อีกด้านทางซงหยูและซัวโม่เองก็หยุดมือลงเช่นกัน
เหตุผลที่ซัวโม่เลือกที่จะเข้าต่อสู้นั้นย่อมเป็นเพราะว่าเขาเชื่อว่าทางซงหยูนั้นเป็นกำลังเดียวของกลุ่มด้วยพลังของเทพถ่องแท้สี่ดาวเพียงแค่คนเดียว
แต่ใครจะไปคาดคิดว่าเย่หยวนกลับสามารถใช้ตราประทับความเป็นความตายออกมากดดันเฟิงเสี่ยวเถียนอย่างง่ายดาย
แน่นอนว่าผลลัพธ์เช่นนี้มันย่อมจะเหนือล้ำกว่าที่เขาคาดคิด
ซัวโม่มองดูเย่หยวนด้วยรอยยิ้มอันเย็นเยือก “ซากร่างเทพสวรรค์นี้พวกเราเป็นผู้พบเจอก่อน ทั้งเรายังล่อเหล่ามารกระดูกออกไปแต่เจ้ากลับเข้ามาแย่งชิงมันไป เจ้าคิดว่ามันถูกต้องอย่างนั้นหรือ?”
เมื่อสู้ด้วยกำลังไม่ได้ ก็ต้องใช้เหตุผลสู้!
เย่หยวนที่ได้ยินเช่นนั้นจึงหัวเราะขึ้นทันที “เจ้าเห็นมันแล้วมันก็กลายเป็นของเจ้าไปแล้วหรือ? ตอนนี้ข้าเห็นเจ้าแล้ว ข้าอยากได้เจ้าเป็นทาส เจ้าจะยอมเป็นหรือไม่เล่า?”
“ฮ่าๆ!”
คำพูดนี้มันทำให้ผู้คนทั้งหลายหัวเราะลั่นขึ้น
ซัวโม่นั้นโกรธจนหน้าดำหน้าแดง “เย่หยวน เจ้าอย่าได้อวดดีไป! หรือว่าเจ้าคิดจะสู้กับพวกเราจนมีใครตายไปข้าง?”
เย่หยวนตอบกลับไป “ตายกันไปข้าง? เรื่องเช่นนั้นก่อนจะพูดเจ้าต้องมีปัญญาทำให้ได้ก่อน! หากเราต่อสู้กันไปเช่นนี้จริงแล้วใครที่จะตายนั้นมันย่อมไม่แน่! ที่สำคัญพวกเจ้าทั้งหลายเองก็คงหมายตากระดูกจักรพรรดิกิเลนไว้เช่นกันใช่ไหมเล่า? ไม่ต้องพูดถึงความตายใดๆ เลย แค่อาการบาดเจ็บมันก็มากพอจะทำให้เจ้าเอาชีวิตไม่รอดในเขากระดูกอสูรนี้แล้ว ข้าอยากรู้จริงๆ ว่าถึงตอนนั้นแล้วจะยังมีใครไปเอากระดูกจักรพรรดิกิเลนมาได้หรือไม่”
ซัวโม่และเฟิงเสี่ยวเถียนเบิกตากว้างทันที ไม่นึกไม่ฝันว่าเย่หยวนกลับจะมีเป้าหมายเป็นกระดูกจักรพรรดิกิเลนเช่นเดียวกัน
เท่านี้เรื่องราวมันก็ยิ่งยุ่งยากมากขึ้นแล้ว
เพราะถึงเวลานั้นสุดท้ายพวกเขาย่อมไม่อาจจะเลี่ยงการปะทะได้แน่
เย่หยวนมองดูที่พวกซัวโม่ด้วยรอยยิ้มที่เย็นเยือก “ที่สำคัญ การที่ข้าเก็บซากร่างเทพสวรรค์นี้ไปมันก็นับว่าเป็นการช่วยเหลือพวกเจ้าเสียด้วยซ้ำ หากไม่แล้วซัวโม่… เจ้าคงมิใช่ซัวโม่อีกต่อไปแน่”
ซัวโม่นั้นคิดว่าคำพูดนี้ของเย่หยวนเป็นคำเย้ยหยันเขาจึงร้องตะโกนตอบกลับไป “เด็กน้อย เจ้าอย่าได้พูดจาโอหังให้มันมากไป!”
