“มู่เต้าเฉิง เจ้าทำบ้าอะไรของเจ้า? เจ้าเป็นฝ่ายได้เปรียบแท้ๆ เหตุใดจึงได้พ่ายแพ้ลงเสียเล่า!”
ทุกคนมองดูที่มู่เต้าเฉิงด้วยท่าทางเจ็บใจ
มู่เต้าเฉิงเองก็มีสีหน้าไม่ต่างกันนัก “ข้าประเมินมันต่ำเกินไป! เด็กคนนี้มันมีพลังจิตที่หนาแน่นแสนรุนแรง ข้าคิดใช้พลังจิตกระแทกปะทะเข้ากับมันแต่กลับรู้สึกเหมือนว่าตัวเองไปเตะเข้ากับเสาเหล็ก จนทำให้กลายเป็นฝ่ายบาดเจ็บไปเสียเอง ข้าคำนวณพลาดไป! หากข้ารู้เช่นนี้มาก่อนข้าคงแข่งหลอมโอสถกับมันตามปกติไปแล้ว เช่นนั้นมันคงไม่มีอะไรจะสู้ข้าได้แน่!”
ทุกคนที่ได้ยินเช่นนั้นต่างก็หายสงสัยในทันทีและมีใครบางคนพูดขึ้นมา “ดูท่าเด็กคนนี้มันคงมีวรยุทธ์ฝึกฝนบ่มเพาะจิตศักดิ์สิทธิ์ที่แข็งแกร่งน่าดู ไม่น่าจะเป็นเด็กไม่มีหัวนอนปลายเท้าแล้ว! ดูท่าวันหน้าหากต้องเจอเขาข้าคงต้องระวังเรื่องนี้ให้มาก”
พวกเขานั้นไม่ได้สงสัยในคำพูดของมู่เต้าเฉิงแม้แต่น้อยเพราะการที่มีพลังจิตหนักแน่นไม่ได้หมายความว่าจะสามารถหลอมโอสถได้เก่งกาจ
ด้วยอายุของเย่หยวนนี้การหลอมโอสถย่อมจะไม่มีทางเทียบเคียงพวกเขาได้
ตราบเท่าที่พวกเขาหนีห่างจากอาวุธอันตรายนั้นได้ ชัยชนะมันก็คงไม่ยากเย็น
“หลอม!”
ประมาณหนึ่งชั่วโมงต่อมาเย่หยวนก็ร้องบอกขึ้นก่อนจะหลอมโอสถขึ้นมา
โอสถพิรุณหวานชื่นนี้เป็นแค่โอสถความยากห้าชนิดหนึ่ง สำหรับเย่หยวนในตอนนี้แล้วมันย่อมไม่มีปัญหาใดๆ ทั้งสิ้นในการหลอม
ผู้อาวุโสซินมองเย่หยวนด้วยสายตาแห่งความเร่าร้อน “เย่หยวน เปิดเตาออก!”
เย่หยวนพยักหน้ารับและเปิดเตาเอาโอสถออกมา
เมื่อโอสถนี้หลุดออกจากหม้อหลอมกลิ่นอันหอมหวนก็โชยไปทั่วทั้งพื้นที่ในทันที
“กลิ่นนี้ช่างหอมเสียจริง”
“เหตุใดโอสถพิรุณหวานชื่นจึงได้หอมขนาดนี้กัน?”
“นี่มันเป็นโอสถพิรุณหวานชื่นขั้นใดกันนี่? เหตุใดจึงได้หอมปานนี้?”
