“หึๆ เจ้าที่บรรลุขึ้นรัศมีจักรพรรดิมาด้วยอายุเท่านี้ ข้าเกรงว่า… เจ้าคงไปเหยียบขี้หมาเข้าตอนออกจากบ้านล่ะมั้ง?”
พูดไปตัวซงหยูเองก็หัวเราะลั่นออกมา
เมื่อผู้คนทั้งหลายได้ยินพวกเขาเองก็หัวเราะออกมาตามๆ กัน
เพราะคนอย่างหลิวยี่นี้พวกเขาทั้งหลายย่อมจะดูถูกอย่างสุดหัวใจ
หนึ่งเลยคือรูปร่างท่าทางแสนอ่อนแอนั้น อย่างที่สองคืออายุที่มากโขของเขา
ด้วยอายุเท่านี้แล้วต่อให้จะมีรัศมีจักรพรรดิขึ้นมามันก็คงไม่อาจบรรลุขึ้นถึงอาณาจักรเทพสวรรค์ได้อีก
ตัวหลิวยี่เองก็หัวเราะตามขึ้นมา “ท่านซงรู้ได้อย่างไรกัน? หึๆ สามพันปีก่อนเฒ่าคนนี้ได้ไปเหยียบขี้หมาเข้าจริงๆ สุดท้ายข้าจึงได้สมบัติมาจากมิติวิเศษหนึ่งและได้บรรลุขึ้นรัศมีจักรพรรดิมา”
เมื่อเจ้าตัวพูดเช่นนั้นออกมาคนอื่นๆ ทั้งหลายก็ยิ่งหัวเราะกันยกใหญ่
ซงหยูนั้นหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่งจนแทบไม่อาจหุบปากลงได้ “หึๆ เจ้ามันเป็นคนเจียมตัว หลังเข้าไปแล้วจงตามข้ามาเถิด ข้าจะดูแลเจ้าเอง”
หลิวยี่ที่ได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มรับ “เช่นนั้นข้าคงต้องขอบคุณท่านซงแล้ว”
พูดจบหลิวยี่ก็นั่งลงแต่สายตาของเขานั้นเหลือบมามองดูเย่หยวน
เพราะตอนที่ทุกผู้คนหัวเราะเยาะใส่เขานั้นเย่หยวนกลับไม่ได้คิดแม้แต่จะยิ้มออกมา
ตอนนี้มันเป็นตาของเย่หยวนแล้ว แต่เย่หยวนนั้นกลับไม่คิดที่จะเปิดปากพูดใดๆ
ซงหยูมองดูเย่หยวนด้วยรอยยิ้มที่เย็นเยือก “นี่ เจ้าเด็กเหลือขอ มันถึงตาเจ้าแล้ว”
ตั้งแต่ที่เย่หยวนบรรลุขึ้นกายทองคำระดับหกมาใบหน้าร่างกายของเขามันก็ดูหนุ่มลงมากราวกับว่าได้ย้อนอายุกลับมา
ในสายตาของผู้คนแล้วเขาจึงไม่ได้ดูต่างจากเด็กน้อยเหลือขอผู้หนึ่ง
“ฮ่าๆ!”
นั่นทำให้เกิดเสียงหัวเราะขึ้นอีกครั้ง
เย่หยวนหันไปมองซงหยูและกล่าวตอบกลับไป “ข้านามเย่หยวน มาจากเมืองจักรพรรรดิอินทรีสวรรค์”
“เมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์? มันที่ใดกันข้าไม่เห็นเคยได้ยิน ฮ่าๆ ไม่นึกเลยว่าเมืองจักรพรรดิก็จะสามารถมีผู้มีรัศมีจักรพรรดิเกิดขึ้นมาได้ด้วย ก่อนหน้านี้หลิวยี่เองก็บอกว่าตนนั้นได้เหยียบขี้หมาได้รับโชคมา เจ้าเองก็คงไม่ได้ไปกินขี้ที่ไหนมาใช่หรือไม่จึงได้โชคมหาศาลเช่นนี้?”
