เย่หยวนเก็บเหรียญนั้นลงไปและยกมือขึ้นคารวะ “ขอบพระคุณผู้อาวุโสผิง!”
ผู้อาวุโสผิงเองก็ยิ้มตอบกลับ “ดีๆ ยอดคนนั้นย่อมยิ่งใหญ่ตั้งแต่ยังเป็นหนุ่มสาว! ด้วยพรสวรรค์ของเจ้าแล้วในเวลาอีกไม่ถึงสิบปีเจ้าคงสามารถขึ้นไปได้ถึงระดับทองแน่ๆ เจ้าหนุ่ม หลังจากเข้าศาลาโอสถสวรรค์เราไปแล้วเจ้าต้องหมั่นบ่มเพาะให้ดีด้วยเล่า!”
เพราะการปรากฏกายนี้ของเย่หยวนมันทำให้ผู้อาวุโสผิงตกตะลึงอย่างมาก
การที่สามารถมีความรู้ด้านโอสถมากมายได้ตั้งแต่อายุยังน้อยเท่านี้มันย่อมหมายความว่าเปล่งประกายในศาลาโอสถสวรรค์ได้อย่างแน่นอน
เย่หยวนยิ้มตอบ “ผู้อาวุโสผิงโปรดวางใจ ข้าจะตั้งใจบ่มเพาะแน่นอน”
พูดจบเย่หยวนก็เดินจากไป
เหล่าผู้เข้าสอบทั้งหลายนั้นหันไปมองตามเย่หยวนเป็นตาเดียวด้วยสีหน้าอิจฉา
เหรียญเงินนี้พวกเขาทั้งหลายหวังจะได้มันมานับพันๆ หรืออาจจะถึงหมื่นปี
แต่เย่หยวนคนนี้กลับได้ไปอย่างรวดเร็ว!
“ต่อไป!” ผู้อาวุโสผิงหันกลับมาเรียกต่อ
ซุนจิงค่อยๆ เดินขึ้นไปหยุดตรงหน้าเจ้าเพลิงหมาป่าสวรรค์หทัยเมฆาด้วยความรู้สึกตื่นเต้นดีใจ
“เพลิงหมาป่าสวรรค์หทัยเมฆานั้นกำลังหลงเจ้าเด็กคนนั้น มันย่อมจะสามารถควบคุมได้ง่ายกว่าเก่าแล้ว หึ ช่างเป็นโอกาสเหมาะของข้า! จะว่าไปเรื่องนี้ข้าก็นับว่าติดค้างเจ้าเด็กนั่นแล้ว”
เมื่อพลังปิดกั้นถูกเปิดออกซุนจิงก็ได้วาดตราขึ้นมาด้วยมือทั้งสองข้างพยายามที่จะควบคุมเจ้าเพลิงหมาป่าสวรรค์หทัยเมฆา
เสียงหมาป่าหอนดังลั่นขึ้นก่อนที่เจ้าก้อนไฟนี้มันจะเปลี่ยนร่างกลายเป็นก้อนเพลิงคล้ายรูปหมาป่าและพุ่งตัวเข้าขย้ำซุนจิง
‘อึก!’
ซุนจิงนั้นเหมือนถูกคลื่นพลังมหาศาลปะทะเข้าร่างจนลอยกระเด็นไป
ในวินาทีนั้นร่างของเขาแทบจะไหม้เป็นจุณ ตอนนี้จึงได้แต่นอนร้องอย่างสาหัสอยู่บนพื้น
‘ฟุบ!’
เจ้าหมาป่าเพลิงพุ่งตัวออกไปอย่างรวดเร็ว เข้าสู่ด้านในของโถง
และนั่นมันคือทิศทางที่เย่หยวนเพิ่งจะเดินจากไป!
ผู้อาวุโสผิงหรี่ตาลงก่อนจะพุ่งตัวตามออกไปในเสี้ยววินาทีก็สามารถตามเจ้าเพลิงหมาป่าสวรรค์หทัยเมฆาได้ทัน
“เจ้าสัตว์ร้าย คิดจะหนีไปไหน!”