…
กลิ่นโอสถนี้มันทำให้ทุกผู้คนตกตะลึงไปทันทีต่างคาดเดากันไปว่าโอสถนี้มีคุณภาพถึงขั้นไหนกันแน่
เย่หยวนนั้นลงมืออย่างรวดเร็วปานสายฟ้ารีบจับโอสถนั้นลงในขวดอย่างทันที
จากนั้นผู้อาวุโสซินที่ได้รับขวดนั้นไปก็ต้องสั่นสะท้าน
เขานั้นได้รับรู้แล้วว่าโอสถของเย่หยวนนั้นต้องไม่ธรรมดา เพราะฉะนั้นเขาจึงได้สั่นกลัวที่จะรู้ว่าโอสถนี้ของเย่หยวนมันเป็นขั้นใดกันแน่
เมื่อจิตของเขามุ่งลงไปในขวดตาทั้งสองของผู้อาวุโสซินก็ต้องเบิกกว้างก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองเย่หยวนอย่างแตกตื่น
ทุกคนที่ได้เห็นท่าทางนั้นของผู้อาวุโสซินต่างก็ได้แต่คาดเดากันออกมาอย่างไม่ขาดสาย
แต่พวกเขานั้นรู้อยู่แก่ใจดีแล้วว่าโอสถนี้มันคงมีคุณภาพไม่ต่ำกว่าขั้นเทวะแน่!
“ผู้อาวุโสซิน มัน…มันเป็นโอสถขั้นใดกัน?” มู่เต้าเฉิงอดไม่ได้จึงถามขึ้น
เพราะเขานั้นได้รู้แล้วว่าตัวเองมันอ่อนหัดเกินไป
แข่งหลอมโอสถกับเย่หยวนตรงๆ?
ดูท่าทางของผู้อาวุโสซินในตอนนี้ เขาได้รู้แล้วว่ามันย่อมไม่มีทางชนะได้
เว้นเสียแต่ว่าแม้เขาจะพ่าย เขาก็ต้องรู้ว่าตัวเองพ่ายแก่สิ่งใด ไม่เช่นนั้นแล้วคงนอนตายตาไม่หลับแน่
เมื่อได้ยินคำทักเช่นนั้นผู้อาวุโสซินจึงสะดุ้งขึ้นมาเหมือนเพิ่งตื่นจากภวังค์ “เย่หยวนหลอมโอสถพิรุณหวานชื่นขั้นเทวะวิญญาณไพศาลได้ ชนะ!”
‘ครึ้ม!’
เหล่าผู้คนทั้งหลายแตกตื่นขึ้นในทันทีเสียงร้องอันแตกตื่นของพวกเขานี้มันทำให้ทั้งสังเวียนเหมือนเกิดคลื่นพายุขึ้น
“ขั้นเทวะวิญญาณไพศาล! นี่มัน…เป็นไปไม่ได้น่า!”
“ผู้อาวุโสซินท่านไม่ได้มองผิดใช่หรือไม่? มีหรือที่จอมเทพโอสถห้าดาวคนหนึ่งจะหลอมโอสถได้ถึงขั้นเทวะวิญญาณไพศาล?”
“โอสถศักดิ์สิทธิ์ขั้นเทวะวิญญาณไพศาลนั้นมันต้องเป็นยอดคนระดับสูงในศาลาโอสถสวรรค์มิใช่หรือถึงจะหลอมได้?”
…
การตอบรับแรกของทุกผู้คนนั้นคือความไม่เชื่อ แต่พวกเขาย่อมรู้ดีแก่ใจว่าผู้อาวุโสซินย่อมจะไม่พูดจาไร้สาระในเวลานี้แน่
เพราะเรื่องเช่นนี้มันเอามาล้อเล่นไม่ได้
“โอหัง! เจ้าคิดว่าเฒ่าคนนี้จะมาล้อเล่นกับพวกเจ้าทั้งหลายหรือ?” แน่นอนว่าทางผู้อาวุโสซินเองก็ไม่พอใจเช่นกัน
ไม่นานคนทั้งหลายนั้นจึงได้แต่หุบปากเงียบลง
ผู้อาวุโสซินยกมือขึ้นบอกเป็นสัญญาณ “จากนี้ไปเย่หยวนคือเจ้าสังเวียนแล้ว ใครที่คิดอยากขึ้นมาท้าทายเขาจงก้าวออกมา!”