แต่ซงหยูที่ด้านข้างนั้นกลับหัวเราะขึ้น “ใครโอหังใดกัน? เย่หยวนไม่ได้ล้อเจ้าใดๆ ซากร่างเทพสวรรค์นี้แท้จริงแล้วมันเป็นกับดักดีๆ นี่เอง เทพสวรรค์ผู้นั้นได้ส่งเสี้ยววิญญาณของตนผนึกไว้ในกระดูกนั้น ตราบเท่าที่มีใครคิดจะหลอมดูดพลังมันแล้วเทพสวรรค์ผู้รนั้นก็จะออกมาสิงร่างของคนผู้นั้น! หึ เจ้าจำเอาไว้เสียเถอะว่าตนนั้นโชคดีแค่ไหนที่ไม่ได้ไปแตะต้องซากร่างเทพสวรรค์นี้”
ซัวโม่และเฟิงเสี่ยวเถียนหน้าซีดลงทันทีที่ได้ยิน แน่นอนว่าพวกเขาทั้งหลายย่อมจะไม่ได้คิดถึงเรื่องราวเช่นนั้น
แต่ไม่นานนักซัวโม่ก็หัวเราะขึ้น “หากเป็นเช่นนั้นจริงแล้วทำไมพวกเจ้ายังไม่มีใครถูกสิงกันเล่า?”
ซงหยูยิ้มตอบกลับไป “มีหรือที่ฝีมือของพี่เย่จะเป็นอะไรที่เจ้าคาดคิดได้?”
เย่หยวนยิ้มออกมา “จะไปเถียงกับพวกมันทำไม? ไปกันเถอะ”
พูดจบเย่หยวนก็พาพวกซงหยูเดินทางจากไปทันที
ซัวโม่และเฟิงเสี่ยวเถียนนั้นได้แต่หันมามองหน้ากันอย่างไม่กล้าที่จะตามติดอีกฝ่ายไป
อย่างที่เย่หยวนว่า เป้าหมายสุดท้ายของพวกเขานั้นคือกระดูกจักรพรรดิ
หากพวกเขาลงแรงตรงนี้มากเกินไปแล้วมันคงทำให้ไม่มีใครได้กระดูกจักรพรรดิไปในที่สุด และอาจจะถึงขั้นเสียชีวิตลงในที่แห่งนี้ด้วย
…
ยิ่งพวกเขาเดินทางเข้าไปในเขากระดูกอสูรมากเท่าไหร่ พลังลึกลับที่ทำให้อกสั่นขวัญหายมันก็ยิ่งรุนแรงมากขึ้นเท่านั้น
ระหว่างทางเข้ามาพวกเย่หยวนนั้นได้พบเจอกับมารกระดูกอยู่ไม่น้อยและหลายต่อหลายครั้งที่ถูกพวกมันเข้ามาล้อมไว้ โชคยังดีที่พวกเขานั้นมีเย่หยวนและซงหยูทำให้ความอันตรายใดๆ มันก็กลับกลายเป็นความปลอดภัยได้
แต่สิ่งที่พวกเขารับรู้ก็คือยิ่งเข้าไปลึก พลังฝีมือของเหล่ามารกระดูกมันก็ยิ่งเก่งกาจขึ้น
เหล่ามารกระดูกนั้นมันยากที่จะรับมือมากด้วยเพราะพลังการป้องกันที่แข็งแกร่งไม่ด้อยไปกว่ากายทองคำระดับหก
เมื่อใดก็ตามที่ถูกพวกมันล้อมไว้ แม้แต่พลังของเทพถ่องแท้ขั้นกลางเองก็คงยากที่จะเอาตัวรอดออกไป
โชคยังดีที่พลังฝีมือของเย่หยวนและพวกซงหยูนั้นเหนือล้ำกว่าผู้คนในรุ่นเดียวกันไปอย่างมาก ทำให้พวกเขาสามารถเดินทางผ่านมาได้อย่างง่ายดาย
“พี่เย่ ทำไมข้ารู้สึกราวกับว่ามันมีอะไรบางอย่างควบคุมเหล่ามารกระดูกนี้อยู่กัน?” ซงหยูถามขึ้น
เย่หยวนพยักหน้าออกมา “ขนาดซากร่างของเทพสวรรค์ยังยุ่งยากขนาดนั้น กระดูกของจักรพรรดิยิ่งจะยุ่งยากไปกันใหญ่ ข้าคิดว่าเจ้ามารกระดูกทั้งหลายนี้อาจจะอยู่ใต้การควบคุมของกระดูกจักรพรรดินั้น”
ซงหยูหน้าซีดลงทันที “มารกระดูกทั้งหลายที่เราได้เจอมานี้มันมีพลังเพียงแค่ระดับเดียวกับเทพถ่องแท้หนึ่งดาวหรือสองดาว หากเข้าไปลึกกว่านี้เราอาจจะเจอมารกระดูกที่มีพลังระดับเทพถ่องแท้ขั้นกลางก็เป็นได้!”
เย่หยวนพยักหน้ารับ “เรื่องนั้นมันคงไม่มีทางเลี่ยง มารกระดูกระดับเทพถ่องแท้ขั้นกลางนั้นเราคงต้องพบเจอแน่ๆ สิ่งที่ข้ากังวลกว่าก็คือมันจะมีมารกระดูกระดับเทพถ่องแท้ขั้นปลายหรือมารกระดูกเทพสวรรค์หรือไม่ต่างหาก หากเป็นเช่นนั้นแล้ว… มันคงยุ่งยากไม่น้อยแน่!”