ไฟศักดิ์สิทธิ์นั้นคือภูต เพราะฉะนั้นเจ้าเพลิงหมาป่าสวรรค์หทัยเมฆาจึงไม่อาจจะยอมสยบต่อใครได้ง่ายๆ
เมื่อเห็นผู้อาวุโสผิงตามมาถึงเพลิงหมาป่าสวรรค์หทัยเมฆาก็หันตัวพุ่งเข้าใส่ผู้อาวุโสผิงทันที
‘ปัง! ปัง! ปัง!’
ภายในโถงนั้นเกิดการต่อสู้ของหนึ่งคนหนึ่งภูตขึ้นอย่างดุเดือด
ผู้คนทั้งหลายต่างได้แค่หันมองหน้ากันด้วยความตื่นตะลึงจากภาพตรงหน้า
“นี่มัน…มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่? แม้ว่าเพลิงหมาป่าสวรรค์หทัยเมฆาจะยากที่จะควบคุมแค่ไหนมันก็ไม่ได้ดุร้ายป่าเถื่อนถึงขั้นนี้!”
“นี่…นี่มันคงไม่ได้คิดจะตามเจ้าเด็กคนนั้นไปหรอกใช่ไหม?”
“เจ้าเด็กคนนั้นมันทำอะไรลงไปกันแน่ เหตุใดเพลิงหมาป่าสวรรค์หทัยเมฆาถึงได้คลั่งขึ้นมาขนาดนี้?”
…
หลังจากการต่อสู้อันดุเดือดผ่านไปผู้อาวุโสผิงก็ได้ใช้กำลังอันเหนือล้ำของตนในการจับกุมเจ้าเพลิงหมาป่าสวรรค์หทัยเมฆา
เว้นเสียแต่ว่าเจ้าเพลิงหมาป่าสวรรค์หทัยเมฆาที่ถูกจับไว้มันก็ยังคงไม่สงบ อาละวาดอย่างไม่หยุดพัก
ผู้อาวุโสเผิงเองก็ตื่นตะลึงอย่างมากเช่นกัน “เด็กคนนี้มีทักษะการควบคุมไฟที่เหนือล้ำจนถึงจุดสมบูรณ์! เพลิงหมาป่าสวรรค์หทัยเมฆานี้กลับคิดอยากตามไปขอฝากตัวรับใช้เขา! ช่างน่ากลัว!”
เพลิงหมาป่าสวรรค์หทัยเมฆานั้นขึ้นชื่อว่าเป็นไฟศักดิ์สิทธิ์ระดับห้าที่ยากต่อการจับคุมที่สุด เหล่านภาสวรรค์ทั่วๆ ไปย่อมไม่มีทางจะควบคุมมันได้ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องการเป็นนายของมันเลย
และเพราะเช่นนั้นเองมันถึงได้กลายมาเป็นบททดสอบของศาลาโอสถสวรรค์
แต่ผู้อาวุโสเผิงเองก็ไม่นึกไม่ฝันว่าแค่เย่หยวนใช้เจ้าเพลิงหมาป่าสวรรค์หทัยเมฆาในการสอบครั้งเดียวมันกลับจะทำให้เจ้าเพลิงหมาป่าสวรรค์หทัยเมฆาคิดติดตามเขาได้
ตราบเท่าที่เย่หยวนคิดอยาก เขาก็สามารถเป็นนายของมันได้ในทุกเมื่อ
ผู้อาวุโสผิงย่อมเข้าใจดีว่าตอนนี้เพลิงหมาป่าสวรรค์หทัยเมฆาคงไม่อาจตกเป็นของใครไปได้อีกแล้วในอนาคต
เขายกมือขึ้นมาโบกไล่ “ยาม นำเจ้าเพลิงหมาป่าสวรรค์หทัยเมฆาไปเสีย การสอบวันนี้จบลงเพียงเท่านี้”
…
สังเวียนประลองโอสถเงินนั้นมีเสียงโห่ร้องดังลั่นสนั่นฟ้า
ไม่ไกลออกไปจากเหล่าผู้ส่งเสียงร้องก็มีเงาร่างสองผู้กำลังยืนเผชิญหน้ากันอยู่บนสังเวียนอย่างที่ไม่มีใครคิดจะยอมใคร
“เอาเลย มู่เต้าเฉิง!”
“มู่เต้าเฉิงเก่งกาจจริงๆ!”
