เดิมทีแล้วพวกเขาทั้งหลายนั้นต่างยืนอยู่ในสถานะที่เท่าเทียม
แม้ว่าตัวซงหยูจะมีกำลังที่เหนือกว่าแต่ทุกผู้คนก็ย่อมไม่คิดที่จะสนใจให้ค่าใด
เพราะพวกเขาทั้งหลายนั้นเห็นว่าเมื่อตัวพวกเขาได้สมบัติโชคลาภใดๆ มาบ้างการจะบรรลุขึ้นอาณาจักรเทพถ่องแท้สามดาวนั้นมันก็คงมิใช่เรื่องยากเย็นมากมาย
แต่ตอนนี้พวกเขาได้รู้แล้วว่าแค่ก้าวเดินออกไปมันก็หมายถึงความตาย แล้วจะทำอย่างไรต่อได้?
จัดการกับเหล่าวิญญาณต่อสู้ทั้งหลายนี้ ด้วยพลังฝีมือของซงหยูเขาย่อมจะเป็นผู้ที่รับภาระหนักหนาที่สุด
การออกไปต่อสู้ตามลำพังในตอนนี้มันไม่ได้ต่างอะไรจากการรนหาที่ตาย
เพราะฉะนั้นทุกผู้คนจึงคิดหันหน้ามาขอความช่วยเหลือจากซงหยู ทำให้จุดยืนสถานะของพวกเขานั้นไม่เท่าเทียมกันอีกต่อไป
ตอนนี้ใบหน้าของทุกผู้คนต่างยับยู่ การแบ่งสมบัติที่ได้ครึ่งหนึ่งให้ซงหยูนั้นมันเป็นเรื่องราวที่เกินกว่าจะรับไหว
“หึ ในเมื่อเจ้าไม่คิดตกลง เช่นนั้นข้าคงต้องไปหาผู้อื่นร่วมทีมแล้ว” พูดจบซงหยูก็หันหลังเดินจากไป
กั๋วจิงหยางจึงรีบร้อนตอบออกมาอย่างทันที “ได้ๆ ข้ายอมรับ!”
“ข้า…ก็ยอมรับเช่นกัน!”
ลูกไม้ง่ายๆ ของซงหยูนี้มันกลับส่งผลลัพธ์ที่ดีเกินคาดออกมา
“หึๆ ในเมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วก็ตกลงกันตามนี้ สมบัติใดที่พบเจอข้าจะเก็บมันไว้ครึ่งหนึ่ง ที่เหลือพวกเจ้าก็เอามันไปแบ่งกันเองเถิด” ซงหยูยิ้มบอก
แต่ใบหน้าของคนอื่นๆ กลับไม่มีรอยยิ้มหรือแม้แต่ร่องรอยของความสุขอยู่เลย
ยิ่งได้สมบัติมากเท่าใด มันก็ย่อมจะเสริมดวงชะตาในวันหน้าของคนผู้นั้นได้มากเท่านั้น
ด้วยพรสวรรค์โชคชะตาที่ซงหยูมีในตอนนี้หากเขาได้รับสมบัติไปอย่างมากมายแล้วการจะบรรลุขึ้นสู่รัศมีผ่าจักรพรรดิเองก็คงมิใช่เรื่องยากเย็น
ส่วนทางด้านซงหยูนั้นเขาย่อมไม่คิดจะไปหาผู้คนที่ใดร่วมทีมอย่างแน่นอน
การไปร่วมกลุ่มกับยอดฝีมือจากเมืองอื่นในเวลานี้มันย่อมหมายความว่าเขาจะไม่อาจได้สมบัติติดไม้ติดมือมากมายและที่สำคัญคือเขาอาจจะเสียตำแหน่งผู้นำไปเสียด้วยซ้ำ
เหล่าเด็กแห่งโชคชะตาทั้งหลายนั้นยอมที่จะเป็นหัวสุนัข ดีกว่าที่จะเป็นหางของมังกร ใครกันเล่าจะอยากเดินทางภายใต้คำสั่งผู้คน?
