การพักผ่อนนี้เย่หยวนได้นอนหลับยาวไปนานถึงสิบวันสิบคืน
สำหรับเหล่านักยุทธ์อาณาจักรพระเจ้าแล้วพวกเขาทั้งหลายนั้นไม่ต้องนอนหลับก็สามารถพักผ่อนร่างกายได้
แต่ตอนนี้สภาพของเย่หยวนนั้นเหนื่อยหนักจนเกินเยียวยา เขาต้องการหลับให้ลึกเพื่อฟื้นคืนสภาพให้กลับมาสมบูรณ์ดังเดิม
ในวันนี้เย่หยวนได้ตื่นขึ้นมาและพบกับดวงตาคู่โตคู่หนึ่งที่จ้องมองมายังใบหน้าของเขา
พร้อมๆ กับจมูกของหมูที่กำลังถูอยู่กับจมูกของตัวเขา
“หมูสมบัติ? ตงน้อยเข้าการเก็บตัวแล้ว?” เย่หยวนเข้าใจเรื่องราวได้ในทันที
‘อู๊ดๆ!’
หมูสมบัติพยักหน้า กันเป็นสัญญาณบอกว่าเย่หยวนเข้าใจถูก
“นายท่าน ท่านตื่นแล้ว! ตงน้อยได้กินโอสถย้อนฝันพิรุณชำระเข้าไปแล้วและเริ่มเข้าสู่การเก็บตัวภายในโถงบัลลังก์ม่วงเป็นที่เรียบร้อย” หนิงเทียนปิงบอก
เวลาหลายวันมานี้พวกหนิงเทียนปิงได้เฝ้าดูอาการของเย่หยวนอยู่ตลอด
เมื่อได้เห็นเขาตื่นขึ้นมาเช่นนี้พวกเขาทั้งหลายก็ได้แต่ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
เย่หยวนค่อยๆ ลุกขึ้นพร้อมพยักหน้ารับ “เสียเวลาไปนาน เรามาเริ่มทำธุระสำคัญกันเถอะ”
เซียวเฟิงหรี่ตาลงทันทีที่ได้ยิน “เจ้าคิดอยากทำอะไรต่อ?”
เย่หยวนบอก “เขาว่ากันว่าเทพสวรรค์เปียวหยูได้ตั้งศาลายาสวรรค์ขึ้นโดยใช้การแข่งขันหลอมโอสถเพื่อตัดสินความเก่งกาจของจอมเทพโอสถมิใช่หรือ? เช่นนั้นเราไม่ลองไปดูกันหน่อยเล่า!”
เมื่อเซียวเฟิงได้ยินเช่นนั้นเขาก็อดไม่ได้ที่จะตื่นเต้นขึ้นมาตามพร้อมยกมือตบเข่าฉาดใหญ่ “ไอหย่า ข้านี่โง่จริงๆ ทำไมถึงไม่คิดถึงมันมาก่อนกัน? ด้วยพลังฝีมือของเจ้าแล้วแค่ไปแข่งทุกผู้คนก็คงต้องมาตามหาตัวเราอยากร่วมธุรกิจด้วยแล้ว เรื่องนี้จะชักช้าไม่ได้อีก รีบไปกันเลยเถอะ!”
เย่หยวนยิ้มออกมา “ไม่ต้องรีบร้อน! การหลอมโอสถในครั้งนี้ข้าเองก็ได้ความรู้มามาก รอให้ข้าจัดการทบทวนเรื่องที่ได้พบเจอมาก่อน วันพรุ่งนี้เราค่อยไปที่ศาลายาสวรรค์กัน”
เขาเริ่มทำการนั่งสมาธิเก็บตัวจัดการความรู้และความรู้สึกทั้งหลายที่ได้เจอมาช่วงเดือนนี้
ที่ตงน้อยพูดมานั้นมันไม่มีผิด การหลอมโอสถครั้งนี้มันเป็นสิ่งที่ท้าทายที่สุดแก่เขาตั้งแต่เขาเริ่มชีวิตของนักหลอมโอสถมา
ต่อให้เป็นตอนที่หลอมโอสถท้าทายสวรรค์เมื่อตอนนั้นมันก็ยังไม่เหนื่อยอ่อนเท่าตอนนี้
เย่หยวนใช้เวลาไปกว่ายี่สิบวันเพื่อทำการคาดเดาและวิเคราะห์คุณสมบัติของสมุนไพรแต่ละด้าน พยายามหาข้อผิดพลาดในการคาดเดาของตนและเริ่มทำการวิเคราะห์อนุมานอีกครั้ง
เมื่ออนุมานถึงความเป็นไปได้ต่างๆ จนครบด้านเย่หยวนก็เริ่มทำการตั้งสูตรโอสถ
และเช่นนั้น เวลาก็ผ่านไปได้ถึงหนึ่งเดือน เย่หยวนได้ใช้เวลาทุกวินาทีระหว่างนั้นไปกับการคาดเดาอนุมานต่างๆ อย่างไม่มีพัก
ทำเช่นนั้นแล้วมีหรือที่จะยังไม่เหนื่อยได้?
