อเรื่องในบ้านตระกูลเจียงหรือ?” เจียงหัวถามขึ้น
เย่หยวนมองดูใบหน้านั้นพร้อมพูดด้วยเสียงราบเรียบ “มันเป็นเจ้าแท้ๆ ที่โจมตีเข้ามาก่อน ทำไมจึงกลายเป็นเราเล่าที่มาก่อเรื่อง? ไม่ให้เจอก็ไม่ต้องเจอสิ เหตุใดต้องไปดูถูกว่าอาจารย์ผู้อื่นเขาด้วย ข้าจะไปทักพ่อเจ้าต่อหน้าเดี๋ยวนี้ เจ้าจะรู้สึกอย่างไร? เห็นไหม ข้ายังไม่ทันว่าอะไรใบหน้าของเจ้าก็เปลี่ยนสีไปแล้ว เพราะฉะนั้นเจ้าก็อย่าได้ไปดูถูกคนอื่นให้มากนัก อย่าได้วางดวงตาไว้สูงเหนือหัวนัก”
คำพูดทั้งหลายนี้เจียงหัวได้แต่ฟังมันด้วยใบหน้าที่เปลี่ยนสีไปมา
เย่หยวนนั้นด่าว่าเขาอยู่แน่ๆ แต่เขากลับรู้สึกเหมือนไม่ได้โดนด่า ทำให้เจียงหัวรู้สึกอึดอัดขึ้นในใจ
จากนั้นใบหน้าของเขาก็ดำมืดลงพร้อมตะโกนลั่น “หึ! ดูท่าพวกเจ้าจะไม่ได้คิดสนใจให้เกียรติตระกูลเจียงเลย! ยามทั้งหลาย มาจัดการจับตัวสั่งสอนพวกมันให้เข็ดหลาบ”
เย่หยวนหรี่ตาลงพร้อมด้วยพลังอันรุนแรงที่พุ่งทะยานเข้าครอบร่างของเจียงหัวทันที
นั่นทำให้เจียงหัวหน้าถอดสี เขารู้สึกราวกับว่าตัวเองนั้นกำลังถูกบีบ แค่จะหายใจยังยากเย็นแสนเข็น
เขานั้นตื่นตกใจอย่างมาก ทำไมนภาสวรรค์เจ็ดดาวคนนี้ถึงสามารถทำให้เขารู้สึกกดดันได้ถึงขนาดนี้?
ภายใต้คำสั่งนั้นนักยุทธนภาสวรรค์เก้าดาวสี่ถึงห้าคนก็ได้พุ่งตัวเข้ามาด้านใน แน่นอนว่าพวกเขานั้นย่อมเป็นยามดูแลความเรียบร้อยของบ้านตระกูลเจียงแล้ว
แม้ว่าในยอดเมืองหลวงจักรพรรดินั้นจะมีเทพถ่องแท้อยู่ไม่น้อย แต่มันย่อมไม่มีทางที่คนทั้งหลายนั้นจะมาเป็นแค่ยามทั่วๆ ไปให้แก่บ้านตระกูลเจียง
“ผู้ช่วยเจียง! ท่าน… ท่านปลอดภัยดีหรือไม่?”
เมื่อเหล่ายามทั้งหลายได้เห็นใบหน้าซีดเซียวของเจียงหัวพวกเขาทั้งหลายก็หน้าถอดสีไปตามๆ กัน
เพราะชายหนุ่มนภาสวรรค์เจ็ดดาวผู้นี้กลับทำให้พวกเขาทั้งหลายนั้นรู้สึกว่าตัวเองไม่อาจเทียบเคียงได้
มันเป็นความรู้สึกที่น่าพิลึก!
เย่หยวนมองดูเจียงหัว “เจ้านั้นใช้ชื่อเจ้านายรังแกผู้อื่น ที่เจ้าบอกว่าพวกข้าไม่เห็นตระกูลเจียงอยู่ในสายตานั้นเจ้าจะหมายความว่าตัวเข้า แค่ผู้ช่วยกระจอกๆ นี้เป็นตัวแทนของบ้านตระกูลเจียงได้หรือ? หรือเจ้าคิดว่าตัวเองได้กลายเป็นผู้นำตระกูลเจียงไปแล้ว? ช่างอวดดีเสียเหลือเกิน!”
เมื่อเหล่ายามทั้งหลายได้ยินพวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะหันมามองเจียงหัวด้วยสายตาแปลกๆ
แต่คำพูดนั้นมันทำให้เจียงหัวหน้าแดงขึ้นมา “จ-เจ้าใส่ร้ายผู้คนแล้ว!”
เย่หยวนหัวเราะออกมาเมื่อได้ยินเช่นนั้น “เจ้าพูดมันเองแท้ๆ ความอวดดีใดๆ นี้เจ้าก็แสดงมันออกมาเอง แต่เจ้ากลับมาบอกว่าข้านั้นใส่ร้ายผู้คน? คนที่คิดมาติดต่อตระกูลเจียงต้องพบเจอนิสัยเช่นนี้ของเจ้ากันทุกคนเลยหรือ? เรารอมาเจ็ดวันเจ็ดคืน ยื่นจดหมายแนะนำตัว และทำทุกสิ่งอย่างตามมารยาทที่ผู้คนควรมีแต่เจ้ากลับแค่มองมันผ่านๆ และไล่พวกเราให้ไสหัวไป? คนเช่นเจ้านี้คงไล่ผู้คนมากมายอย่างไม่คิดสนใจเลยใช่หรือไม่? ในฐานะคนรับใช้แล้วเจ้าได้แต่สร้างศัตรูให้เจ้านาย เรื่องนี้ข้าได้ใส่ร้ายเจ้าหรือไม่?”