ตอนนี้สายตาที่ผู้อาวุโสซินใช้มองเย่หยวนนั้นมันแตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง
เดิมทีที่เขาเห็นเหรียญเงินนั้นเขาก็ยอมรับเย่หยวนในฐานะคนรุ่นใหม่ที่น่าสั่งสอนผู้หนึ่งแล้ว
แต่ตอนนี้ดวงตาของเขานั้นเต็มไปด้วยความชื่นชม
กับเหล่านักหลอมโอสถสวรรค์แล้วโอสถพิรุณหวานชื่นนั้นไม่ได้นับว่าเป็นอะไรที่ยากเย็นนัก แต่จะหลอมให้ถึงขั้นเทวะวิญญาณไพศาลนั้นมันย่อมไม่มีทางที่คนทั่วๆ ไปจะทำได้
ทุกผู้คนต่างหันไปมองหน้ากันแต่กลับไม่มีใครกล้าก้าวออกไป
เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าของพวกเขาเมื่อไม่กี่อึดใจก่อนนั้นมันยังคงตราตรึง
อย่าว่าแต่สังเวียนเงิน ต่อให้เป็นในสังเวียนทองเองมันก็ยังไม่เคยมีใครจะหลอมโอสถได้ถึงขั้นเทวะวิญญาณไพศาลมาก่อน
แต่วันนี้มันกลับมีขึ้นมา!
จู่ๆ ก็มีเงาร่างหนึ่งปรากฏขึ้นมายกมือคารวะเย่หยวน “ข้านามเฟิงจิงหยุน ขอพี่เย่โปรดชี้แนะ”
คนผู้นี้มีผ้าไหมโพกหัวเดินเข้ามาหาเย่หยวนด้วยท่าทางจริงใจ
“เฟิงจิงหยุน! เขาคืออันดับหนึ่งในหมู่นักหลอมโอสถสวรรค์เงิน! แต่กลับคิดจะไปท้าทายเย่หยวนอย่างนั้นหรือ!”
“ตั้งแต่ที่เฟิงจิงหยุนขึ้นถึงระดับเงินมาเขายังไม่เคยพ่ายแก่ใครเลยและสามารถป้องกันสังเวียนมาได้ถึงเก้าครั้งติดแล้ว”
“มีอะไรน่าสนุกให้ชมแล้วสิ เจ้าเด็กคนนี้มันจะโชคดีหรือแข็งแกร่งจริง เฟิงจิงหยุนจะเป็นเครื่องพิสูจน์อย่างดีเลย”
…
เมื่อเฟิงจิงหยุนขึ้นมาถึงสังเวียนคนทั้งหลายก็แตกตื่นกันขึ้นอีกครั้ง
เพราะเขานั้นเป็นที่รู้กันดีว่าเป็นอันดับหนึ่งในหมู่นักหลอมโอสถสวรรค์ มีพลังฝีมือที่เหนือล้ำกว่ามู่เต้าเฉิง
ไม่มีใครนึกฝันว่าเขาคนนี้จะออกโรงมาท้าทายเย่หยวนเอง
แต่ก็เพราะเช่นนั้นมันจึงทำให้ศึกนี้ยิ่งน่าดูชมมากขึ้น
เย่หยวนจ้องมองฝ่ายตรงข้ามพร้อมยกมือขึ้นคารวะตอบ “โปรดชี้แนะ!”
เมื่อได้เรียนรู้ถึงความผิดพลาดของมู่เต้าเฉิง เฟิงจิงหยุนย่อมระวังตัวมากกว่าเก่าพยายามหลบเลี่ยงจุดที่อันตรายที่สุดของเย่หยวนและตั้งใจหลอมโอสถของตนไป
และเย่หยวนเองก็ดูท่าไม่คิดจะโจมตีใดๆ เขาด้วย
แต่ในสังเวียนนั้นมันคับแคบ ต่อให้ไม่คิดใช้คลื่นพลังจิตของคนทั้งสองมันก็ยังต้องปะทะกันอยู่บ้าง
แต่ในวินาทีสั้นๆ นั้นเฟิงจิงหยุนกลับรู้สึกเหมือนว่าตนเองยืนอยู่หน้าท้องทะเลอันกว้างใหญ่
‘แข็งแกร่ง!’