จนเขาเองก็พึงพอใจกับผลที่ออกมาอย่างมาก
การสามารถหลอมโอสถย้อนฝันพิรุณชำระให้ถึงขั้นเทวะวิญญาณไพศาลได้มันย่อมทำให้เย่หยวนรู้สึกได้ถึงความสำเร็จ
และเรื่องราวในครั้งนี้มันก็ทำให้เขาเข้าใจในคุณสมบัติของสมุนไพรวิญญาณขึ้นอีกมาก
คุณสมบัติด้านยาของสมุนไพรต่างๆ นั้นมันไม่ได้แน่นอนอย่างตายตัว แถมแต่ละด้านยังมีความเกี่ยวพันที่เด่นชัดอยู่เพียงแค่ความเกี่ยวพันนี้มันสุดแสนที่จะซับซ้อนทำให้การอนุมานตามธรรมดาไม่อาจจะสามารถเข้าใจพวกมันได้
แต่หลังจากได้ลองวิเคราะห์และอนุมานมันจริงๆ แล้วเขาก็ได้รับประโยชน์อย่างมหาศาล
แม้ว่าเรื่องนี้มันจะไม่อาจช่วยให้ความรู้ของเย่หยวนบรรลุขึ้นถึงอาณาจักรบรรพกาลได้แต่มันก็ช่วยทำให้พื้นฐานของเขาหนักแน่นขึ้นอย่างมาก
เวลาหนึ่งคืนนั้นจึงได้ผ่านไปอย่างเงียบงัน
ในวันต่อมาเย่หยวนออกจากห้องหลอมโอสถที่เช่าไว้และออกไปจ่ายเงินพร้อมๆ กับเดินทางออกจากแหล่งรวมร้อยสมุนไพร
ห้องหลอมโอสถในแหล่งรวมร้อยสมุนไพรนั้นถูกตั้งขึ้นเพื่อหลอมชั่วคราวหน้าร้านขาย ทำให้ราคาค่าเช่าของมันนั้นค่อนข้างจะสูงเมื่อเย่หยวนอยู่ภายในถึงสี่สิบวันมันจึงทำให้เขาต้องจ่ายไปมากจนรู้สึกเจ็บปวดขึ้นมาในใจ
ขณะที่พวกเขาทั้งหลายกำลังเดินทางออกมาพวกเขาก็ได้พบกับชายรับใช้หนุ่มผู้หนึ่งเดินเข้ามาขวางทางเย่หยวนไว้
ชายผู้นั้นถามขึ้น “ท่านใช่ท่านเย่หยวนหรือไม่?”
ชายหนุ่มมึนงงไปชั่วขณะก่อนจะพยักหน้าตอบกลับไป “ใช่แล้ว ข้าคือเย่หยวน เจ้ามาหาข้ามีเรื่องใด?”
