“หึ ท่านเจ้าโถงมู่ช่างเก่งกาจเสียจริง!”
ตอนนี้ภายในห้องรับรองนั้นมีเพียงแค่เย่หยวนและมู่เฟิงที่นั่งมองหน้ากันอยู่ด้วยรอยยิ้มอันเย็นเยือก
มู่เฟิงยิ้มตอบกลับไป “สหายหนุ่มเย่โปรดระงับโทสะก่อน เรื่องราวทั้งหลายนี้เป็นความผิดมู่ผู้นี้เอง ต้องขอโทษเจ้าด้วย”
เด็กหนุ่มยกชาขึ้นดื่มและตอบกลับไป “ท่านเจ้าโถงมู่ทำสิ่งใดผิดกันเล่า? ข้าต้องขอบคุณท่านเจ้าโถงมู่เสียด้วยซ้ำ”
มู่เฟิงยิ้มตอบกลับมา “ข้ารู้ดีว่ามีโถงอื่นๆ มาติดต่อหาสหายหนุ่มเย่มากเพียงใดและทางโถงวาโยขจีเราก็ได้ล่วงเกินเจ้าไปจริงๆ แต่จะว่าไปแล้วเรื่องที่สหายหนุ่มเย่เจอต่อให้ไปยังโถงอื่นมันก็คงไม่อาจเลี่ยงพ้นได้ แต่สุดท้ายแล้วโถงวาโยขจีเราก็ยังเป็นโถงที่มีสายสัมพันธ์กับสหายหนุ่มเย่มากที่สุด เมื่อร่วมงานกันแล้วมันย่อมจะมีเรื่องติดขัดน้อยกว่ามิใช่หรือ?”
เรื่องนี้เย่หยวนเองก็ย่อมรู้ดี
เพียงแค่ว่าเรื่องราวมันเกิดขึ้นไปแล้ว
หากเขานั้นมีพลังไม่มากพอเขาก็คงต้องตายในน้ำมือเจียงหัวอย่างไม่มีใครสนใจแล้ว?
“การที่ตั้งให้เซียวเฟิงขึ้นเป็นผู้พิทักษ์เองด้านหนึ่งก็เพราะเห็นแก่สหายหนุ่มเย่แต่มันก็ไม่ใช่เพราะเหตุผลนั้นทั้งหมด เพราะข้านั้นวางแผนไว้ว่าไว้ว่าจะให้เซียวเฟิงนั้นดูแลหอมหาสมบัติของเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์อย่างเด็ดขาดถาวร จัดการเรื่องราวธุรกิจระหว่างเราทั้งสิ้น เพราะการแต่งตั้งให้เขาขึ้นเป็นผู้จัดการเรื่องราวทั้งหมดมันย่อมเหมาะสมที่สุด สหายหนุ่มเย่คิดว่าอย่างไรบ้างเล่า?”
ได้ยินเช่นนั้นเย่หยวนก็รู้สึกคล้อยตามทันที
เพราะเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์นั้นพึ่งพาหอมหาสมบัติมาตลอด หากมีใครถูกแต่งตั้งใหม่ไปมันย่อมจะเกิดความขัดแย้งขึ้นอย่างเลี่ยงไม่ได้ ไม่มากก็น้อย
เพราะคนแต่ละผู้ต่างก็มีนายของตัวเองที่แตกต่างกันไป
แต่หากคนผู้นั้นเป็นเซียวเฟิงแล้วเรื่องราวทั้งหลายมันย่อมเปลี่ยนไปสิ้น
เมื่อเห็นว่าเย่หยวนเริ่มคล้อยตามทางอีกฝ่ายจึงกล่าวได้ขึ้นอีก “ที่สำคัญสหายหนุ่มเย่และโถงวาโยขจีเรานั้นเกี่ยวข้องกันอย่างลึกซึ้ง ตอนนี้เซี่ยะจิ้งอวี๋และเหลียงหวานหรูทั้งสองคนนั้นเองก็อยู่ใต้การดูแลของโถงวาโยขจีเราเช่นกัน และข้ายังได้สอบถามหาข้อมูลมาแล้วว่าทั้งสองคนนี้ก็มีพรสวรรค์ที่ไม่เลว วันหน้าข้าวางแผนไว้ว่าจะนำพาพวกเขาทั้งสองเข้ามาฝึกฝนที่ยอดเมืองหลวงจักรพรรดิ”
เย่หยวนมองดูมู่เฟิงด้วยใบหน้าเคร่งเครียด ทว่าอีกฝ่ายใบหน้ายังคงรอยยิ้มเอาไว้
เด็กหนุ่มถอนหายใจยาวและบอก “ท่านเจ้าโถงมู่ทำให้ข้าไม่อาจปฏิเสธได้เลยจริงๆ!”