ด้วยเหตุนี้เหล่าเด็กแห่งโชคชะตาทั้งหลายจึงได้เริ่มจับกลุ่มน้อยใหญ่กันขึ้น
คนจากทางยอดเมืองหลวงจักรพรรดิชะตาเลิศทั้งเก้าคนนั้น เจ็ดคนเลือกที่จะเข้าร่วมกลุ่มกับซงหยูเป็นที่เรียบร้อย ตอนนี้เหลือเพียงเย่หยวนหลิวยี่ที่ยังมิได้ตัดสินใจ
“หึ เจ้าเฒ่า เจ้าคิดจะลงมือคนเดียวหรือ?” ซงหยูถามหลิวยี่ด้วยรอยยิ้มที่เหยียดหยาม
หลิวยี่ยิ้มแห้งๆ รับออกมา “จะเป็นไปได้อย่างไร! ข้า…ข้าจะร่วมเดินทางไปกับท่านซง”
ซงหยูพยักหน้ารับออกมาก่อนจะหันมามองเย่หยวนด้วยรอยยิ้มเช่นเดียวกัน “เช่นนั้นท่านผู้มีรัศมีผ่าจักรพรรดิคงไม่คิดจะเข้าร่วมกลุ่มพวกเราใช่หรือไม่?”
“รัศมีผ่าจักรพรรดิ? เด็กคนนี้กลับมีรัศมีผ่าจักรพรรดิอย่างนั้นหรือ!”
“หึๆ จะมีรัศมีผ่าจักรพรรดิแล้วทำไม? ด้วยพลังฝีมือของมันนี้ต่อให้จะเป็นโชคชะตาที่ยิ่งใหญ่ปานใดมันก็คงได้ตายอย่างไม่เหลือเศษซากแน่ เช่นนั้นแล้วสุดท้ายมันก็ยังต้องขอให้ผู้อื่นช่วยเหลือ”
…
คำพูดของซงหยูนั้นย่อมทำให้สายตารอบข้างหันมามองตามๆ กัน
เพราะไม่ว่าอย่างไรเสียในหมู่เด็กแห่งโชคชะตาทั้งหลายนั้น รัศมีจักรพรรดิมันนับได้ว่ามีมากมาย ส่วนทางรัศมีผ่าจักรพรรดินั้นย่อมจะเป็นแค่คนส่วนน้อย
จำนวนของมันนี้เทียบเท่าได้กับจำนวนของเทพสวรรค์และจำนวนของจักรพรรดิเทพสวรรค์
ในหมู่เทพสวรรค์นับร้อยๆ มันอาจจะไม่มีใครเลยที่สามารถบรรลุขึ้นอาณาจักรจักรพรรดิเทพสวรรค์ได้
กับเหล่าผู้มีรัศมีผ่าจักรพรรดินี้ หากตัวคนมีพลังฝีมือเหนือล้ำพวกเขาทั้งหลายย่อมจะไม่พูดกล่าวใดๆ
แต่เย่หยวนนั้นมีกำลังที่แสนอ่อนแอในสายตาของพวกเขา ทุกผู้คนต่างมองดูมายังตัวเย่หยวนด้วยท่าทางดูถูก คิดว่าตัวเย่หยวนคงต้องเสียหน้าครั้งใหญ่ต่อผู้คนแล้ว
เรื่องนี้มันคงเทียบได้กับความเกลียดชังอิจฉาที่คนธรรมดามีต่อคนรวย
ซงหยูหัวเราะขึ้นในใจ จะมีรัศมีโชคชะตาเหนือล้ำแล้วทำไม? จะหลอมโอสถได้เก่งกาจแล้วทำไม?
เพราะในสนามรบเทพโบราณนี้ ทุกสิ่งอย่างมันย่อมขึ้นอยู่กับกำลังฝีมือสิ้น!
เมื่อใดที่เขาได้รับสมบัติและเพิ่มดวงชะตาของตนขึ้นไปยังรัศมีผ่าจักรพรรดิได้เขาย่อมจะสามารถทิ้งห่างเด็กน้อยเช่นนี้ไปได้แน่
อวดดีไปเถอะ!
เพราะตอนที่อยู่ในตึกวาโยบริสุทธิ์นั้นตัวเขาเสียหน้าไปอย่างล้นหลาม
ในเวลานั้นมันมีเหล่ายอดคนอยู่มากมายเขาจึงไม่ได้พูดกล่าวใดๆ กลับไป
แต่ตอนนี้มันไม่ได้เป็นเช่นนั้นแล้ว เย่หยวนนั้นต้องมาขอความช่วยเหลือจากเขาอย่างแน่นอนทำให้ซงหยูคิดจะเล่นงานเขาให้หนัก
ขอร้องข้าสิ!
ก้มหัวให้ข้า!
ส่วนเรื่องที่ว่าจะรับไหมนั้นมันย่อมเป็นอีกเรื่องอย่างสิ้นเชิง!