ชายรับใช้บอก “เมื่อสักครู่นี้ได้มีคนส่งสารมาแก่ท่านว่าหากอยากพบกับท่านผู้อาวุโสเจียงหยวนให้ท่านไปยังเรือนสนดำที่ถนนป่าใต้”
เมื่อเย่หยวนได้ยินเช่นนั้นดวงตาทั้งสองของเขาก็เบิกกว้างทันทีก่อนจะตอบกลับไปด้วยรอยยิ้ม “เจ้ากลับไปบอกมันว่าข้าไม่สนใจ”
พูดจบเย่หยวนก็พาคนทั้งหลายเดินจากไปทันที
ตั้งแต่วินาทีแรกที่ชายรับใช้คนนี้พูดออกมาเย่หยวนก็เข้าใจได้ทันทีว่านี่คงเป็นคนของเจียงหัวแล้ว
แม้ว่าจะมีคนอีกมากมายที่รู้ว่าเขานั้นคิดจะพบเจียงหยวนตอนที่อยู่ในเรือนรับรองนั้นและมันก็อาจจะเป็นหนึ่งในคนทั้งหลายนั้น แต่สัญชาตญาณของเย่หยวนมันบอกว่านี่คือฝีมือเจียงหัว
เจียงหัวผู้นี้คงไม่อาจหาวิธีการอื่นใดได้จึงได้แต่ต้องส่งคนมาเรียกความสนใจเขาเช่นนี้เพื่อจะได้จัดการเขาลงได้
เย่หยวนได้แต่หัวเราะเย้ยอยู่ในใจ เจียงหัวนั้นคิดว่าเขาเป็นแค่เด็กหนุ่มไม่รู้โลกไม่มีประสบการณ์จึงคิดใช้วิธีการโง่เง่าเช่นนี้มาหลอกเขาไปกำจัดอย่างนั้นหรือ?
จะดูถูกกันมากเกินไปหน่อยแล้ว!
แต่แม้ว่าเขาจะไม่อาจมองแผนนี้ของเจียงหัวออกเย่หยวนก็ไม่ได้คิดจะกลับไปขอพบกับเจียงหยวนใดๆ อีกต่อไปแล้ว
เพราะลูกผู้ชายย่อมพูดคำไหนคำนั้น
ต่อให้สุดท้ายเย่หยวนจะได้ร่วมงานกับโถงวาโยขจีจริงแต่เขาก็จะรอให้เจียงหยวนมาขอร้องเขา มิใช่เขาไปขอร้องแก่เจียงหยวนอีก
…
ที่เรือนสนดำที่ทางฉินกวนที่ได้ยินคำรายงานของคนรับใช้ก็ต้องขมวดคิ้วขึ้นทันที
“หรือว่าไอ้เด็กคนนี้มันไม่คิดจะพบเจอกับผู้อาวุโสเจียงหยวนแล้ว?”
เจียงหัวยิ้มออกมาอย่างเย็นเยือก “เด็กคนนี้มันกล้า! แต่ถึงมันจะไม่มาก็ไม่ได้หมายความว่าข้าจะไม่สามารถบังคับให้มันมาได้! เจ้าเดินทางไปอีกครั้งและบอกเย่หยวนเช่นนี้ มันต้องติดตามเจ้ากลับมาแน่!”
เจียงหัวเอียงคอไปบอกคนรับใช้ผู้นั้น ฝ่ายคนรับใช้ที่ได้รับคำสั่งก็รีบเดินทางออกไปทันที
ฉินกวนที่ได้ยินได้ฟังเช่นนั้นก็อดไม่ได้ที่จะยกนิ้วขึ้นมาชูชื่นชม “หึ สมแล้ว! ยอดเยี่ยมจริง! น้องเจียงหัวนี่ช่างทำตัวได้เหมาะสมกับตำแหน่งคนสนิทผู้นำตระกูล!”