เหล่ายามทั้งหลายต่างหันมองหน้ากันเพราะพวกเขานั้นรู้สึกได้จริงๆ ว่านับวันผู้ช่วยเจียงจะยิ่งอวดดีขึ้น
ตอนนี้เมื่อใดก็ตามที่เขาลงมือทำอะไรมันก็จะมีการวางท่าเสมอ
ทุกคนนั้นมีพลังบ่มเพาะที่ไม่ต่างกันมากมาย แต่เขานั้นกลับไม่คิดสนใจมองพวกเขาทั้งหลายว่าเป็นคนระดับเดียวกัน
เพราะฉะนั้นสิ่งที่เย่หยวนว่ามามันไม่ได้ผิดเลย
เมืองจักรพรรดินั้นยังพอว่าแต่เหล่าคนที่มาติดต่อนี้หลายต่อหลายคนนั้นเป็นยอดฝีมือมาจากเมืองหลวงจักรพรรดิ
อย่างที่เย่หยวนว่า ในหมู่คนทั้งหลายนี้หากมีใครคิดแสดงตัวไม่พอใจขึ้นมามันคงทำให้เกิดปัญหาใหญ่แก่เจ้านายของเขาเป็นแน่
และแน่นอนว่าความวุ่นวายนี้มันย่อมทำให้ผู้คนในเรือนรับรองต้องหันมาให้ความสนใจ
หลายๆ คนตอนนี้กำลังพยักหน้าเห็นด้วยกับเย่หยวนอยู่ในใจ
เพราะพวกเขาทั้งหลายนั้นมาเพื่อขอให้เจียงหยวนช่วยเหลือ พวกเขาทั้งหลายจึงได้แต่นั่งรออยู่ในเรือนรับรองอย่างไม่มีทางเลือก รอให้ถูกเรียกเข้าพบ
เพียงแค่ว่าจะได้เจอเจ้าตัวหรือไม่นั้นมันกลับขึ้นอยู่กับอารมณ์ของเจียงหัวล้วนๆ
หมายปีมานี้เจียงหัวได้ขูดรีดผู้คนไปมากมายแล้วด้วย
คนที่มาจากเมืองจักรพรรดิเหมือนเย่หยวนนี้เจียงหัวไม่คิดจะสนใจสนทนาด้วยและแน่นอนว่าย่อมไม่มีทางจะยื่นมือไปช่วยเหลือใดๆ
แต่เจียงหัวนั้นกลับหัวเราะขึ้นเมื่อได้ยิน “เจ้าจะหมายความว่าวันหน้าเจ้านั้นเก่งกาจ เป็นตัวตนที่ผู้นำตระกูลไม่กล้าไปลบหลู่? ฮ่าๆ! ข้าอยากรู้จริงๆ ว่าคนบ้านนอกเช่นเจ้าที่มาจากแค่เมืองจักรพรรดิมันจะมีเรื่องสำคัญใดเจรจากับผู้นำตระกูล!”
“ไม่ต้องแล้ว! ข้าจะให้ผู้นำตระกูลเจ้ามาหาข้าด้วยตัวเอง! พี่เซียว ไปกันเถอะ” เย่หยวนบอก
พูดไปเขาก็ดึงพลังที่กดดันเจียงหัวอยู่กลับมาและเดินนำเซียวเฟิงจากไปทันที
แต่เมื่อความกดดันบนร่างของเจียงหัวผ่อนลงเขาก็รู้สึกได้ถึงความโกรธแค้นที่ปะทุขึ้นเต็มหัวใจ
เมื่อเห็นเย่หยวนยเดินออกไปเช่นนั้นเจียงหัวจึงร้องตะโกนสั่ง “ไปเรียกข้ารับใช้เทพถ่องแท้ในบ้านหลักมาจัดการเจ้าเด็กคนนี้ให้ข้า! ข้าอยากรู้เสียจริงว่ามันจะเป็นคนใหญ่คนโตแค่ไหน!”
ฟุบ!
ดาบแสงลำหนึ่งพุ่งผ่านความว่างเปล่าเข้ามาจากหน้าประตูบ้านจนผ่านหูของเจียงหัวไปอย่างรุนแรง
เจียงหัวแค่รู้สึกถึงลมที่วิ่งผ่านหน้าไปพร้อมร่างกายที่แข็งทื่อไม่อาจขยับ
แกรก!
เสาไม้ที่ด้านหลังเจียงหัวหักลงเป็นสองท่อน
เจียงหัวได้แต่เบิกตากว้างมองดูภาพตรงหน้าราวกับว่าได้พบเจอยมบาลมาก็ไม่ปาน
เหงื่อเย็นเยือกไหลลงมาเต็มหน้าผากของเขา
เขานั้นได้แต่ยืนอยู่ตรงนั้นอย่างไม่กล้าขยับตัวจนเงาร่างของพวกเย่หยวนเดินหายไปจากเขตบ้านตระกูลเจียง
เหล่ายามทั้งหลายได้แต่มองภาพตรงหน้าอย่างตื่นตะลึง
พวกเขานั้นกำลังรู้สึกโล่งอยู่ลึกๆ ในใจ เพราะหากเมื่อสักครู่นี้พวกเขาคิดลงมือแล้วตอนนี้คงได้ลงไปนอนเป็นร่างไร้วิญญาณ!
ผสานแนวคิด! แนวคิดแห่งห้วงมิติ!
เด็กหนุ่มคนนี้มันไม่ธรรมดา!
จู่ๆ เจียงหัวก็สั่นสะท้านไปทั้งร่างเหมือนจะกลับมาได้สติอีกครั้ง
“มัน…มันไปแล้ว?” เจียงหัวถามยามทั้งหลายขึ้นด้วยท่าทางกังวลและหวาดกลัว
…………………………