เย่หยวนนั้นยังไม่ทันพูดจบคำก็ถูกซงหยูแทรกขึ้นมาดูถูก
ซงหยูนั้นเห็นมาตั้งแต่แรกแล้วว่าผู้คนทั้งหลายเมื่อได้ยินว่าเขาเป็นใครมาจากไหนมีรัศมีอะไรคนทั้งหลายนั้นต่างตกตะลึงและคิดเอาใจตัวเขา แต่เย่หยวนนั้นกลับไม่แสดงท่าทีใดๆ ออกมาเป็นการไม่ให้เกียรติตัวเขาอย่างมาก
เพราะฉะนั้นเขาจึงไม่คิดจะไว้หน้าเย่หยวน
ที่สำคัญเย่หยวนนั้นยังมาจากเมืองจักรพรรดิน้อยๆ แห่งหนึ่ง
เมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์นี้ตัวเขาไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อน
“หึ เจ้าเด็กเหลือขอ! ไปกินขี้หมามาเช่นนั้นดวงชะตาของเจ้าคงยิ่งใหญ่มากใช่หรือไม่? เจ้ามีรัศมีใด? ดวงชะตาที่ยิ่งใหญ่เช่นนั้นวันหน้าคงได้เป็นเต๋าบรรพกาลแล้วกระมัง?” ซงหยูหัวเราะลั่นขึ้นมา
“ฮ่าๆ!”
เย่หยวนยิ้มตอบกลับไป “รัศมีใดนั้นแท้จริงแล้วข้าเองก็ไม่ทราบ”
เมื่อทุกผู้คนได้ยินพวกเขาต่างผงะไปตามๆ กันเพราะผู้คนที่เข้ามาอยู่ในตึกวาโยบริสุทธิ์นี้ได้ต่างล้วนแล้วแต่ต้องมีรัศมีจักรพรรดิขึ้นไปสิ้น
เพราะมันมีเพียงแค่ผู้มีรัศมีจักรพรรดิเท่านั้นที่จะเข้าสนามรบเทพโบราณไปได้
แต่เย่หยวนกลับบอกว่าตัวเขาไม่รู้?
มันจะเป็นไปได้อย่างไร?
“ไม่รู้? เจ้าเด็กคนนี้คิดล้อพวกเราเล่นหรือ? การที่เข้าตึกวาโยบริสุทธิ์มาได้พวกเราย่อมต้องมีรัศมีจักรพรรดิขึ้นไปกันทั้งสิ้นและยังต้องให้ผู้อาวุโสแห่งวังดาราตรวจดู เจ้าจะบอกว่าเจ้าไม่รู้ก็เข้ามาได้แล้ว? หรือว่าแท้จริงแล้วดวงชะตารัศมีของเจ้ามันอ่อนแอเกินไปจนไม่อาจจะกล่าวออกมาต่อหน้าผู้คน?” ซงหยูพูดออกมาด้วยท่าทางถากถาง
เพราะการไม่พูดมันก็เท่ากลับว่าไม่กล้าจะบอก
ดูท่าแล้วเย่หยวนนั้นคงมีรัศมีไม่ต่างจากหลิวยี่ เป็นแค่รัศมีจักรพรรดิขั้นต้น
แต่มันก็ไม่แปลก คนมาจากเมืองจักรพรรดินั้นแค่มีรัศมีจักรพรรดิขั้นต้นได้มันก็นับว่าเหนือล้ำแล้ว
“มิใช่ พวกเขาทั้งหลายนั้นต่างบอกว่าข้ามีรัศมีผ่าจักรพรรดิ แต่สุดท้ายมันก็แค่การคาดเดา เพราะว่า… พวกเขาไม่กล้าจะมอง” เย่หยวนตอบกลับไป
“รัศมีผ่าจักรพรรดิ? ไม่กล้าจะมอง? ฮ่าๆ เจ้าหมอนี่มันพูดจาไร้สาระได้เก่งเสียจริง! เหล่าผู้อาวุโสแห่งวังดารานั้นต่างล้วนเป็นยอดคนเหตุใดเขาจะไม่กล้ามอง? เด็กน้อย เจ้าเคยคิดอะไรบ้างหรือไม่เวลาจะพูดโม้ใดๆ ออกมา?” ซงหยูบอก