เจียงหัวยิ้มออกมาก่อนจะหรี่ตาลง “หากแค่เด็กนภาสวรรค์คนหนึ่งยังจัดการไม่ได้ข้า ผู้ช่วยผู้นี้ก็คงใช้ชีวิตมาอย่างเสียเปล่าแล้ว ท่านพี่ข้าคงต้องฝากเรื่องราวที่เหลือให้ท่านด้วย ท่านผู้นำตระกูลยังมีงานทิ้งไว้ให้ข้าทำอีกมาก คงต้องขอตัวก่อน”
ฉินกวนยิ้มรับ “เจ้าไปทำงานต่อเถอะ เรื่องราวเล็กๆ แค่นี้ข้าจัดการเอง”
ไม่นานหลังจากคนรับใช้เดินทางออกไปเขาก็ได้นำพาเย่หยวนกลับมาจริงๆ
ที่สำคัญไปกว่านั้นคือเย่หยวนมาแค่คนเดียว
เมื่อเข้ามาถึงเรือนสนดำแล้วเย่หยวนก็รู้สึกได้ทันทีว่ามันมีค่ายกลบางอย่างทำงานขึ้น
แต่เพียงแค่ว่าค่ายกลระดับนี้มันไม่อาจจะทำอะไรแก่เย่หยวนได้เลย
ด้วยความเข้าใจในแนวคิดแห่งห้วงมิติของเขาในตอนนี้ การจะหนีนั้นมันไม่เคยเป็นเรื่องยากเย็น
เมื่อเจ้าตัวเรือนมาเย่หยวนก็ได้พบกับชายวัยกลางคนผู้หนึ่งกำลังนั่งรินชาอยู่
คนรับใช้ร้องบอก “นายท่าน ข้าพาเย่หยวนมาแล้ว”
ฉินกวนยกมือขึ้นโบกเป็นสัญญาณไล่คนใช้ไป
เย่หยวนหรี่ตาลงมองที่ฉินกวนพร้อมถามขึ้น “เจ้าหรือคือคนที่ใช้พี่เซียวเฟิงมาข่มขู่ข้า?”
คนรับใช้ผู้นี้ได้ออกไปตามหาเย่หยวนอีกครั้งพร้อมบอกเย่หยวนว่าเซียวเฟิงนั้นนับเป็นคนของโถงวาโยขจี
หากเขานั้นไม่ยอมมายังเรือนสนดำแล้วเซียวเฟิงจะต้องไม่ได้ตายดี!
แน่นอนว่าด้วยตำแหน่งอำนาจของเจียวหัวแล้วผู้ดูแลระดับต่ำอย่างเซียวเฟิงย่อมจะไร้ค่าใดๆ ไป
ถึงแม้ว่าอีกฝ่ายเองก็จะเป็นแค่ผู้ช่วยก็ตาม
เมื่อพลังอำนาจของเจียงหัวแล้วตราบเท่าที่เขาคิดสั่งเขาก็ย่อมสามารถจัดการกับเซียวเฟิงได้อย่างรุนแรงเหลือจินตนาการ
ฉินกวนมองดูเย่หยวนและหัวเราะออกมา “เด็กน้อย เจ้ามันช่างอวดดีจริงๆ! มาถึงบ้านข้าแล้วเจ้ากลับยังกล้าพูดเช่นนี้หรือ?”
เย่หยวนตอบกลับไป “เจียงหัวอยู่ไหนเล่า?”
ฉินกวนยิ้มออกมา “เจ้าไปลบหลู่น้องเจียงหัวและจึงต้องมาพบเจอเรื่องราวเช่นวันนี้ เจ้าหรือเซียวเฟิงมันต้องมีคนตาย! และเมื่อเจ้ามาแล้วมันก็ย่อมหมายความว่าเจ้าเลือกทางแรก”
เย่หยวนมองดูฉินกวนอย่างเย็นเยือก “ด้วยแค่คนอย่างเจ้านี้?”
ฉินกวนยกแก้วชาขึ้นมาดื่มก่อนจะตอบกลับมาด้วยรอยยิ้ม “จะตายอยู่แล้วยังมีหน้ามาอวดดี! หากข้าไม่มีปัญญาจะกำจัดแม้แต่นภาสวรรค์เจ็ดดาวผู้หนึ่งชีวิตการบ่มเพาะของข้านี้จะมีค่าใด”
พูดจบดวงตาของเขาก็เย็นเยือกลงทันทีพร้อมด้วยพลังโลกอันมหาศาลที่พุ่งทะยานครอบไปทั่วเรือน
ฉินกวนนั้นย่อมไม่กล้าจะลงมือกลางถนนที่มาด้วยผู้คน แต่เมื่อเขาสามารถเรียกให้เย่หยวนมาถึงเรือนสนดำนี้ได้แล้วเขาก็ย่อมกล้าที่จะลงมือสังหารอย่างแน่นอน
เย่หยวนมองดูที่อีกฝ่ายราวกับเป็นคนโง่ “เดิมทีข้าแค่คิดจะมากำจัดเจียงหัวทิ้งเสีย เจ้าตัวปัญหานั้น แต่เมื่อมันไม่อยู่เจ้าก็คงได้แต่ต้องโทษตัวเองที่ไม่มีโชคแล้ว”
…………………………
การพักผ่อนนี้เย่หยวนได้นอนหลับยาวไปนานถึงสิบวันสิบคืน
สำหรับเหล่านักยุทธ์อาณาจักรพระเจ้าแล้วพวกเขาทั้งหลายนั้นไม่ต้องนอนหลับก็สามารถพักผ่อนร่างกายได้
แต่ตอนนี้สภาพของเย่หยวนนั้นเหนื่อยหนักจนเกินเยียวยา เขาต้องการหลับให้ลึกเพื่อฟื้นคืนสภาพให้กลับมาสมบูรณ์ดังเดิม
ในวันนี้เย่หยวนได้ตื่นขึ้นมาและพบกับดวงตาคู่โตคู่หนึ่งที่จ้องมองมายังใบหน้าของเขา
พร้อมๆ กับจมูกของหมูที่กำลังถูอยู่กับจมูกของตัวเขา
“หมูสมบัติ? ตงน้อยเข้าการเก็บตัวแล้ว?” เย่หยวนเข้าใจเรื่องราวได้ในทันที
‘อู๊ดๆ!’