ซงหยูนั้นยิ้มเย้ยอยู่ในหัวใจ
ทุกผู้คนต่างหันมามองทางเย่หยวน คิดอยากดูว่าเย่หยวนผู้นี้จะยอมก้มหัวให้ผู้คนหรือไม่
เย่หยวนยิ้มตอบกลับไปอย่างเรียบง่าย “ใช่แล้ว ข้าคิดจะเดินทางลำพัง เชิญพวกท่านก่อนเลย”
ทุกผู้คนที่ได้ยินต่างตกตะลึง เดินทางลำพัง?
ต่อให้จะอยากรักษาหน้าไว้เพียงใดแต่มันก็ไม่ต้องทำถึงขั้นนี้หรอกใช่ไหม?
หรือว่าสภาพซากศพที่ถูกดาบทั้งหลายนั้นฟาดฟันเข้าตัวเขาจะไม่เห็นมัน?
คำพูดนี้ต่างทำให้ทุกผู้คนตกตะลึงมึนงงอย่างมาก ไม่เข้าใจความหมายของคำพูดเย่หยวนไปอีกพักใหญ่
ซงหยูเองก็ผงะไปเช่นกันหลังได้ยินแต่ไม่นานเขาก็หัวเราะออกมา “เดินทางลำพัง? หึ ท่านผู้มีรัศมีผ่าจักรพรรดิของเรานั้นช่างเก่งกาจเสียจริง! ฮ่าๆ!”
คำพูดนี้ทำให้คนทั้งหลายเริ่มหัวเราะขึ้นตามรู้สึกว่าเย่หยวนนั้นทำเช่นนี้เพียงแค่รักษาหน้าเอาไว้
ตราบใดที่เขาเดินทางออกไปเขาย่อมจะตายลงอย่างไม่เหลือเศษซากใดๆ เว้นเสียแต่ว่าเขาจะไม่คิดออกไปไหน
เย่หยวนทำเพียงแค่ยิ้มและไม่พูดใดๆ อีก
เมื่อซงหยูได้เห็นสีหน้านั้นเขาจึงต้องพูดขึ้นมาด้วยท่าทางสุดที่จะขัดใจ “ข้าอยากรู้จริงว่าเจ้าจะทำอะไรคนเดียวได้! หากเจ้ามีปัญญาก็อย่าได้เอาแต่หลบซ่อนอยู่ในนี้แล้วกัน!”
และในที่สุดการจับกลุ่มทั้งหลายก็ได้ผลสรุป คนทั้งหลายเริ่มจับกลุ่มกันโดยมีคนจากยอดเมืองหลวงจักรพรรดิเป็นตัวหลัก
แต่มันก็ยังมีเหล่าผู้อ่อนแอที่เข้าจับกลุ่มเล็กๆ กันอยู่ไม่น้อย
เพราะฉะนั้นเหล่าผู้คนที่จับกลุ่มเสร็จสิ้นจึงเริ่มออกเดินทางจากม่านพลังเข้าสู่ส่วนลึกของสนามรบเทพโบราณ
เมื่อพวกเขาได้ออกมาจากม่านพลัง วิญญาณต่อสู้นับไม่ถ้วนก็เริ่มปรากฏกายขึ้นรายล้อมพวกเขา
แต่ทว่าด้วยพลังฝีมือของเหล่าเด็กแห่งโชคชะตาทั้งหลายนั้น เมื่อได้ร่วมมือกันแล้วมันย่อมจะเหนือล้ำกว่าที่เหล่าวิญญาณต่อสู้นี้จะต้านทาน
ซงหยูหันมามองเย่หยวนด้วยรอยยิ้มเย้นหยัน “ท่านผู้มีรัศมีผ่าจักรพรรดิ เหตุใดท่านยังไม่ออกไปเล่า กลัวหรือ? หึ หากเจ้าขอร้องข้าตอนนี้ข้าอาจจะพาเจ้าออกไปด้วยก็ได้”
เย่หยวนยิ้มออกมา “ขอบคุณท่านซงที่หวังดี แต่มันไม่จำเป็นหรอก”
พูดจบเย่หยวนก็เดินออกจากม่านพลังไป
นั่นทำให้เหล่าคนจากยอดเมืองหลวงจักรพรรดิชะตาเลิศต้องเบิกตากว้างอย่าตื่นตกใจ
ยอมตายเพื่อรักษาหน้า?
นี่มัน…มันจะเหนือคาดเกินไปไหม?
นี่มันมิใช่แค่การรักษาหน้าเพื่อหลบเอาตัวรอดเท่านั้น แต่เป็นการรักษาหน้าจนตัวตาย!
