หวางเจียนมองดูที่ขวดโอสถในมือด้วยความตื่นตะลึงจนลืมที่จะหายใจ
“โอสถศักดิ์สิทธิ์ขั้นเทวะวิญญาณไพศาล! นี่มัน…มันเป็นไปได้อย่างไร? นี่มันคือโอสถเพลิงแดงเก้ากระจ่าง โอสถความยากระดับแปดเชียวนะ!”
เมื่อคำพูดเหล่านั้นถูกกล่าวออกมาคนทั้งหลายก็ต่างตกตะลึงไปทันที
ก่อนหน้านี้เย่หยวนนั้นเคยหลอมโอสถขั้นเทวะวิญญาณไพศาลมาไม่น้อยแต่เมื่อขึ้นมาถึงสังเวียนจิตม่วงแล้วเขาก็ไม่ได้หลอมโอสถให้ถึงขั้นเทวะวิญญาณไพศาลอีกต่อไป แม้แต่โอสถขั้นเทวะโมฆะก็ยังแทบไม่มีให้เห็น
ทุกคนต่างคิดว่าการหลอมโอสถที่มีความยากมากขึ้นนั้นทำให้พลังฝีมือของเย่หยวนไม่อาจจะจัดการมันได้อีกต่อไป
แต่เป็นเวลานี้เองที่พวกเขาทั้งหลายได้รู้ว่ามันผิดพลาดสิ้น
ความผิดพลาดครั้งใหญ่!
เมื่อเย่หยวนประลองกับพวกเขาทั้งหลายเขานั้นไม่ได้ใช้พลังถึงสามในสิบด้วยซ้ำ
เขานั้นแค่ล้อคนอื่นๆ เล่น
โอสถศักดิ์สิทธิ์ความยากแปดขั้นเทวะวิญญาณไพศาล มันเป็นโอสถระดับใด?
พลังฝีมือระดับนี้มันมากพอจะทำลายเหล่านักหลอมโอสถสวรรค์เกล็ดดำจนสิ้น
เหล่าคนในขั้นเกล็ดดำนั้นอย่าว่าแต่ขั้นเทวะวิญญาณไพศาล แม้จะเป็นขั้นเทวะม่วงก็ยังยากที่จะพบเห็น
แต่เย่หยวนกลับหลอมมันได้จนถึงขั้นเทวะวิญญาณไพศาล
ความแตกต่างนี้มันยิ่งใหญ่เกินไป
หรือว่าแท้จริงแล้วเย่หยวนนั้นมีฝีมือถึงขั้นที่จะเป็นปรมาจารย์นักหลอมโอสถสวรรค์ยาฟ้าแล้ว?
คิดมาได้ถึงตรงนี้ทุกผู้คนต่างก็ตื่นตะลึง
ยู่หยิงมองดูภาพนี้อย่างเหม่อลอยจนถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่อยากเชื่อเรื่องที่เกิดขึ้นตรงหน้านี้
เขาแพ้! แพ้พ่ายลงอย่างราบคาบ!
ในเวลาแค่ไม่กี่อึดใจนี้ตั้งแต่ต้นจนจบ เขานั้นได้แพ้พ่ายลงให้แก่คลื่นพลังจิตของเย่หยวนอย่างราบคาบ
แต่เย่หยวนคนนี้กลับหลอมโอสถไปได้ถึงขั้นเทวะวิญญาณไพศาล!
พลังฝีมือเช่นนี้มันเหนือล้ำจนเกินกว่าที่เขาจะอาจเอื้อม
เย่หยวนค่อยๆ เดินมาตรงหน้ายู่หยิง “เชิญท่านได้”
ยู่หยิงสั่นสะท้านขึ้นทันที สีหน้าของเขาเปลี่ยนสีไปอย่างฉับพลัน
เหตุผลที่เขามาท้าทายเช่นนี้มันย่อมเป็นเพราะว่าเขานั้นไม่คิดว่าตนจะแพ้
แต่ผลกลับออกมาตรงข้ามกับที่เขาหวัง
หากไม่ให้เข้ามาในยอดเมืองหลวงจักรพรรดิทองวาวอีกตลอดชีวิตนี้แล้ว มันคงเป็นโทษที่หนักหนาสาหัสเกินกว่าเขาจะรับได้
เขานั้นมีโอกาสความเป็นไปได้ใหญ่โตมากมายด้วยความหวังที่ว่าจะขึ้นสู่ระดับยาฟ้าได้
แต่ตอนนี้ทุกสิ่งอย่างมันกลับพังทลายลง
เมื่อได้เห็นว่ายู่หยิงไม่ยอมตอบอะไรเลยเย่หยวนก็พูดขึ้นซ้ำ “แพ้แล้วยังคิดคืนคำ นี่หรือคือวิถีของโถงวาโยขจี?”