หมูสมบัติพยักหน้า กันเป็นสัญญาณบอกว่าเย่หยวนเข้าใจถูก
“นายท่าน ท่านตื่นแล้ว! ตงน้อยได้กินโอสถย้อนฝันพิรุณชำระเข้าไปแล้วและเริ่มเข้าสู่การเก็บตัวภายในโถงบัลลังก์ม่วงเป็นที่เรียบร้อย” หนิงเทียนปิงบอก
เวลาหลายวันมานี้พวกหนิงเทียนปิงได้เฝ้าดูอาการของเย่หยวนอยู่ตลอด
เมื่อได้เห็นเขาตื่นขึ้นมาเช่นนี้พวกเขาทั้งหลายก็ได้แต่ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
เย่หยวนค่อยๆ ลุกขึ้นพร้อมพยักหน้ารับ “เสียเวลาไปนาน เรามาเริ่มทำธุระสำคัญกันเถอะ”
เซียวเฟิงหรี่ตาลงทันทีที่ได้ยิน “เจ้าคิดอยากทำอะไรต่อ?”
เย่หยวนบอก “เขาว่ากันว่าเทพสวรรค์เปียวหยูได้ตั้งศาลายาสวรรค์ขึ้นโดยใช้การแข่งขันหลอมโอสถเพื่อตัดสินความเก่งกาจของจอมเทพโอสถมิใช่หรือ? เช่นนั้นเราไม่ลองไปดูกันหน่อยเล่า!”
เมื่อเซียวเฟิงได้ยินเช่นนั้นเขาก็อดไม่ได้ที่จะตื่นเต้นขึ้นมาตามพร้อมยกมือตบเข่าฉาดใหญ่ “ไอหย่า ข้านี่โง่จริงๆ ทำไมถึงไม่คิดถึงมันมาก่อนกัน? ด้วยพลังฝีมือของเจ้าแล้วแค่ไปแข่งทุกผู้คนก็คงต้องมาตามหาตัวเราอยากร่วมธุรกิจด้วยแล้ว เรื่องนี้จะชักช้าไม่ได้อีก รีบไปกันเลยเถอะ!”
เย่หยวนยิ้มออกมา “ไม่ต้องรีบร้อน! การหลอมโอสถในครั้งนี้ข้าเองก็ได้ความรู้มามาก รอให้ข้าจัดการทบทวนเรื่องที่ได้พบเจอมาก่อน วันพรุ่งนี้เราค่อยไปที่ศาลายาสวรรค์กัน”
เขาเริ่มทำการนั่งสมาธิเก็บตัวจัดการความรู้และความรู้สึกทั้งหลายที่ได้เจอมาช่วงเดือนนี้
ที่ตงน้อยพูดมานั้นมันไม่มีผิด การหลอมโอสถครั้งนี้มันเป็นสิ่งที่ท้าทายที่สุดแก่เขาตั้งแต่เขาเริ่มชีวิตของนักหลอมโอสถมา
ต่อให้เป็นตอนที่หลอมโอสถท้าทายสวรรค์เมื่อตอนนั้นมันก็ยังไม่เหนื่อยอ่อนเท่าตอนนี้
เย่หยวนใช้เวลาไปกว่ายี่สิบวันเพื่อทำการคาดเดาและวิเคราะห์คุณสมบัติของสมุนไพรแต่ละด้าน พยายามหาข้อผิดพลาดในการคาดเดาของตนและเริ่มทำการวิเคราะห์อนุมานอีกครั้ง
เมื่ออนุมานถึงความเป็นไปได้ต่างๆ จนครบด้านเย่หยวนก็เริ่มทำการตั้งสูตรโอสถ
และเช่นนั้น เวลาก็ผ่านไปได้ถึงหนึ่งเดือน เย่หยวนได้ใช้เวลาทุกวินาทีระหว่างนั้นไปกับการคาดเดาอนุมานต่างๆ อย่างไม่มีพัก
ทำเช่นนั้นแล้วมีหรือที่จะยังไม่เหนื่อยได้?