เย่หยวนนั้นต้องยอมรับว่ามู่เฟิงคนนี้มีความสามารถที่เหนือล้ำ
แต่ความสามารถนี้มิใช่พลังฝีมือการต่อสู้แต่เป็นความเข้าใจในผู้คนที่เขาหมายตาจะทำธุรกิจด้วย
ชายคนนี้สามารถอ่านนิสัยคนออกได้อย่างหมดจด!
ค่ายสำนักอำนาจอื่นๆ นั้นต่างใช้วิธีเหนือล้ำมากมายมายื่นให้แก่เย่หยวน แต่มู่เฟิงนี้ต่างออกไป
เขาดูออกได้ทันทีว่าเย่หยวนนั้นเป็นคนที่ให้ความสำคัญกับคนรอบตัวมาก และยอมที่จะทำเพื่อสหายมากกว่าทำเพื่อผลประโยชน์
ไม่เช่นนั้นแล้วเขาเองก็คงไม่ลงมือทำเช่นนั้นในบ้านตระกูลเจียงแน่
เย่หยวนนั้นย่อมไม่พอใจที่มู่เฟิงทำอะไรลับหลังเขาเช่นนี้แต่เขาก็ดีใจกับเซียวเฟิงอยู่ไม่น้อย
อย่างน้อยๆ ด้วยสถานะของเขาในตอนนี้เขาก็พอที่จะมีที่ยืนในโถงวาโยขจีบ้างแล้ว
มู่เฟิงยังคงยิ้มต่อไป “สหายหนุ่มเย่ จากนี้ไปก็ฝากตัวด้วย! เจ้าวางใจได้ข้านั้นจะมอบอำนาจสูงสุดให้แก่เซียวเฟิงแน่ ไม่ว่าจะเป็นสมุนไพรวิญญาณใดที่สหายหนุ่มเย่ต้องการขอแค่มันเป็นสิ่งที่โถงวาโยขจีเราหาได้เราย่อมจะส่งมอบให้แน่”
เด็กหนุ่มพยักหน้ารับ “ได้ เช่นนั้นก็ฝากตัวด้วย!”
…
พายุของสังเวียนจิตม่วงนั้นผ่านไปอย่างรวดเร็ว แต่สิ่งที่ทำให้ทุกผู้คนตื่นตะลึงนั้นก็คือการที่สุดท้ายแล้วเย่หยวนยังเลือกที่จะทำการค้ากับโถงวาโยขจี
นั่นทำให้เหล่าค่ายสำนักใหญ่ทั้งหลายได้แต่ถอนหายใจยาวด้วยความเสียดาย
แต่สิ่งที่พวกเขาทั้งหลายยังคงสนใจก็คือเรื่องที่ว่าเย่หยวนจะเดินในเส้นทางของนักหลอมโอสถสวรรค์ไปได้อีกไกลแค่ไหน
เพราะการขึ้นไปถึงขั้นยาฟ้านั้นมิใช่เรื่องง่ายดายแน่นอน
สำหรับนักหลอมโอสถสวรรค์เกล็ดดำที่ต้องการจะขึ้นไปยังขั้นยาฟ้าพวกเขาทั้งหลายนั้นต้องประลองให้ชนะเหล่าผู้อาวุโสเสียก่อน
เรื่องนี้มันเป็นอะไรที่แสนจะยากเย็น!
