“ไม่ได้การแล้ว ให้ถูกกดดันเช่นนี้ต่อไปไม่ดีแน่ ไม่เช่นนั้นคงไม่มีเราคนใดจะหนีไปได้!”
ลู่ซินรู้ดีว่าภายใต้สถานการณ์เช่นนี้พวกเขาทั้งหลายย่อมจะไม่สามารถทำการได้สำเร็จแน่
ไม่ว่าจะเป็นทางเย่หยวนหรือเทพถ่องแท้สี่ดาวตรงหน้าเขานี้ต่างก็มิใช่คนอ่อนแอที่จะกดดันได้เลย
เขานั้นต้องหนี นำข่าวกลับไป แล้วให้ท่านหยิงเฟิงส่งยอดฝีมือที่เหนือล้ำกว่านี้มาแทน
คิดมาได้ถึงตรงนี้ลู่ซินก็ได้แต่กัดฟันแน่นตัดสินใจปลดขวางมิติไร้รอยออกอย่างเงียบงัน
‘ฟุบ!’
ร่างของลู่ซินจางหายหลบหนีเข้าไปในความว่างเปล่า
เทพถ่องแท้สี่ดาวนั้นสามารถเดินทางนับหมื่นๆ กิโลเมตรได้ในพริบตา การหนีออกจากเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์ไปนี้มันย่อมต้องใช้เวลาเพียงแค่พริบตา
เมื่อไป๋ตงเห็นเช่นนั้นเขาก็หัวเราะออกมาก่อนจะก้าวเท้าออกส่งร่างของตนให้หายลับไปเช่นกัน
ที่ด้านข้างเย่หยวนที่มีสัมผัสด้านมิติอันเฉียบคมก็รู้ได้ทันทีในวินาทีที่ขวางมิติไร้รอยถูกปลดออก
เมื่อเห็นว่าไป๋ตงตามศัตรูไปแล้วเย่หยวนจึงได้ตะโกนไล่หลังไป “อย่าให้มันตาย!”
“วางใจเถอะ!”
ในห้วงมิตินั้นมีเสียงของไป๋ตงตอบกลับมาก่อนจะเงียบหายไป
ตอนนี้ภายในจวนเจ้าเมืองมันจึงมีแต่เสียงของเย่หยวนและพวกซูเหมาทั้งสี่ที่เข้าปะทะกันอย่างต่อเนื่อง
“ลู่ซิน เจ้าไม่ได้ตายดีแน่!”
“เจ้าคนชั่วร้ายคิดหนีเอาตัวรอด ชีวิตเจ้าไม่ได้ตายดีแน่นอน!”
…
ลู่ซินนั้นหนีออกไปอย่างไม่คิดส่งสัญญาณบอกพวกเขาทั้งหลายและมันทำให้พวกเขาทั้งสี่ตกลงสู่สถานการณ์ที่เสียเปรียบมากกว่าเก่า
เมื่อมิติถูกปลดปล่อยการเคลื่อนไหวของเย่หยวนก็ยิ่งรุนแรงรวดเร็วอย่างไม่อาจคาดเดา
การใช้ห้วงมิติผสานเข้ากับกรงเล็บมังกรเอกภพมันทำให้ความได้เปรียบของเขาเพิ่มพูนอย่างมาก
ต่อให้จะเป็นคนทั้งสี่ร่วมมือกันมันก็ยังถูกเย่หยวนกดดันจนไม่อาจจะต้านทานได้แม้แต่น้อย
‘ปัง! ปัง! ปัง!’
หลังจากขวางมิติไร้รอยถูกยกเลิกมันจึงทำให้ภายในจวนเจ้าเมืองเกิดเสียงดังขึ้นสนั่นไปถึงภายนอก
เมื่อสัมผัสได้ถึงคลื่นพลังอันแสนน่ากลัวจากภายในหนิงเทียนปิงก็ได้แต่ยืนหน้าซีด
ตอนนี้เขาได้เข้าใจแล้วว่าความรู้สึกตะขิดตะขวงนั้นมันคืออะไร!