จนเขาเองก็พึงพอใจกับผลที่ออกมาอย่างมาก
การสามารถหลอมโอสถย้อนฝันพิรุณชำระให้ถึงขั้นเทวะวิญญาณไพศาลได้มันย่อมทำให้เย่หยวนรู้สึกได้ถึงความสำเร็จ
และเรื่องราวในครั้งนี้มันก็ทำให้เขาเข้าใจในคุณสมบัติของสมุนไพรวิญญาณขึ้นอีกมาก
คุณสมบัติด้านยาของสมุนไพรต่างๆ นั้นมันไม่ได้แน่นอนอย่างตายตัว แถมแต่ละด้านยังมีความเกี่ยวพันที่เด่นชัดอยู่เพียงแค่ความเกี่ยวพันนี้มันสุดแสนที่จะซับซ้อนทำให้การอนุมานตามธรรมดาไม่อาจจะสามารถเข้าใจพวกมันได้
แต่หลังจากได้ลองวิเคราะห์และอนุมานมันจริงๆ แล้วเขาก็ได้รับประโยชน์อย่างมหาศาล
แม้ว่าเรื่องนี้มันจะไม่อาจช่วยให้ความรู้ของเย่หยวนบรรลุขึ้นถึงอาณาจักรบรรพกาลได้แต่มันก็ช่วยทำให้พื้นฐานของเขาหนักแน่นขึ้นอย่างมาก
เวลาหนึ่งคืนนั้นจึงได้ผ่านไปอย่างเงียบงัน
ในวันต่อมาเย่หยวนออกจากห้องหลอมโอสถที่เช่าไว้และออกไปจ่ายเงินพร้อมๆ กับเดินทางออกจากแหล่งรวมร้อยสมุนไพร
ห้องหลอมโอสถในแหล่งรวมร้อยสมุนไพรนั้นถูกตั้งขึ้นเพื่อหลอมชั่วคราวหน้าร้านขาย ทำให้ราคาค่าเช่าของมันนั้นค่อนข้างจะสูงเมื่อเย่หยวนอยู่ภายในถึงสี่สิบวันมันจึงทำให้เขาต้องจ่ายไปมากจนรู้สึกเจ็บปวดขึ้นมาในใจ
ขณะที่พวกเขาทั้งหลายกำลังเดินทางออกมาพวกเขาก็ได้พบกับชายรับใช้หนุ่มผู้หนึ่งเดินเข้ามาขวางทางเย่หยวนไว้
ชายผู้นั้นถามขึ้น “ท่านใช่ท่านเย่หยวนหรือไม่?”
ชายหนุ่มมึนงงไปชั่วขณะก่อนจะพยักหน้าตอบกลับไป “ใช่แล้ว ข้าคือเย่หยวน เจ้ามาหาข้ามีเรื่องใด?”