“เขาไม่ได้โกหกใดๆ เหล่าคนตระกูลเจียนที่เคยใช้ศาสตร์การดูรัศมีกับตัวเขานั้นล้วนแล้วแต่ต้องตาบอดลงสิ้น”
ในเวลานั้นเองที่มีเสียงหนึ่งดังขึ้น
จากนั้นก็เป็นภาพของเหล่าผู้อาวุโสทั้งแปดที่ค่อยๆ เดินเข้ามา
“ผู้อาวุโสหงเซียว!” ซงหยูที่ได้ยินเช่นนั้นต้องสะดุ้งตัวขึ้นทันที
เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินว่ามีคนตระกูลเจียนใช้การดูรัศมีออกมาและทำให้กลายเป็นคนตาบอดไปได้
แต่เพราะคำพูดเหล่านี้ถูกกล่าวออกมาจากปากของเจียนหงเซียว มันย่อมจะไม่ผิดแน่แล้ว
นั่นทำให้กั๋วจิงหยางผู้มีรัศมีจักรพรรดิขั้นปลายผู้นั้นเบิกตากว้างขึ้นด้วยความตื่นตะลึง “ตาบอด? หรือ…ว่าเขาจะเป็นเย่หยวน อาจารย์เย่?”
ซงหยูที่ได้ยินเช่นนั้นต้องหันกลับมามอง “อ…อาจารย์เย่?”
เขานั้นย่อมเคยจะได้ยินนามของอาจารย์เย่มาก่อนเพราะคนตระกูลเจียนทั้งหลายนั้นกล่าวชื่นชมเขาราวกับเป็นเทพเจ้า
กั๋วจิงหยางพยักหน้ารับออกมา “พี่ซงนั้นมาถึงช้าอาจจะไม่เคยได้ยินมาก่อนแต่เมื่อราวสิบปีก่อนอาจารย์เย่และท่านหงเซียวได้เดินทางกลับมายังยอดเมืองหลวงจักรพรรดิชะตาเลิศ ตอนนั้นลูกชายของผู้พิทักษ์เจียนห่าว เจียนหยุนได้ใช้ศาสตร์การดูรัศมีออกมากับตัวอาจารย์เย่และต้องตาบอดลงไปในทันที จากนั้นเขายังได้อาจารย์เย่ผู้นี้เป็นคนช่วยรักษาอีกด้วย”
เมื่อเหล่าเด็กแห่งโชคชะตาทั้งหลายได้ยินได้ฟังเรื่องราวสีหน้าของพวกเขาก็แสดงความแตกตื่นออกมาอย่างถึงที่สุด
พวกเขานั้นย่อมจะเคยได้ยินนามของอาจารย์เย่และคิดว่าเขาคงเป็นเฒ่ามากประสบการณ์ผู้หนึ่ง ใครจะไปคิดไปฝันว่าอาจารย์เย่ผู้นั้นกลับจะเป็นเด็กหนุ่มเช่นนี้?
ไม่มีใครคิดว่า ‘เด็กเหลือขอ’ คนนี้มันจะเป็นอาจารย์เย่ผู้มีชื่อเสียงก้องยอดเมืองหลวงจักรพรรดิชะตาเลิศ
นั่นทำให้ใบหน้าของซงหยูต้องสั่นสะท้าน
เขานั้นเอาแต่พูดเรียกอีกฝ่ายว่าเป็นเด็กน้อยเช่นนั้น เด็กเหลือขอเช่นนี้แต่ตัวเย่หยวนกลับกลายเป็นยอดคนเสียอย่างนั้น?
ใบหน้านี้มันจะหลอกลวงผู้คนจนเกินไปแล้ว!
แต่เขาบอกว่า…เช่นไรนะ?
รัศมีผ่าจักรพรรดิ?
ซงหยูนั้นไม่อาจพูดใดๆ ออกมาได้อีก หรือว่าเย่หยวนคนนี้จะมีรัศมีผ่าจักรพรรดิจริง?