การที่เย่หยวนสั่งให้เขาออกมาเตรียมงานนั้นมันเพื่อจะปกป้องตัวเขา
เทพถ่องแท้นั้นมิใช่ตัวตนที่เขาจะต้านทานได้เลย
คนทั้งห้านั้นปะทะกันอย่างรุนแรงรวดเร็วจนค่อยๆ ลอยตัวกันขึ้นมาจากจวนเจ้าเมือง
เย่หยวนนั้นดูราวกับเป็นเทพแห่งสงครามแม้จะถูกยอดฝีมือทั้งสี่เข้ารุมโจมตีเขาก็ยังคงปัดป้องต่อสู้ได้อย่างไม่เสียเปรียบ
ภาพตรงหน้านี้ย่อมถูกเหล่านักยุทธ์ทั้งหลายในเมืองจ้องมองดูด้วยความตะลึง
“นี่ตาข้าฝาดไปหรือ? เทพถ่องแท้สองดาวทั้งสี่คนนั้นกลับไม่สามารถต่อสู้กับท่านเย่หยวนคนเดียวได้?”
“ท่านเย่หยวนนั้นดูเหมือนจะบรรลุกายทองคำระดับหกไปแล้ว แต่กายทองคำระดับหกมันจะแข็งแกร่งได้ปานนี้หรือ?”
“กายทองคำระดับหกนั้นมันเพียงแค่จะทำให้ร่างกายของผู้ใช้แข็งแกร่งกว่านักยุทธ์ในระดับเดียวกันไปไม่มาก มีหรือที่จะแข็งแกร่งได้ปานนี้? ย่อมไม่มีทางเป็นไปได้”
“ข้าได้ยินว่าในหมู่ผู้บ่มเพาะกายนั้นมีวิชาอีกรูปแบบหนึ่งที่เหนือกว่ากายทองคำนามกายทองคำสัมบูรณ์ นี่มันคือจุดสุดยอดของร่างกายที่ผู้บ่มเพาะกายจะมีได้ หรือว่า… ท่านเย่หยวนนั้นจะขึ้นไปถึงกายทองคำสัมบูรณ์ได้?”
…
เหล่านักยุทธ์ทั้งหลายต่างเฝ้ามองดูและคาดเดาไปต่างๆ นานา จนในที่สุดก็เริ่มมีคนพูดถึงกายทองคำสัมบูรณ์ขึ้นมาอย่างรวดเร็วทำให้ผู้คนทั้งหลายแตกตื่นกันไปทันที
แน่นอนว่าการบ่มเพาะด้านวรยุทธ์ของเย่หยวนนั้นยังขึ้นไม่ถึงอาณาจักรเทพถ่องแท้ เพราะฉะนั้นเหตุผลเดียวที่จะอธิบายภาพตรงหน้านี้ได้ก็คือเรื่องนี้
กายทองคำสัมบูรณ์ในตำนานนี้ ท่านเย่หยวนกลับสามารถบ่มเพาะมันได้สำเร็จ!
ทุกผู้คนต่างเงยหน้าขึ้นไปมองดูร่างนั้นอย่างชื่นชม
เว้นเสียแต่ว่าพวกเขายังติดสงสัยเรื่องของเหล่าเทพถ่องแท้ทั้งหลายนี้ว่าเป็นใครมาจากไหน
อีกด้านที่มีการปะทะอันดุเดือดนั้นซูเหยาร้องบอกพวกทั้งสามคน “เลิกโจมตี! เราแยกกันไปสังหารผู้คนในเมืองนี้ มาดูกันหน่อยว่ามันจะสามารถฆ่าสังหารพวกเราทั้งสี่คนพร้อมกันได้หรือไม่!”