ชายรับใช้บอก “เมื่อสักครู่นี้ได้มีคนส่งสารมาแก่ท่านว่าหากอยากพบกับท่านผู้อาวุโสเจียงหยวนให้ท่านไปยังเรือนสนดำที่ถนนป่าใต้”
เมื่อเย่หยวนได้ยินเช่นนั้นดวงตาทั้งสองของเขาก็เบิกกว้างทันทีก่อนจะตอบกลับไปด้วยรอยยิ้ม “เจ้ากลับไปบอกมันว่าข้าไม่สนใจ”
พูดจบเย่หยวนก็พาคนทั้งหลายเดินจากไปทันที
ตั้งแต่วินาทีแรกที่ชายรับใช้คนนี้พูดออกมาเย่หยวนก็เข้าใจได้ทันทีว่านี่คงเป็นคนของเจียงหัวแล้ว
แม้ว่าจะมีคนอีกมากมายที่รู้ว่าเขานั้นคิดจะพบเจียงหยวนตอนที่อยู่ในเรือนรับรองนั้นและมันก็อาจจะเป็นหนึ่งในคนทั้งหลายนั้น แต่สัญชาตญาณของเย่หยวนมันบอกว่านี่คือฝีมือเจียงหัว
เจียงหัวผู้นี้คงไม่อาจหาวิธีการอื่นใดได้จึงได้แต่ต้องส่งคนมาเรียกความสนใจเขาเช่นนี้เพื่อจะได้จัดการเขาลงได้
เย่หยวนได้แต่หัวเราะเย้ยอยู่ในใจ เจียงหัวนั้นคิดว่าเขาเป็นแค่เด็กหนุ่มไม่รู้โลกไม่มีประสบการณ์จึงคิดใช้วิธีการโง่เง่าเช่นนี้มาหลอกเขาไปกำจัดอย่างนั้นหรือ?
จะดูถูกกันมากเกินไปหน่อยแล้ว!
แต่แม้ว่าเขาจะไม่อาจมองแผนนี้ของเจียงหัวออกเย่หยวนก็ไม่ได้คิดจะกลับไปขอพบกับเจียงหยวนใดๆ อีกต่อไปแล้ว
เพราะลูกผู้ชายย่อมพูดคำไหนคำนั้น
ต่อให้สุดท้ายเย่หยวนจะได้ร่วมงานกับโถงวาโยขจีจริงแต่เขาก็จะรอให้เจียงหยวนมาขอร้องเขา มิใช่เขาไปขอร้องแก่เจียงหยวนอีก
…
ที่เรือนสนดำที่ทางฉินกวนที่ได้ยินคำรายงานของคนรับใช้ก็ต้องขมวดคิ้วขึ้นทันที
“หรือว่าไอ้เด็กคนนี้มันไม่คิดจะพบเจอกับผู้อาวุโสเจียงหยวนแล้ว?”
เจียงหัวยิ้มออกมาอย่างเย็นเยือก “เด็กคนนี้มันกล้า! แต่ถึงมันจะไม่มาก็ไม่ได้หมายความว่าข้าจะไม่สามารถบังคับให้มันมาได้! เจ้าเดินทางไปอีกครั้งและบอกเย่หยวนเช่นนี้ มันต้องติดตามเจ้ากลับมาแน่!”
เจียงหัวเอียงคอไปบอกคนรับใช้ผู้นั้น ฝ่ายคนรับใช้ที่ได้รับคำสั่งก็รีบเดินทางออกไปทันที
ฉินกวนที่ได้ยินได้ฟังเช่นนั้นก็อดไม่ได้ที่จะยกนิ้วขึ้นมาชูชื่นชม “หึ สมแล้ว! ยอดเยี่ยมจริง! น้องเจียงหัวนี่ช่างทำตัวได้เหมาะสมกับตำแหน่งคนสนิทผู้นำตระกูล!”