…
ที่ด้านนอกสังเวียนตอนนี้เสียงโห่ร้องมันดังไม่แพ้เสียงของหม้อหลอม
ส่วนบนสังเวียนนั้นชายวัยกลางคนทางฝั่งขวาก็กำลังได้เปรียบอยู่ไม่น้อย
ไม่นานนักความได้เปรียบนี้ของเขามันก็กินคู่ต่อสู้จนขาดลอย
“หลอม!”
เมื่อมู่เต้าเฉิงร้องออกมาโอสถมันก็เริ่มหลอมและก่อรูปขึ้นเป็นโอสถภายในคราเดียว
อีกฝ่ายนั้นได้แต่มองดูภาพตรงหน้าอย่างเจ็บใจ เพราะตอนนี้โอสถของเขานั้นมันได้กลายเป็นโอสถไร้ค่าไปแล้ว
มู่เต้าเฉิงกล่าวขึ้นด้วยท่าทางเย่อหยิ่ง “หวงเจิน มันยังเร็วไปร้อยปีหากเจ้าคิดจะมาท้าทายข้า! ฮ่าๆ”
หวงเจินมองดูมู่เต้าเฉิงก่อนจะถอนหายใจยาวออกมาและเดินลงสังเวียนไป
เย่หยวนมองดูภาพตรงหน้านี้อย่างประหลาดใจไม่น้อย การประลองหลอมโอสถเช่นนี้มันเป็นสิ่งที่เขาแทบไม่เคยพบเห็น
เพราะการประลองหลอมโอสถนั้นจะเกลียดชังการยุ่มย่ามของผู้คนภายนอกมากที่สุด ทำให้สังเวียนประลองที่เปิดให้ผู้คนเข้าชมได้เช่นนี้นับว่าหายากมาก
และไม่ใช่เพียงแค่เสียงของผู้คนทั้งหลายนั้นไม่ถูกปิดกั้น แต่มันยังไม่มีค่ายกลใดๆ มาปิดบังสายตาเลยเสียด้วย
การเผชิญหน้าของทั้งสองบนสังเวียนนั้นมันเหมือนกับการเผชิญหน้าของนักยุทธ์ไม่มีผิด
ผู้ชนะนั้นหลอมโอสถได้
ผู้แพ้นั้นทำให้โอสถเสียค่า!
แต่เย่หยวนก็ได้เห็นว่าฝีมือของคนทั้งสองนี้มันไม่ธรรมดาจริงๆ
เทียบกับเหล่าผู้คนที่เรียกตัวเองว่าเป็นจอมเทพโอสถห้าดาวในโลกภายนอกแล้ว พวกเขาทั้งหลายนี้เก่งกาจกว่ามาก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งมู่เต้าเฉิงคนนี้ เขานั้นมีความรู้โอสถขึ้นถึงอาณาจักรต้นขั้นปลาย แน่นอนว่าเขาต้องฝีมือที่เหนือล้ำผู้คน
เมื่อได้ยินเสียงร้องของคนทั้งหลายก็ยิ่งแสดงได้อย่างชัดเจนว่ามู่เต้าเฉิงนั้นชื่อเสียงในสังเวียนประลองโอสถนี้เพียงใด
แต่เย่หยวนนั้นคิดว่าการประลองโอสถเช่นนี้เองมันกลับจะทำให้ผู้คนเพิ่มพูนฝีมือของตนได้มากกว่าการประลองทั่วๆ ไป
เพราะคนทั้งสองนั้นเผชิญหน้าและประลองการหลอมกัน มีคลื่นพลังที่ปะทะกันอยู่ตลอดทำให้สามารถลักจำความเข้าใจในวิชาของอีกฝ่ายมาได้
ภายใต้สถานการณ์เช่นนั้นแล้วแม้จะเป็นฝ่ายแพ้ แต่พวกเขาทั้งหลายก็ย่อมจะได้ความรู้ติดตัวกลับไปไม่น้อย
ที่สำคัญกว่านั้นการที่ต้องหลอมโอสถภายใต้สถานการณ์ที่ยากเย็นเช่นนี้เองมันก็จะเพิ่มพูนพลังสมาธิและความเก่งกาจของนักหลอมโอสถได้มาก
ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมชื่อนักหลอมโอสถสวรรค์นั้นมันถึงมีค่าและได้รับการยอมรับมากมาย เมื่อเห็นเช่นนี้แล้วเย่หยวนก็ได้แต่ชื่นชมว่าวิธีการของศาลาโอสถสวรรค์นี้มันเหนือล้ำจริงๆ
“อีกแค่ชัยชนะเดียวมู่เต้าเฉิงก็จะสามารถป้องกันสังเวียนได้ครบสิบครั้งแล้ว ถึงเวลานั้นเขาคงได้เหรียญนักหลอมโอสถสวรรค์ทองไปแน่!”