เมื่อเย่หยวนได้ยินเช่นนั้นใบหน้าของเขาก็ดำมืดลงทันที
เพราะสิ่งที่เขากังวลที่สุดก็คือคนทั้งหลายนี้จะไปก่อความวุ่นวายในเมืองและเขาก็ไม่นึกไม่ฝันว่าคนพวกนี้จะทำการอย่างไม่มีความเป็นคน ขอแค่เพื่อเป้าหมายแล้วจะทำการใดก็ไม่คิดสนใจ
เมื่ออีกสามคนได้ยินเช่นนั้นดวงตาของเขาก็เบิกกว้างออกทันที
พวกเขานั้นถูกเย่หยวนเล่นงานจนแทบไม่มีโอกาสหายใจ ต่างคิดว่าจะหนีกันไปให้รู้แล้วรู้รอดแต่ในวินาทีนี้สมองของซูเหมากลับเฉียบคมคิดวิธีการที่จะต้อนเย่หยวนให้จนมุมได้
‘ฟุบ ฟุบ ฟุบ ฟุบ’
คนทั้งสี่เองก็ย่อมไม่คิดจะลังเลใจใดๆ รีบพุ่งตัวลงไปยังสี่ทิศทางทันที
แม้ว่าเย่หยวนจะมีแนวคิดแห่งห้วงมิติที่เก่งกาจปานใดเขาก็ย่อมไม่มีทางจะไปปรากฏในสี่ทิศพร้อมๆ กันได้
ด้วยความโกรธแค้นนี้เย่หยวนจึงได้ต่อยหมัดออกมา
ไกลออกไปหนึ่งในนักฆ่าที่ถูกพลังหมัดนั้นได้ร่วงลงกระแทกพื้น!
เพียงแค่ว่าแม้ร่างนั้นจะบาดเจ็บหนักหนาจนมีสภาพดูไม่ได้ แต่เขาก็ยังไม่ตายลง
เทพถ่องแท้สองดาวนั้นมันแข็งแกร่งจนเกินไป!
ด้วยพลังฝีมือของเขาในตอนนี้การจะรับมือแบบตัวต่อตัวมันคงไม่ยากนักแต่การคิดจะฆ่าสังหารในกระบวนท่าเดียวมันย่อมไม่มีทางเป็นไปได้
ในเวลาที่หนึ่งคนถูกหมัดนี้ร่วงลงอีกสี่คนที่เหนือก็ได้แยกตัวออกไปจากเย่หยวนแล้ว
พวกเขานั้นย่อมไม่ได้คิดที่จะปัดป้องใดๆ มาแต่แรกและเพียงแค่หวังว่าจะโชคดีรอดไป
เย่หยวนทำร้ายหนึ่งผู้คน แต่ย่อมไม่อาจจะหยุดอีกสามคนได้ในเวลาเดียวกัน
“ฮ่าๆ เย่หยวน ข้าอยากรู้เสียจริงๆ ว่าเจ้าจะสังหารพวกเราทั้งสี่ทันหรือไม่! เอาสิ!” ซูเหมาหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง
ฟุบ ฟุบ ฟุบ!
ดาบสามเล่มอันรุนแรงฝ่าทะลุฟ้าลงมายังเขตชุมชนในทันที
นั่นทำให้ใบหน้าของเย่หยวนซีดเผือด เขาใช้แนวคิดแห่งห้วงมิติออกมาอย่างไม่รีรอ
‘ปัง!’
ดาบหนึ่งนั้นฟาดเข้าถูกกายเย่หยวนจนทำให้เย่หยวนร่วงตกลงมากลางถนน
แต่ดาบแสงอีกสองเล่มนั้นมันยังคงร่วงตกลงมาอย่างที่เย่หยวนไม่อาจห้ามได้
‘ตูม! ตูม!’
ดาบทั้งสองนี้ได้ทำลายล้างฆ่าสังหารนักยุทธ์ไปนับร้อยนับพัน
เทพถ่องแท้สองดาวนั้นมันสุดแสนที่จะแข็งแกร่ง สำหรับนักยุทธ์ทั้งหลายแล้วพวกเขานั้นเปรียบเหมือนกับเทพเจ้าอย่างแท้จริง
เมืองจักรพรรดิเช่นนี้นักยุทธ์ทั้งหลายส่วนมากจะยังอยู่ในอาณาจักรบรรพชนพระเจ้าและอาณาจักรราชันพระเจ้า มีหรือที่จะต่อต้านพลังโจมตีอันรุนแรงเช่นนี้ได้?
ส่วนที่ถูกดาบแสงนี้ตัดผ่านมันได้กลายเป็นนรกบนดิน!