ยู่หยิงเงียบนิ่งไปแต่ใบหน้าของเขากลับกระตุกสั่น ดูท่าแล้วเขาคงกำลังหนักใจอย่างมาก
การกลับคำต่อหน้าผู้คนมากมายเช่นนี้เขาจะยังเอาหน้าที่ไหนไปสู้ผู้คนในยอดเมืองหลวงจักรพรรดิทองวาวต่อไป?
แต่การให้เขาต้องไปจากยอดเมืองหลวงจักรพรรดิทองวาวเช่นนี้มันเกินกว่าที่เขาจะรับได้เช่นกัน
“เจ้าหนุ่ม เจ้าต้องบีบบังคับผู้คนขนาดนี้เลยหรือ?” ในความเงียบงันนั้นก็มีเงาร่างหนึ่งปรากฏกายออกมา
นั่นทำให้ใบหน้าของยู่หยิงเปลี่ยนสีไปทันที “ท่านเจ้าโถง! ข้า…”
เย่หยวนหันไปมองชายร่างอ้วนในชุดหรูหรานั้น เสื้อผ้าที่เขาใส่อยู่นี้มันทำให้เขาดูเหมือนยอดเศรษฐีหรือขุนนางท้องถิ่น
เย่หยวนไม่นึกไม่ฝันว่าเขาคนนี้จะเป็นเจ้าโถงวาโยขจีนั้น
ชายร่างอ้วนคนนี้ทำให้เย่หยวนรู้สึกพิศวง
“บีบบังคับผู้คน? หึ เรื่องราวในวันนี้ทุกผู้คนต่างเห็นดีว่าใครกันแน่ที่มาหาเรื่องใคร ข้าเชื่อว่าหากไปถามใคร เขาก็คงจะตอบท่านได้” เย่หยวนกล่าวออกมา
ชายร่างอ้วนนั้นยิ้มตอบกลับมา “ผู้อาวุโสยู่นั้นคงไม่มาหาเรื่องเจ้าอย่างไร้เหตุหรอกใช่หรือไม่ เรื่องนี้มันต้องมีที่มาที่ไปใช่ไหม?”
ยู่หยิงร้องบอกขึ้น “เด็กคนนี้มันใช้เรื่องที่ว่าตัวเองเก่งกาจเหนือล้ำกว่าคนอื่น คอยนำมาเหยียดหยามคน คำพูดของเขานั้นดูถูกว่ากล่าวโถงวาโยขจี! ในฐานะผู้อาวุโสของโถงวาโยขจีข้าย่อมไม่อาจจะทนได้”
ชายร่างอ้วนจึงตอบขึ้น “เจ้าเองก็ได้ยินใช่ไหม โถงวาโยขจีของข้านั้นเป็นหนึ่งในโถงใหญ่ของหอมหาสมบัติ ไม่ว่าจะอย่างไรสหายหนุ่มเจ้าก็พูดจาไม่เหมาะสมใช่หรือไม่เล่า?”