เจียงหัวยิ้มออกมาก่อนจะหรี่ตาลง “หากแค่เด็กนภาสวรรค์คนหนึ่งยังจัดการไม่ได้ข้า ผู้ช่วยผู้นี้ก็คงใช้ชีวิตมาอย่างเสียเปล่าแล้ว ท่านพี่ข้าคงต้องฝากเรื่องราวที่เหลือให้ท่านด้วย ท่านผู้นำตระกูลยังมีงานทิ้งไว้ให้ข้าทำอีกมาก คงต้องขอตัวก่อน”
ฉินกวนยิ้มรับ “เจ้าไปทำงานต่อเถอะ เรื่องราวเล็กๆ แค่นี้ข้าจัดการเอง”
ไม่นานหลังจากคนรับใช้เดินทางออกไปเขาก็ได้นำพาเย่หยวนกลับมาจริงๆ
ที่สำคัญไปกว่านั้นคือเย่หยวนมาแค่คนเดียว
เมื่อเข้ามาถึงเรือนสนดำแล้วเย่หยวนก็รู้สึกได้ทันทีว่ามันมีค่ายกลบางอย่างทำงานขึ้น
แต่เพียงแค่ว่าค่ายกลระดับนี้มันไม่อาจจะทำอะไรแก่เย่หยวนได้เลย
ด้วยความเข้าใจในแนวคิดแห่งห้วงมิติของเขาในตอนนี้ การจะหนีนั้นมันไม่เคยเป็นเรื่องยากเย็น
เมื่อเจ้าตัวเรือนมาเย่หยวนก็ได้พบกับชายวัยกลางคนผู้หนึ่งกำลังนั่งรินชาอยู่
คนรับใช้ร้องบอก “นายท่าน ข้าพาเย่หยวนมาแล้ว”
ฉินกวนยกมือขึ้นโบกเป็นสัญญาณไล่คนใช้ไป
เย่หยวนหรี่ตาลงมองที่ฉินกวนพร้อมถามขึ้น “เจ้าหรือคือคนที่ใช้พี่เซียวเฟิงมาข่มขู่ข้า?”
คนรับใช้ผู้นี้ได้ออกไปตามหาเย่หยวนอีกครั้งพร้อมบอกเย่หยวนว่าเซียวเฟิงนั้นนับเป็นคนของโถงวาโยขจี
หากเขานั้นไม่ยอมมายังเรือนสนดำแล้วเซียวเฟิงจะต้องไม่ได้ตายดี!
แน่นอนว่าด้วยตำแหน่งอำนาจของเจียวหัวแล้วผู้ดูแลระดับต่ำอย่างเซียวเฟิงย่อมจะไร้ค่าใดๆ ไป
ถึงแม้ว่าอีกฝ่ายเองก็จะเป็นแค่ผู้ช่วยก็ตาม
เมื่อพลังอำนาจของเจียงหัวแล้วตราบเท่าที่เขาคิดสั่งเขาก็ย่อมสามารถจัดการกับเซียวเฟิงได้อย่างรุนแรงเหลือจินตนาการ
ฉินกวนมองดูเย่หยวนและหัวเราะออกมา “เด็กน้อย เจ้ามันช่างอวดดีจริงๆ! มาถึงบ้านข้าแล้วเจ้ากลับยังกล้าพูดเช่นนี้หรือ?”
เย่หยวนตอบกลับไป “เจียงหัวอยู่ไหนเล่า?”
ฉินกวนยิ้มออกมา “เจ้าไปลบหลู่น้องเจียงหัวและจึงต้องมาพบเจอเรื่องราวเช่นวันนี้ เจ้าหรือเซียวเฟิงมันต้องมีคนตาย! และเมื่อเจ้ามาแล้วมันก็ย่อมหมายความว่าเจ้าเลือกทางแรก”
เย่หยวนมองดูฉินกวนอย่างเย็นเยือก “ด้วยแค่คนอย่างเจ้านี้?”
ฉินกวนยกแก้วชาขึ้นมาดื่มก่อนจะตอบกลับมาด้วยรอยยิ้ม “จะตายอยู่แล้วยังมีหน้ามาอวดดี! หากข้าไม่มีปัญญาจะกำจัดแม้แต่นภาสวรรค์เจ็ดดาวผู้หนึ่งชีวิตการบ่มเพาะของข้านี้จะมีค่าใด”
พูดจบดวงตาของเขาก็เย็นเยือกลงทันทีพร้อมด้วยพลังโลกอันมหาศาลที่พุ่งทะยานครอบไปทั่วเรือน
ฉินกวนนั้นย่อมไม่กล้าจะลงมือกลางถนนที่มาด้วยผู้คน แต่เมื่อเขาสามารถเรียกให้เย่หยวนมาถึงเรือนสนดำนี้ได้แล้วเขาก็ย่อมกล้าที่จะลงมือสังหารอย่างแน่นอน
เย่หยวนมองดูที่อีกฝ่ายราวกับเป็นคนโง่ “เดิมทีข้าแค่คิดจะมากำจัดเจียงหัวทิ้งเสีย เจ้าตัวปัญหานั้น แต่เมื่อมันไม่อยู่เจ้าก็คงได้แต่ต้องโทษตัวเองที่ไม่มีโชคแล้ว”
…………………………