“เหตุใดท่านเจ้าเมืองถึงคิดอยากพบเจอมัน? ที่สำคัญยังต้องส่งท่านซู่หยานไปเชิญเองด้วย? หรือว่า…เขาคิดจะแต่งตั้งตำแหน่งในวังดาราให้มันอีก?”
ได้ยินข่าวที่หลี่ซุนนำกลับมาเจียนห่าวก็ได้แต่คิดจินตนาการไปอย่างไม่อาจหักห้าม
เพราะในตอนที่เจียนหงเซียวยังคงดำรงตำแหน่งผู้อาวุโสวังดารานั้นท่านเจ้าเมืองได้ประเมินตัวเขาไว้สูงส่งอย่างมาก
การคิดเจอกับเจียนหงเซียวอีกครั้งนี้หรือว่าเขาต้องการที่จะเรียกเจียนหงเซียวกลับเข้าตำแหน่ง?
หากเป็นเช่นนั้นแล้วคงเป็นปัญหาแน่!
“นี่มัน…เป็นเรื่องที่ข้าน้อยมิทราบ” หลี่ซุนตอบกลับมา
เจียนห่าวหรี่ตาลงพร้อมถามอย่างดุดัน “แล้วเจ้าเด็กที่ทำให้หยุนเอ๋อต้องกลายเป็นเช่นนี้เล่า? มันเป็นตัวร้ายที่แท้จริง! ไปจับตัวมันมาให้ข้าบัดเดี๋ยวนี้!”
เจียนหงเซียวนั้นมีเจียนซู่หยานปกป้อง และตัวตนอย่างเจียนซู่หยานนั้นก็มิใช่คนที่คนอย่างเจียนห่าวนั้นจะไปท้าทายอำนาจได้ แต่เย่หยวนนั้นมิใช่
หลี่ซุนตอบกลับมาด้วยใบหน้าหมดหมอง “ข้าน้อยเองก็คิดอยากพามันมาเช่นกัน แต่…ท่านผู้อาวุโสซู่หยานกลับบอกว่าท่านเจ้าเมืองอยากเจอตัวมันด้วย!”
“หา?! ท่านเจ้าเมืองจะคิดอยากเจอเจ้าเด็กคนนี้ไปเพื่อการณ์ใด? หรือว่า… เจ้าเด็กคนนี้มันจะมีเบื้องลึกเบื้องหลัง?” เมื่อเจียนห่าวได้ยินเขาก็เริ่มคิดขึ้นมาได้ด้วยความตกตะลึง
หลี่ซุนเองจึงตอบกลับมา “ผู้อาวุโส นายน้อยหยุนนั้นเพียงแค่มองเจ้าเด็กคนนี้ครั้งเดียวแต่กลับต้องรับผลสะท้อนอย่างรุนแรงถึงปานนี้ เป็นไปได้ว่า…ไอ้เด็กคนนี้มันอาจจะมีบางสิ่งที่เหนือล้ำผู้คนหรือไม่?”
เจียนห่าวนั้นได้แต่ขมวดคิ้วแน่นพยายามคิดดูอย่างรอบคอบและยิ่งคิดไปมากเท่าใด เขาก็ยิ่งสั่นกลัวมากขึ้นเท่านั้น
“แม้ว่าหยุนเอ๋อนั้นจะมีศาสตร์การดูรัศมีที่ไม่เก่งกาจนักแต่สุดท้ายเขาก็เป็นถึงเทพถ่องแท้ผู้หนึ่ง ต่อให้มันจะเป็นรัศมีจักรพรรดิมันก็คงไม่มีทางจะสร้างแรงสะท้อนที่รุนแรงเช่นนี้ให้ได้ หรือว่า…เจ้าเด็กคนนั้นมันจะมีรัศมีผ่าจักรพรรดิ? ที่สำคัญมันยังเป็นยอดคนในหมู่ผู้มีรัศมีผ่าจักรพรรดิเสียด้วย? แต่…มันจะเป็นไปได้อย่างไร?”