“ดูถูกว่ากล่าวโถงวาโยขจี? หึ พวกเจ้าคิดจะไล่เย่คนนี้ออกจากยอดเมืองหลวงจักรพรรดิเพียงเพราะว่าคำกล่าวหาข้างเดียว ช่างเป็นยอดคนมากฝีมือเสียจริงๆ ผู้อาวุโสเจียงหยวน ท่านเองก็อยู่ที่นี่ใช่หรือไม่? ทำไมไม่ออกมาหน่อยเล่า?” เย่หยวนหันไปร้องบอก
เมื่อคำพูดเหล่านั้นถูกกล่าวออกมาสีหน้าของเจียงหัวที่ข้างกายเจียงหยวนก็เปลี่ยนไปทันที
แต่เจียงหยวนนั้นย่อมไม่คิดหลบซ่อนและออกไปทันที
เมื่อเห็นหน้าเย่หยวนเจียงหยวนก็กล่าวขึ้น “เย่หยวน ข้าได้ยินว่าเจ้านั้นไต่เต้าสร้างชื่อขึ้นในสังเวียนจิตม่วงข้าจึงได้ส่งคนรับใช้พร้อมของขวัญชิ้นงามมามากมาย คิดอยากผูกสัมพันธ์ แต่เจ้ากลับทำร้ายเขาอย่างสาหัสแถมยังดูถูกว่ากล่าวโถงวาโยขจีของข้า มีหรือที่คนดีๆ เขาจะทำกัน?”
สามยอดคนแห่งโถงวาโยขจีนั้นยืนเรียงหน้ากันอยู่ต่อหน้าเย่หยวนมันทำให้ผู้คนที่เห็นแตกตื่นมาก
แม้ว่าเย่หยวนจะมีพรสวรรค์ที่เหนือล้ำ มีพลังฝีมือที่เหนือล้ำแต่เรื่องราวในครั้งนี้ดูท่าจะเป็นความผิดของเย่หยวนอย่างแน่นอนแล้ว
ที่ด้านล่างสังเวียนคนทั้งหลายต้องยกนิ้วขึ้นมาชี้หน้าด่าเย่หยวนอย่างช่วยไม่ได้
แต่เย่หยวนกลับตอบไปด้วยท่าทางเย็นชา “ผู้อาวุโสเจียง คนรับใช้ที่ท่านส่งมาคือเจียงหัวใช่หรือไม่?”
เจียงหยวนตอบกลับไปด้วยท่าทางเดือดแค้น “ใช่สิ!”
เย่หยวนยิ้มตอบกลับไป “เช่นนั้น…ตอนนี้เขาอยู่ไหนเล่า?”
“หึ เจ้ายังกล้าจะพบหน้าเขาอีกหรือ? เช่นนั้นก็ให้ผู้คนได้เห็นท่าทางหยิ่งยโสของเจ้า! เจียงหัว!” เจียงหยวนร้องเรียกขึ้น
แต่ไม่มีใครตอบ
เจียงหยวนได้แต่ขมวดคิ้วพร้อมร้องขึ้นอีกครั้ง “เจียงหัว!”
ไม่มีใครตอบกลับ!
เขาใจสั่นขึ้นทันทีคิดว่าเรื่องราวนี้มันดูท่าไม่ดีแล้ว
เขานั้นยังคงพยายามตะโกนร้องเรียกออกมาแต่เป็นเย่หยวนที่พูดขึ้นขัด “ไม่ต้องเรียกมันหรอก มันคงหนีไปแล้วล่ะ”
นั่นทำให้ใบหน้าของเหล่ายอดคนทั้งสามของโถงวาโยขจีเขียวคล้ำขึ้นทันที ดูท่าเรื่องราวครั้งนี้มันจะไม่จบง่ายๆ เสียแล้ว
“นี่มัน…เกิดอะไรขึ้นกันแน่?” เจียงหยวนเผลอพูดขึ้นมาด้วยความกังวลและความรู้สึกผิดปกติแปลกๆ ในใจ
เย่หยวนยิ้มตอบกลับไป “แน่นอนว่ามันย่อมไม่กล้ามาเผชิญหน้ากับข้าหรอก เรื่องราวนี้ขอแค่ท่านกับข้าได้พบกัน มันก็ไม่มีที่ใดให้หนีแล้ว ผู้อาวุโสเจียง ท่านนั้นเป็นถึงผู้อาวุโสแห่งโถงวาโยขจีอันยิ่งใหญ่เหตุใดจึงถูกคนใช้ปั่นหัวง่ายดายเช่นนี้? จนถึงขั้นสร้างเรื่องราวใหญ่โตถึงขั้นนี้เสียด้วย ช่างน่าขัน!”