กับยอดฝีมือขั้นยาฟ้าแล้วแต่ละคนล้วนอยู่ในอาณาจักรเต๋าสิ้น พลังความรู้ความสามารถที่เขามีในด้านโอสถนั้นมันเหนือล้ำจนผู้คนไม่อาจคาดเดาได้
แม้ว่ายู่หยิงผู้นั้นจะเป็นนักหลอมโอสถในอาณาจักรเต๋าเช่นกันแต่เมื่อเทียบกับเหล่าผู้อาวุโสขั้นยาฟ้าแล้วตัวเขานั้นย่อมไม่อาจจะไปเทียบเคียงได้เลย
ทุกคนต่างไม่ได้รับรู้ถึงเรื่องราวเล็กน้อยที่เกิดขึ้นในแหล่งรวมร้อยสมุนไพรทำให้พวกเขาทั้งหลายนั้นไม่ได้เข้าใจฝีมือที่แท้จริงของเย่หยวน
ในความเป็นจริงแล้วแม้แต่ตัวเซินชางเองก็ไม่รู้เช่นกันว่าขีดจำกัดของเย่หยวนมันอยู่ที่ใด
เหล่าค่ายสำนักต่างๆ ที่ไม่อาจดึงเย่หยวนมาร่วมธุรกิจได้ต่างพยายามสาปแช่งให้คนอื่นโชคร้ายตาม หวังจะเห็นโถงวาโยขจีก้าวพลาดที่เลือกเย่หยวน
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วในเวลาแค่สองเดือนเย่หยวนนั้นได้ก้าวข้ามทุกความยากลำบาก ขึ้นจากขั้นจิตม่วงมายังขั้นเกล็ดดำและชนะรวดแม้แต่ในขั้นเกล็ดดำถึงสามสิบครั้งทำให้เขาได้สิทธิในการท้าทายผู้อาวุโสขั้นยาฟ้า
ในสังเวียนเกล็ดดำนี้มันแตกต่างจากสังเวียนจิตม่วงตรงที่จำนวนของเหล่านักหลอมโอสถสวรรค์เกล็ดดำนั้นมันไม่ได้มีมากมายนักเมื่อเทียบกับขั้นจิตม่วง
ที่สำคัญกว่านั้นฝีมือของเหล่าเกล็ดดำทั้งหลายนั้นยังใกล้เคียงกันอย่างมาก มันเป็นการยากหากคิดอยากจะชนะรวดให้ได้เช่นนั้น
แต่สุดท้ายแล้วเย่หยวนก็ยังคงกวาดชัยชนะมาเรียบ
เพราะแม้แต่ยู่หยิงที่นับว่าเป็นยอดคนของระดับเกล็ดเงินยังพ่ายแพ้ลงโดยง่าย แล้วจะยังมีใครมาเทียบเคียงเขาได้อีก?
สุดท้ายแล้วมันจึงได้เวลาแห่งการท้าทายผู้อาวุโสขั้นยาฟ้า
ในวันนี้มีผู้คนมามากมายที่สังเวียน
เพราะในหมู่สิบห้าผู้อาวุโสยาฟ้านั้นนอกเสียจากสองคนที่ยังเก็บตัวอยู่แล้วอีกสิบสามคนที่เหลือต่างปรากฏตัวออกมาพร้อม
บ้างนั้นก็เดินทางมาจากที่แสนห่างไกลเพื่อจะได้ดูการประลองในวันนี้
เซินชางมองดูเย่หยวนด้วยสายตาเปี่ยมกังวล
เขาไม่นึกไม่ฝันว่าวันนี้มันจะมาถึงอย่างรวดเร็วปานนี้
การประลองกับเย่หยวนในวันนี้นั้นเขาไม่มั่นใจเลยสักนิด
“เย่หยวน เจ้าได้สิทธิในการท้าทายเหล่าผู้อาวุโสขั้นยาฟ้าทั้งหลาย ตอนนี้เจ้าจงเลือกผู้อาวุโสที่คิดอยากเข้าประลองด้วยเถอะ” เฉินหยู่ร้องบอก
เย่หยวนถามขึ้น “ผู้อาวุโสเฉินหยู่ ผู้น้อยนั้นมีคำขอร้องอยู่ไม่ทราบว่าทางศาลาโอสถสวรรค์จะรับฟังได้หรือไม่?”
เฉินหยู่มึนงงไปเล็กน้อยแต่ก็พยักหน้ารับ “ลองพูดมา”
เย่หยวนกล่าว “สามผู้อาวุโสที่ข้าต้องการท้าประลองคือท่าน ท่านอาจารย์เซินชางและท่านอาจารย์เซียวเจิ้น! ไม่ทราบว่าจะเป็นไปได้หรือไม่?”