“ฮ่าๆ เยี่ยม!” ซูเหมาร้องบอกพร้อมเสียงหัวเราะ
นักฆ่าอีกผู้นี้เองก็หัวเราะขึ้นตาม “หากข้ารู้ว่าเจ้าเด็กนี้มันโง่เง่าเช่นนี้แค่เราจับผู้คนมาเป็นตัวประกันเสียหน่อยมันก็คงยอมจำนนแต่โดยดีแล้วใช่หรือไม่? มีหรือต้องลำบากยากเย็นขนาดนี้?”
ในวินาทีนั้นเย่หยวนก็พุ่งทะยานร่างขึ้นสู่ฟ้าอีกครั้งดาวตาทั้งสองของเขาแดงก่ำด้วยความโกรธแค้น
การโจมตีก่อนหน้านี้มันไม่ได้สร้างความเสียหายบาดเจ็บใดๆ ให้แก่เย่หยวน แต่มีหรือที่ชาวเมืองจะรับพลังโจมตีที่รุนแรงเช่นนั้นได้?
“เอาอีก เอาอีกครั้ง!”
ซูเหมาหัวเราะลั่นก่อนจะฟาดดาบลง
“หยุด!”
เย่หยวนตะโกนร้องพร้อมขยับร่างอีกคราพร้อมถูกพลังดาบนั้นฟาดจนร่วงตกลงพื้นดิน
แต่ทว่าอีกสองแห่งนี้เขาไม่อาจป้องกันได้นั้นมันก็มีนักยุทธ์มากมายถูกฆ่าสังหารลง ไม่มีเวลาให้แม้แต่จะหนี
ภายในเมืองตอนนี้มันได้กลายเป็นความวุ่นวายโกลาหลอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ที่ใดที่ถูกดาบแสงนี้ฟาดลงมันได้กลายเป็นเพียงซากปรักหักพัง
“หยุด! ข้าจะไปกับพวกเจ้า!” เย่หยวนร้องตะโกนบอก
ซูเหมานั้นยกมือขึ้นมาโบกห้ามคนทั้งสองให้หยุดมือลงได้
เย่หยวนบินขึ้นมาอยู่ต่อหน้าซูเหมาอีกครั้ง
ซูเหมานั้นถูกเย่หยวนอัดจนน่วมเมื่อเห็นว่าเย่หยวนพุ่งตัวกลับขึ้นมาเขาก็ถอยหลังกลับอย่างไม่รู้ตัวและร้องบอกขึ้น “หยุด!”
เย่หยวนเองก็ไม่อาจทำอะไรได้จึงได้แต่ตัวลงพร้อมด้วยสายตาที่เย็นเยือก
เมื่อซูเหมาเห็นว่าเย่หยวนหยุดลงจริงเขาก็หัวเราะขึ้นมาด้วยความพึงพอใจ “หึๆ ท่านเย่นั้นมีพลังฝีมือที่เหนือล้ำ อย่าได้เข้ามาใกล้ข้า ข้ากลัว!”
เย่หยวนมองดูที่ใบหน้าของอีกฝ่ายก่อนจะกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นเยือก “ข้าจะไปกับพวกเจ้า อย่าได้ทำร้ายผู้บริสุทธิ์อีก!”
ซูเหมายิ้มเย้ยขึ้น “หากเจ้ายอมเสียแต่แรกมันก็คงไม่มีใครต้องตายหรอก หึๆ แต่…เราไม่มีทางเชื่อเจ้าได้ เจ้ามันแข็งแกร่งเกินไป! เมื่อใดที่เจ้าคิดกลับคำแล้วพวกเราก็คงไม่อาจทำอะไรเจ้าได้”
เย่หยวนกล่าวขึ้น “ข้าจะปิดพลังกาย เส้นเลือดและทะเลจิตศักดิ์สิทธิ์ของตน! แต่พวกเจ้าต้องสาบานต่อเต๋าสวรรค์ว่าพวกเจ้าจะไม่ทำร้ายผู้คนในเมืองอีก!”
เมื่อซูเหมาได้ยินเขาก็ยิ่งยิ้มกว้างออกมาอย่างพึงพอใจ
…………………………