นั่นทำให้สีหน้าของเจ้าโถงเปลี่ยนไปทันที ดูท่าแล้ววันนี้เขาคงถูกผู้คนหลอกจึงได้แต่ขมวดคิ้วขึ้นถาม “สหายหนุ่มเย่ นี่มันเรื่องอะไรกันแน่?”
เย่หยวนเองก็ย่อมไม่คิดปกปิดใดๆ และเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในตอนที่เขาไปยังบ้านตระกูลเจียงในวันนั้นออกไปทำให้สีหน้าของคนทั้งสามขาวซีดลง
“เรื่องนี้จะพิสูจน์นั้นมันแสนง่ายดาย ขอแค่ท่านผู้อาวุโสเจียงลองไปถามดูกับคนที่ไปยังเรือนรับรองในวันนั้นข้าว่าท่านคงรู้เรื่องราวในทันที ส่วนเรื่องที่ท่านกล่าวหาว่าข้านั้นทำร้ายมันและดูถูกดูหมิ่นโถงวาโยขจีเองก็ไม่เป็นความจริงใดๆ เพราะตั้งแต่วันนั้นมาข้ายังไม่ได้เจอหน้ามันอีกเลย” เย่หยวนตอบ
นั่นทำให้เจียงหยวนต้องกำหมัดแน่น เขาได้แต่ขบกัดฟันด้วยความเจ็บใจ ดูท่าคงโกรธจนถึงขีดสุดแล้ว
เขานั้นไม่นึกไม่ฝันว่าตัวเอง ผู้อาวุโสคนนี้กลับจะกลายเป็นดาบในมือคนใช้ไปได้
และดาบนี้มันมิใช่แค่ทำร้ายเขา แต่ยังทำให้โถงวาโยขจีต้องเสียชื่ออีก
วันนี้แม้แต่เจ้าโถงก็ยังต้องออกมารับหน้าเอง จะบอกว่าโถงวาโยขจีนั้นเสียชื่อจนไม่เหลือซากใดๆ เลยก็ว่าได้
เขาอยากจะสับหั่นเจียงหัวลงให้ได้เสียตอนนี้
ยู่หยิงเองก็มีใบหน้าที่ไม่พอใจเช่นกันก่อนจะพูดออกมา “เช่นนั้นแล้วทำไมเจ้าไม่บอกมาแต่แรกเล่า?”
เย่หยวนมองดูใบหน้านั้นพร้อมตอกกลับไป “หากแม้ข้าพูดไปแล้วท่านจะเชื่อ?”
ยู่หยิงแทบสำลักเมื่อได้ยินเช่นนั้น เป็นเวลานั้นเองที่เขานึกขึ้นมาได้ว่าเย่หยวนปฏิเสธไปครั้งหนึ่ง แต่เป็นเขาเองที่ไม่ยอมรับฟัง
ต่อให้ตอนนั้นเย่หยวนจะอธิบายใดๆ เขาก็ย่อมจะไม่เชื่อ คิดเพียงแค่ว่าเย่หยวนนั้นหาข้ออ้าง
เรื่องนี้เย่หยวนเองก็ย่อมเข้าใจดี เพราะฉะนั้นเขาจึงไม่ได้คิดเปลืองน้ำลายพูดออกมา
เมื่อพูดจาใดๆ โดยไร้พลังแล้วมันก็ไม่ต่างจากการผายลม
พลังนั้นคือเส้นทางของราชัน เย่หยวนทำให้ยู่หยิงพ่ายลงและค่อยเริ่มอธิบายเรื่องราว แน่นอนว่าความน่าเชื่อถือนั้นมันย่อมมากกว่าเป็นไหนๆ
ในตอนนั้นเองที่ทางเจ้าโถงยกมือขึ้นมาคารวะเย่หยวน “สหายหนุ่มเย่ เรื่องครั้งนี้ล้วนเป็นความผิดโถงวาโยขจีข้าทั้งสิ้น ข้าขออภัยเจ้าแทนผู้อาวุโสยู่และผู้อาวุโสเจียงด้วย”
…………………………