เมื่อคำพูดเหล่านั้นถูกกล่าวคนที่มาดูเรื่องราวก็แตกตื่นขึ้นทันที
“ผิดพลาดอะไรกันหรือไม่? สามท่านนี้คือนักหลอมโอสถสวรรค์ยาฟ้าที่นับได้ว่าแข็งแกร่งที่สุดในหมู่ผู้อาวุโส แต่เย่หยวนกลับกล้าที่จะท้าทายพวกท่านทั้งสามคนนี้อย่างนั้นหรือ?”
“ไอ้เจ้าหมอนี่มันบ้าไปแล้ว!”
“ปกติคนเราต้องเลือกอ่อนแทงแข็งเว้นมิใช่หรือ? แต่เจ้าหมอนี่มันกลับเลือกที่จะแทงหินผา!”
…
เมื่อมาอยู่ในศาลาโอสถสวรรค์ได้นับเดือนๆ เย่หยวนย่อมเข้าใจถึงความแข็งแกร่งของเหล่าผู้อาวุโสขั้นยาฟ้าด้วย
คนทั้งสามที่เขากล่าวท้าออกไปนั้นคือสามผู้อาวุโสนักหลอมโอสถสวรรค์ยาฟ้าที่มีฝีมือมากที่สุด
เซียวเจิ้นนั้นเป็นคนจากยอดเมืองหลวงจักรพรรดิอื่นแต่เขาเองก็ไม่ได้อ่อนแอไปกว่าเซินชางเลยแม้แต่น้อย
แต่ทว่าเฉินหยู่นั้นกลับรู้สึกเจ็บปวดขึ้นมาในใจเพราะเรื่องที่เขาเกรงกลัวที่สุดได้เกิดขึ้นมาจริงๆ
คนอื่นๆ หากมีสิทธิ์เลือกผู้อาวุโสเพื่อท้าทายพวกเขาย่อมจะเลือกคนที่อ่อนแอ แต่เย่หยวนนั้นไม่เกรงกลัวใดๆ และกล้าที่จะท้าทายพวกเขาทั้งสาม
และสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือเขานั้นไม่มั่นใจเลยว่าจะหลอมโอสถสู้เย่หยวนได้
เพราะเรื่องที่เซินชางบอกออกมาเฉินหยู่เองก็ย่อมทราบแก่ใจ
โอสถระดับนั้นในขั้นเทวะ ตัวเขาย่อมไม่อาจจะหลอมมันได้
และคนทั้งสามนี้คือผู้อาวุโสที่มีหน้าตาชื่อเสียงมานับล้านปี ตั้งแต่ที่เข้าศาลาโอสถสวรรค์มาพวกเขานั้นยังไม่เคยรับความพ่ายแพ้มาก่อน
แต่วันนี้พวกเขากลับได้เจอตัวปัญหาเข้าแล้ว
หากพวกเขาแพ้ลงมันย่อมจะเป็นเรื่องน่าอายไปชั่วชีวิต!
ไม่ว่าอย่างไรเสียเย่หยวนก็ต้องเข้ามาถึงขั้นยาฟ้าได้แน่ จะดีแค่ไหนกันหากเขาจะเลือกเหล่าผู้อาวุโสที่ฝีมือด้อยกว่านี้?
เฉินหยู่ได้แต่ด่าว่าเย่หยวนอยู่ในใจ
“เจ้าย่อมทำได้! เจ้ามีเรื่องใดจะถามอีกไหม?” แม้ว่าเฉินหยู่จะไม่มั่นใจว่าจะต้านเย่หยวนได้แต่ครั้งนี้เขาย่อมไม่อาจจะบอกปัดไปได้
เย่หยวนมองดูที่เฉินหยู่ด้วยใบหน้าเย็นชา “สิ่งที่ข้าอยากขอนั้นมีอีกเรื่องคือข้าขอท้าพวกท่านทั้งสามคนพร้อมกัน!”
หา!
เสียงร้องถามดังขึ้นมาพร้อมๆ กันจากทางเหล่าผู้มาดูเหตุการณ์
การท้าประลองนักหลอมโอสถสวรรค์ยาฟ้าพร้อมกันถึงสามคน มันต้องเป็นเรื่องราวใหญ่โตเพียงใด?
………………………..