เดิมทีแล้วเพราะอาการบาดเจ็บของเจียนหยุนทำให้เจียนห่าวนั้นขาดสติและไม่ได้คิดถึงเรื่องราวเบื้องหลัง
แต่ตอนนี้เมื่อลองคิดดูอย่างใจเย็นแล้วเขาก็รู้สึกได้ทันทีว่ามันมีอะไรแปลกประหลาดอย่างมาก
เขานั้นเป็นถึงผู้อาวุโสแห่งวังดาราแน่นอนว่าเขาย่อมเข้าใจศาสตร์แห่งการดูรัศมีอย่างดี
การที่จะทำให้เจียนหยุนถูกแรงสะท้อนขนาดนี้ได้หากเย่หยวนไม่ได้มีสมบัติล้ำค่าบางอย่างติดตัวเขาก็ต้องมีดวงชะตาที่สุดแสนจะยิ่งใหญ่
และไม่ว่ามันจะเป็นอย่างไหนเบื้องหลังของเย่หยวนนี้ก็ต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
แต่ปัญหานั้นคือเจียนหงเซียวไปเจอเด็กคนนี้จากที่ใดและเหตุใดที่ทำให้เขาคิดพาเด็กคนนี้มายังบอดเมืองหลวงจักรพรรดิชะตาเลิศ?
ที่สำคัญทางเจ้าเมืองยังคิดอยากเจอเด็กคนนี้ด้วย!
เรื่องราวในครั้งนี้ดูท่ามันจะไม่จบง่ายๆ เสียแล้ว
…
เมื่อเดินเข้าในโถงกว้างนี้มาเย่หยวนก็รู้สึกราวกับว่าได้เดินเข้ามาท่ามกลางทะเลดวงดาว
ภายในศูนย์กลางของทะเลดวงดาวนี้มันมีอุปกรณ์อันใหญ่โตมหาศาลดูทรงค่าทรงพลังตั้งวางหมุนวนอยู่ช้าๆ
เย่หยวนมองดูที่อุปกรณ์ชิ้นนี้และรู้สึกได้ถึงคลื่นพลังลึกลับที่มันส่งออกมาทำให้เขาคาดเดาว่านี่คงเป็นวงแหวนจำลองดวงดาวครบวงแน่แล้ว
และที่ตรงหน้ามันนั้นก็มีชายชุดเทาผู้หนึ่งนั่งลงด้วยเส้นดาบสีเหลืองทองที่ปล่อยออกมารอบกายค่อยๆ เสีบผสานมันเข้าไปในวงแหวนจำลองดวงดาวครบวงนั้น
ชายชราคนนี้มันทำให้เย่หยวนรู้สึกแปลกประหลาดราวกับว่าตัวเขานั้นคือท้องฟ้าแห่งดวงดาว
อีกฝ่ายนั้นยังไม่ได้หันมามองเขา แต่เย่หยวนกลับรู้สึกเหมือนถูกมองผ่านไปอย่างทะลุปรุโปร่ง
หลังจากเจียนหงเซียวเข้ามาถึงโถงใหญ่นี้สีหน้าของเขาก็มีแต่ความเคารพและมันยิ่งทำให้ร่างกายของเขาแข็งทื่อขึ้น
ดูท่าเขาคงเคารพชายตรงหน้านี้อย่างมาก
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใดแต่ในที่สุดเส้นด้ายสีเหลืองทองทั้งหลายนั้นก็ค่อยๆ หดกลับเข้าไปในร่างของชายชรา
เจียนหงเซียวที่เห็นเช่นนั้นจึงรีบก้มหัวลง “คนบาปเจียนหงเซียวขอคารวะท่านซู่เทา!”
“อ่า หงเซียว ไม่ได้เจอกันเสียนาน” ชายชราคนนั้นตอบกลับมา
“ขอรับ ในพริบตามันก็ผ่านไปได้นับแสนปีแล้ว!”
ตอนนี้ใบหน้าของเจียนหงเซียวนั้นมีน้ำตาน้อยๆ ไหลหลั่งลงมา
ชายชราคนนั้นหันสายตามามองยังเย่หยวน
“เจ้าคือเย่หยวน?”