“ไอ้เด็กคนนี้มันไม่มีสมองหรือ?”
“รัศมีผ่าจักรพรรดิใดกัน? คนโง่แท้!”
“ยอมให้อารมณ์มาควบคุมตัวเช่นนี้ได้อย่างไร? คงเสียชีวิตอย่างเปล่าประโยชน์แล้ว!”
…
เหล่าคนจากยอดเมืองหลวงจักรพรรดิชะตาเลิศต่างแสดงสีหน้าท่าทางดูถูกผิดหวังในตัวเย่หยวนอย่างมาก
แต่มีเพียงหลิวยี่เท่านั้นที่หรี่ตามองดูเย่หยวนผู้เดินจากไป ไม่มีใครเข้าใจได้ว่าตัวเขานั้นกำลังคิดอะไรอยู่
แต่จู่ๆ สายตาของเขาก็ต้องเบิกกว้างด้วยความตกตะลึง
แต่มันมิใช่เพียงแค่เขา เหล่าผู้คนทั้งหลายเองก็มองภาพตรงหน้าอย่างมิอยากเชื่อสายตา
โดยเฉพาะอย่างยิ่วซงหยูที่แสดงใบหน้าเหยเกออกมาอย่างถึงที่สุด
วินาทีที่เย่หยวนเดินออกมาจากม่านพลังนั้นเขาก็ได้พบว่าตัวเองถูกรายล้อมไปด้วยวิญญาณต่อสู้ในทุกทิศทางตามคาด
แต่เย่หยวนนั้นกลับไม่มีทีท่าจะปัดป้องใดๆ และเดินเข้าไปหาพวกมันทั้งหลายอย่างไร้กังวล
เมื่อเหล่าวิญญาณต่อสู้นภาสวรรค์โจมตีเข้าใส่ร่างกายของเขา มันกลับไม่ส่งผลสร้างบาดแผลใดๆ ให้แม้แต่น้อย!
กายทองคำระดับหกของเย่หยวนนี้มันทำลายได้แม้แต่สมบัติเทพถ่องแท้เลิศล้ำ
เมื่อตัวเย่หยวนคิดที่จะเสริมกำลังในการป้องกัน การโจมตีของเหล่าวิญญาณต่อสู้นภาสวรรค์ทั้งหลายจึงย่อมจะไม่ส่งผลใดๆ แก่ตัวเขา
“นี่มัน…เกิดอะไรขึ้นกัน?”
“พลังป้องกันที่มากขนาดนี้มันจะน่ากลัวเกินไปหรือไม่?”
“เดี๋ยวนะ ที่แท้เขาเป็นผู้บ่มเพาะกาย! กายเนื้อของเขานั้นขึ้นมาถึงกายทองคำระดับหกเสียแล้วด้วยซ้ำ แน่นอนว่าการโจมตีของเหล่าวิญญาณต่อสู้นภาสวรรค์มันย่อมจะไร้ค่าต่อหน้าเขา!”
…
เมื่อเหล่าเด็กแห่งโชคชะตาคนอื่นที่ยังไม่ออกจากม่านพลังได้เห็นพวกเขาทั้งหลายก็ได้แต่อ้าปากค้าง
พลังป้องกันของผู้บ่มเพาะกายนั้นมันเหนือล้ำ
เพราะแม้ว่าตัวพวกเขานั้นจะบ่มเพาะพลังปราณมาถึงอาณาจักรเทพถ่องแท้แต่ร่างกายของพวกเขานั้นอาจจะไม่แข็งแกร่งเท่าผู้บ่มเพาะกายอาณาจักรนภาสวรรค์เสียด้วยซ้ำ
พลังป้องกันทั้งหลายของพวกเขามันย่อมจะมาจากปราณเทวะที่หมุนวนปกป้องร่างกาย
แค่นักยุทธนภาสวรรค์หนึ่งหรือสองคนย่อมจะทำอะไรพลังป้องกันของพวกเขาไม่ได้
แต่เมื่อจำนวนมันมากขึ้นพร้อมด้วยการปิดล้อมของเหล่าเทพถ่องแท้ทั้งหลาย พวกเขาย่อมไม่มีปราณเทวะมากพอที่จะตั้งรับการโจมตีทั้งหมดนั้นได้สิ้น
เพื่อใดก็ตามที่พวกเขาอ่อนแรงลงในระดับหนึ่งแล้วการโจมตีของเหล่านภาสวรรค์ทั้งหลายก็ย่อมจะทำอันตรายแก่ร่างกายของพวกเขาได้
………………………..