แต่การทำให้ผู้ที่มองดูตาบอดลง มันต้องเป็นชะตาที่เลิศล้ำเพียงใด!
แต่เหตุใดเย่หยวนจึงบอกว่าตัวเขาก็ไม่แน่ใจ?
หากตระกูลเจียนนั้นสงสัยว่าเขามีรัศมีผ่าจักรพรรดิ เหตุใดท่านเจ้าเมืองถึงไม่ใช้ศาสตร์การดูรัศมีกับตัวเขาเล่า?
ด้วยพลังฝีมือของท่านเจ้าเมืองแล้วมันคงสามารถทำนายชะตาของเย่หยวนได้มิใช่หรือ?
ทุกผู้คนต่างรู้ดีว่าความเข้าใจของท่านเจ้าเมืองต่อชะตาฟ้านั้นมันเหนือล้ำกว่าผู้คนมากมายเพียงใด
แต่มีหรือที่ซงหยูจะรู้ได้ว่าเจียนซู่เทานั้นคิดอยากดูดวงชะตาเย่หยวน แต่ไม่กล้าที่จะมอง!
นั่นทำให้สายตาทุกคู่ต่างหันมาจับจ้องที่ซงหยูจทำให้ใบหน้าของเขานั้นแดงสดเพราะความอับอาย
ระหว่างที่ซงหยูกำลังว้าวุ่นอยู่ในใจนั้นเหล่าผู้อาวุโสทั้งแปดก็ได้เดินไปนั่งประจำตำแหน่งของตนก่อนจะเผยให้เห็นเงาร่างอีกเงาหนึ่ง
“ขอคาระท่านเจ้าเมือง!” เมื่อเห็นชายแก่ผู้นี้คนทั้งหลายก็รีบก้มหัวลงคารวะทันที
ต่อให้จะเป็นผู้อวดดีอย่างซงหยู เขาเองก็ไม่กล้าจะเชิดหน้าใส่เจียนซู่เทาเช่นกัน
เจียนซู่เทาบอกขึ้น “พวกเจ้าทั้งหลายนั้นล้วนเป็นเด็กแห่งโชคชะตาที่ยอดเมืองหลวงจักรพรรดิชะตาเลิศข้าเลือกขึ้นมา อนาคตของพวกเจ้านั้นไร้จำกัด หากเจ้าสามารถได้รับสมบัติเจอโชคลาภภายในสนามรบเทพโบราณวันหน้าพวกเจ้าก็คงก้าวขึ้นเหนือล้ำเทพสวรรค์ผู้นี้ได้ไม่ยาก เพราะฉะนั้นข้าจึงหวังว่าพวกเจ้าจะโชคดี! เอาล่ะ เวลาได้มาถึงแล้ว พวกเจ้าทั้งหลายจงเตรียมตัวออกเดินทางได้”
ตอนนี้บนร่างของเจียนซู่เทาปรากฏเงาหมอกสีดำมืดขึ้น
มันเข้าปกคลุมภายในห้องโถงอย่างรวดเร็ว
จากนั้นมันก็ค่อยๆ เกิดประกายแสงขึ้นรอบห้องก่อนจะเผยให้เห็นประตูนำพาไปสู่ที่ไหนสักแห่ง
ซงหยูนั้นไม่คิดรอช้าและพุ่งตัวเข้าไปภายในทันที ทำให้คนอื่นๆ เองก็รีบตามไปติดๆ
เย่หยวนนั้นย่อมจะเป็นผู้ที่ใจเย็นที่สุดและเดินไปช้าที่สุด ในวินาทีที่เขากำลังก้าวผ่านประตูนั้นไปเสียงของเจียนซู่เทาก็ดังขึ้นตามหลังมา “เย่หยวน อย่าได้ลืมสัญญาที่เจ้ามีแก่เทพสวรรค์ผู้นี้”
เย่หยวนหันกลับมามองหน้าชายแก่ “วางใจเถอะ คำใดที่เย่หยวนผู้นี้ให้ไว้ เย่หยวนผู้นี้ย่อมจะรักษามัน”
พูดจบเย่หยวนก็เดินเข้าไปภายในทันที
………………………..