เย้หยวนพยักหน้ารับพร้อมยกมือขึ้นคารวะ “ขอคารวะท่านเทพสวรรค์”
ชายชราตอบกลับมาด้วยสายตาตกตะลึง “แม้แต่เฒ่าคนนี้ก็ยังไม่อาจมองเจ้าได้ออก สมชื่อรัศมีผ่าจักรพรรดิ ดูท่าแล้วในวันหน้าเจ้าคงไม่ได้จบแค่เป็นจักรพรรดิเทพสวรรค์ทั่วๆ ไปแน่!”
เย่หยวนยิ้มตอบกลับไป “ท่านผู้อาวุโสกล่าวเกินไปแล้ว”
ชายชราคนนี้มีใบหน้าที่นิ่งเรียบแต่ในหัวใจของเขานั้นกลับสั่นสะท้าน
เพราะเมื่อก้าวขึ้นมาถึงระดับของเขานี้เขาย่อมสามารถตรวจจับความเปลี่ยนแปลงของเต๋าสวรรค์ได้อย่างง่ายดาย ประสาทสัมผัสถึงอันตรายของเขานั้นมันเหนือล้ำกว่าเจียนหยุนน้อยคนนั้นอย่างไม่อาจเอามาเทียบกันได้
เขานั้นคิดอยากใช้ศาสตร์การดูรัศมีกับเย่หยวนแต่สัญชาตญาณของเขากลับร้องบอกว่าการทำเช่นนั้นจะเป็นอันตรายอย่างไม่อาจหวนคืน
เขานั้นย่อมรับรู้เรื่องที่เจียนหยุนตาบอดไปและคิดกับตัวเองว่าจะยอมเป็นเช่นนั้นหรือ?
แต่ต่อให้มันจะเป็นรัศมีผ่าจักรพรรดิจริงด้วยความสามารถของเขาแล้วมันก็คงไม่หนักหนาถึงขั้นนั้นหรอกใช่หรือไม่?
ตอนนี้เจียนซู่เทานั้นกำลังสับสนอยู่ในจิตใจเขานั้นอยากจะใช้ศาสตร์แห่งการดูรัศมีกับเย่หยวนอย่างมาก แต่เมื่อคิดถึงเรื่องราวของเจียนหยุนแล้วเขาก็ไม่กล้าที่จะทำมัน
เพราะในฐานะเจ้าเมืองและเทพสวรรค์ผู้หนึ่ง เขานั้นไม่อาจจะยอมทนตาบอดลงได้
ความสงสัยฆ่าแมว เรื่องราวเช่นนี้แม้จะเป็นเทพสวรรค์ก็ยังหนีมันไม่พ้น
เมื่อคิดมาได้ถึงตรงนี้สุดท้ายเจียนซู่เทาก็ยอมแพ้ไป
เพราะเมื่อใดที่เขาลงมือและถูกผลสะท้อนเข้า เขาในฐานะยอดฝีมือระดับเจ็ด มันย่อมไม่อาจจะใช้โอสถหกชีพจรดวงดาวมาช่วยได้
ถึงตอนนั้นเขาคงได้ตาบอดอย่างแท้จริง
ผลลัพธ์เช่นนั้นมันย่อมไม่อาจปล่อยให้เกิดขึ้นได้
เจียนซู่เทามองดูเจียนหงเซียวและเปิดปากพูดบอก “ตอนนั้นที่เจ้าจากไป เทพสวรรค์ผู้นี้ได้ทำนายและคาดเดาว่าเส้นทางของเจ้านั้นมันยังไม่ปิดตันลง แต่ไม่นึกว่า…คำตอบมันจะมาอยู่ตรงนี้”
เย่หยวนนั้นสั่นสะท้านทันทีที่ได้ยิน การทำนายในระดับนี้มันเหนือล้ำกว่าคำว่าน่ากลัว
การทำนายเมื่อหนึ่งแสนปีก่อนนั้นมันกลับถูกต้องราวตาเห็น
หนึ่งแสนปีก่อน มันเป็นเวลาที่เขายังไม่ทันได้ถือกำเนิดขึ้นเลย!