“ข้าล่ะอิจฉาเขาจริงๆ อย่างข้าชีวิตนี้คงไม่อาจขึ้นเป็นนักหลอมโอสถสวรรค์ทองได้แน่!”
…
มู่เต้าเฉิงนั้นมั่นใจในความสำเร็จของคนอย่างมากเขาจึงร้องตะโกนขึ้นบนสังเวียน “มีใครกล้าที่จะขึ้นมาท้าทายข้าอีกไหม? มี! หรือ! ไม่!”
มู่เต้าเฉิงในตอนนี้มีสภาพเหมือนนักสู้ที่เพิ่งได้รับชัยครั้งใหญ่มา จิตใจเต็มเปี่ยมไปด้วยความองอาจ
แต่ที่ด้านล่างนั้นกลับไม่มีใครกล้าจะขึ้นไปบนสังเวียนเลย
ตามกฎของศาลาโอสถสวรรค์แล้วหากคนผู้หนึ่งสามารถชนะได้สิบศึกติดต่อกันพวกเขาก็จะนับว่าป้องกันสังเวียนได้หนึ่งครั้ง
และเมื่อสามารถป้องกันสังเวียนได้ครบสิบครั้ง พวกเขาก็จะขึ้นไปถึงระดับที่สูงกว่าเก่าได้
และเมื่อทำเช่นนั้นได้ชื่อเสียงใดๆ ของพวกเขาก็จะสั่นสะท้านดังไปทั่วโลกา
เพราะไม่ว่าอย่างไรเสียชื่อเสียงของศาลาโอสถสวรรค์นี้มันก็ไม่ได้โด่งดังแค่ในยอดเมืองหลวงจักรพรรดิทองวาวเท่านั้น
แม้แต่เหล่านักหลอมโอสถจากวังพำนักจักรพรรดิเทพสวรรค์ยังต้องมาเป็นสมาชิกของศาลาโอสถสวรรค์นี้
ยิ่งผ่านเวลาไปนานเข้าอำนาจที่ศาลาโอสถสวรรค์มีมันจึงยิ่งล้ำลึกจนไม่อาจสาวขึ้นมาได้หมด
หากคนผู้ใดสามารถได้รับเหรียญระดับสูงไปได้ มันก็จะเป็นการเพิ่มพูนชื่อเสียงของพวกเขาเหล่านั้นอย่างใหญ่หลวง
เรื่องนี้มันย่อมทำให้ผู้คนแทบคลั่ง
เพียงแค่ว่าในศาลาโอสถสวรรค์นั้นการที่จะเลื่อนขึ้นระดับได้นั้นมันสุดแสนจะยากเย็น
นอกจากจะต้องใช้เวลาแล้วเหล่านักหลอมโอสถทั้งหลายที่เข้าศาลาโอสถสวรรค์มาล้วนแล้วต่างมิใช่แค่หมูหมากาไก่ข้างทาง
คิดอยากชนะติดกันได้ให้สิบศึกมันเป็นเรื่องที่สุดแสนยากเย็น
ที่สำคัญกว่านั้นคือพวกเขายังต้องชนะติดต่อกันสิบสังเวียนจึงจะสามารถผ่านขึ้นไประดับสูงกว่าได้
เพราะแบบนั้นเองชื่อของนักหลอมโอสถสวรรค์จากศาลาโอสถสวรรค์มันจึงยิ่งมีค่า
จู่ๆ เย่หยวนก็กระโดดขึ้นไปบนสังเวียนนั้นและบอกแก่มู่เต้าเฉิงด้วยรอยยิ้ม “ข้าขอท้า”
…………………………