การหลอมโอสถในครั้งนี้เป็นการหลอมโอสถที่ยากที่สุดเท่าที่เฟิงจิงหยุนเคยทำมา
แต่แค่ส่วนผิวเผินของพลังเย่หยวนนี้มันก็ทำให้เขาได้ประโยชน์กลับไปมากมาย
เมื่อจบศึกลงเฟิงจิงหยุนก็แพ้ไปอย่างราบคาบ
ส่วนเย่หยวนนั้นก็ได้หลอมโอสถขั้นเทวะวิญญาณไพศาลขึ้นมาอีกครั้ง!
คราวนี้มันไม่มีใครกล้าสงสัยในฝีมือของเย่หยวนอีกต่อไป
ต่อให้จะเป็นคนโง่มาจากไหน มันก็ย่อมไม่มีใครเชื่อว่าจะมีคนบังเอิญหลอมโอสถได้ถึงขั้นเทวะวิญญาณไพศาลสองครั้งติดกัน
“ขอบคุณมากท่านอาจารย์เย่ที่ชี้แนะ! เฟิงผู้นี้ซาบซึ้งอย่างมากมาย!” เฟิงจิงหยุนเดินออกมาก้มลงคารวะเย่หยวน
ตอนนี้แม้แต่คำเรียกก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
จากพี่เย่ เป็นอาจารย์!
ในศาลาโอสถสวรรค์นี้จะมีใครบ้างที่ได้รับฉายานามว่าอาจารย์
เย่หยวนยิ้มตอบกลับไป “พี่เฟิงนั้นมีพื้นฐานที่หนักแน่น อนาคตภายหน้าของท่านนั้นย่อมก้าวเดินไปได้ไกลกว่าคนอื่น! จะบอกว่าข้าเป็นผู้ชี้แนะมันคงไม่เหมาะกับข้าหรอก”
เย่หยวนเองก็บอกออกมาอย่างซื่อตรงเพราะเฟิงจิงหยุนคนนี้แม้จะมีพลังฝีมือที่ไม่ได้เหนือล้ำกว่ามู่เต้าเฉิงมากนัก แต่เขานั้นมีพื้นฐานที่หนักแน่นกว่ามู่เต้าเฉิงมาก
ในเรื่องของความเป็นไปได้แล้ว เขาย่อมจะมีพื้นที่ให้ก้าวหน้าได้มากกว่ามู่เต้าเฉิง
เฟิงจิงหยุนย่อมไม่กล้ารับคำนั้นและรีบเดินจากไป
เพราะการประลองนี้กับเย่หยวนมันได้ให้ประโยชน์เขาอย่างมากมาย เขาจึงคิดที่จะเริ่มเก็บตัวในทันทีหลังจบศึก
ต่อจากนั้นไปศึกใดๆ มันก็ย่อมไม่มีข้อกังขาอีก
ทุกคนรับรู้ได้อย่างชัดเจนว่าพลังฝีมือของเย่หยวนนี้มันไม่สมควรอยู่ในระดับเงินเลย
ที่นี่มิใช่สังเวียนของเขา
แต่มันก็เป็นเพราะเช่นนั้นที่ทำให้ผู้กล้าหลายคนคิดหวังจะไปท้าประลองและเรียนรู้วิชาจากเด็กหนุ่ม
เพราะนี่มันเป็นประสบการณ์ที่หาได้ยากยิ่ง!
เท่านี้เย่หยวนก็ทำการเอาชนะทุกผู้คนอย่างต่อเนื่อง ชนะรวดด้วยความบ้าคลั่ง
ตราบเท่าที่มันเป็นศึกของเย่หยวน เรื่องราวใดๆ ก็จะจบลงอย่างรวดเร็ว
เขานั้นมีความเร็วในการหลอมที่แปลกประหลาด แต่โอสถที่ออกมานั้นมันกลับมีคุณภาพสูงส่ง
เวลาแค่ครึ่งเดินผ่านไปเขาก็สามารถชนะรวดร้อยครั้งขึ้นสูงระดับทองได้ทันที!
ชัยชนะอันยิ่งใหญ่นี้ของเย่หยวนได้ทำให้แม้แต่คนของศาลาโอสถสวรรค์ทั้งหลายต่างต้องหันมาสนใจ
…………………………