เรื่องราวเช่นนี้มันลึกลับและเหนือเกินกว่าจะทำนายได้แต่สุดท้ายหนึ่งแสนปีต่อมาคำทำนายของเจียนซู่เทากลับเป็นจริงขึ้น
เจียนหงเซียวเองก็ตอบกลับไปด้วยท่าทางตื่นตะลึง “ที่แท้ท่านกลับทำนายไว้ให้ข้ามาก่อนแล้ว! ข้าเองก็พึ่งจะเห็นว่าดวงชะตาของตนดีขึ้นมาในช่วงหลังนี้เอง”
“หงเซียว เรื่องราวในตอนนั้นมันช่างยากลำบากต่อเจ้า! เจ้านั้น… ยังแค้นเทพสวรรค์ผู้นี้อยู่ไหม?”
เจียนหงเซียวรีบคุกเข่าลงทันที “นายท่านกล่าวอะไรออกมา? การใช้วิชาลับเพื่อเฟิงฉีนั้นเป็นสิ่งที่หงเซียวลงมือทำด้วยตนเองจนทำให้เกิดหายนะตามมาทั้งยังส่งผลเสียต่อวงแหวนจำลองดวงดาวครบวงอีกด้วย ข้านี่แหละคือคนบาปแห่งวังดาราอย่างแท้จริง!”
เจียนซู่เทาถอนหายใจยาว “มันเป็นเพราะเทพสวรรค์ผู้นี้เองที่ไร้ปัญญา! ยิ่งเราเป็นคนตระกูลเจียนมากเท่าไหร่เราก็ยิ่งจะไร้ปัญญามากเท่านั้น รู้อยู่แก่ใจว่าจะเกิดหายนะแต่ข้าก็ได้เพียงปล่อยให้มันเกิดขึ้น ข้าเกรงว่า…มีเพียงแต่ต้องขึ้นไปให้ถึงอาณาจักรบรรพกาลเท่านั้นที่จะสามารถเปลี่ยนแปลงร้ายให้กลายเป็นดีได้”
เจียนหงเซียวเองก็ถอนหายใจยาวตามออกมา “ที่ข้าเจ็บแค้นในใจที่สุดก็คือแม้จะสร้างเรื่องราวใหญ่โตเช่นนั้นไปสุดท้ายก็ไม่อาจช่วยเฟิงฉีไว้ได้ เฮ้อ…เป็นหงเซียวผู้นี้เองที่ไร้พลังใด!”
เย่หยวนที่ยืนฟังอยู่ด้านข้างเริ่มเข้าใจเรื่องราวขึ้นมาบ้าง
มันเป็นอย่างที่เขาคาด เรื่องราวในครั้งนั้นดูท่าคงไม่ใช่เรื่องราวธรรมดาๆ
เจียนหงเซียวนั้นคิดใช้วิชาลับท้าทายสวรรค์เพื่อเปลี่ยนชะตาของคนผู้หนึ่งนามเฟิงฉี คิดอยากหลบเลี่ยงหายนะ
เพียงแค่ว่าสุดท้ายแล้วมันกลับสร้างความเสียหายที่มากมายทั้งอย่างนั้นเจียนหงเซียวกลับไม่อาจช่วยรักษาชีวิตเฟิงฉีผู้นั้นไว้ได้
เจียนซู่เทาหันกลับมามองที่เย่หยวนอีกครั้ง “เจ้าหนุ่ม ที่เจ้ามาคงเพราะสูตรโอสถหกชีพจรดวงดาว?”
เย่หยวนพยักหน้ารับ “ขอรับ ผู้อาวุโสโปรดมอบสูตรโอสถนั้นให้ข้าดูชมด้วย”
“สูตรโอสถหกชีพจรดวงดาวนี้ ข้ามิอาจให้เจ้าได้!” เจียนซู่เทาส่ายหัวออกมา
…………………………