เมื่อทุกผู้คนได้ยินเช่นนั้นพวกเขาต่างก็หน้าซีดลงไปตามๆ กัน
หากมีมารกระดูกระดับเทพสวรรค์แล้วพวกเขาคงไม่อาจแม้แต่จะหนีรอดออกไป
แต่เรื่องราวเช่นนี้มันก็ไม่มีใครรู้แน่ได้
เมื่อเดินอ้อมโค้งผ่านหินมาในที่สุดพื้นที่ตรงหน้าของพวกเขามันก็กลายเป็นที่โล่งกว้างขึ้น
แต่สีหน้าของพวกเย่หยวนทั้งหลายต้องเปลี่ยนไปทันที ได้แต่มองดูภาพตรงหน้าอย่างตกตะลึง
เพราะที่พื้นด้านหน้านั้นมันกลับมีกองกระดูกซ้อนทับกันเป็นภูเขาขนาดมหึมา
ที่ด้านบนยอดของภูเขากระดูกนี้มันมีกระดูกสีทองอร่ามปักตั้งอยู่
และคลื่นพลังที่พวกเย่หยวนสัมผัสได้จากกระดูกนั้นมันก็สุดแสนรุนแรงจนทำให้หัวใจสั่นรัว
“นี่มัน… มันมียอดฝีมือมากมายขนาดไหนกันที่ตายทิ้งซากร่างกระดูกไว้ที่นี่?!” ซงหยูร้องอย่างตกตะลึง
เพราะต่อให้พวกเขาทั้งหลายนั้นจะเป็นยอดคนของดินแดนตนแต่ภาพตรงหน้านี้มันก็ยังทำให้เหล่ายอดคนใดๆ ต้องสั่นสะท้านไปทั้งร่างด้วยความตื่นตะลึง
เพราะไม่ว่าอย่างไรเสียในสนามรบเทพโบราณนี้เองนักยุทธ์ที่พลังต่ำสุดก็ยังเป็นถึงนภาสวรรค์
ในหมู่กระดูกทั้งหลายนี้เองก็ไม่ทราบว่าต้องมีร่างของนักยุทธ์นภาสวรรค์หรือเทพถ่องแท้มากมายเท่าใดที่ตายลง
หรือ… จะมีร่างเทพสวรรค์อยู่ขนาดไหน!
“พวกเจ้ารออยู่ตรงนี้ ข้าจะไปดูเสียหน่อย” เย่หยวนบอก
นั่นทำให้ซงหยูต้องหันหน้ามามองทันที “ไม่! มันอันตรายเกินกว่าที่เจ้าจะไปคนเดียว เราไปด้วยกันเถอะ!”
เย่หยวนส่ายหัวออกมา “ไม่ต้องหรอก พวกเจ้าฟังคำของข้าไว้ให้ดี หากมีเรื่องใดเกิดขึ้น จงหนีไปอย่าได้ลังเล”
พูดจบเย่หยวนก็กระโดดเข้าไปยังภูเขากระดูกนั้น
สนามรบเทพโบราณนี้มันเป็นสถานที่แปลกประหลาดทำให้เย่หยวนไม่อาจใช้วิชาเคลื่อนย้ายมิติได้เลย
เพราะฉะนั้นเขาจึงไม่มีทางเลือกนอกจากต้องเดินเท้าไป
ความเร็วของเขานั้นสูงมากเพียงแค่พริบตาก็เดินเข้าไปถึงตีนเขากระดูกนี้แล้ว
เพราะตัวเย่หยวนในอาณาจักรเม็ดต้นกำเนิดนั้นสามารถเดินทางระยะนี้ได้ในเสี้ยววินาที
แต่ในเวลานั้นเองที่มันกลับเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้น!
จู่ๆ เจ้ากระดูกจักรพรรดิสีทองที่ยอดเขามันก็ส่องแสงทองอร่ามออกมา
จากนั้นมันก็เกิดเรื่องราวที่ทำให้ผู้คนต้องอกสั่นขวัญหาย
เพราะตอนนี้มันปรากฏกระดูกโครงร่างจำนวนมากผุดขึ้นมาจากพื้นดินค่อยๆ คลานขึ้นมากลายเป็นมารกระดูกอย่างมากมายในพริบตา!
และพลังของเหล่ามารกระดูกนี้มันก็เหนือล้ำอย่างมาก ที่อ่อนแอที่สุดนั้นยังมีพลังถึงนภาสวรรค์ขั้นสุด
“ไม่ดีแล้ว นี่มันกับดัก! กระดูกจักรพรรดินั้นมันกำลังล่อผู้คนเข้าไป!” ซงหยูนั้นเข้าใจเรื่องราวได้ในทันทีและร้องขึ้นด้วยใบหน้าซีดเซียว
แต่ทว่ามันก็สายเกินไปแล้ว
เพราะตอนนี้เย่หยวนถูกล้อมไว้ทุกด้านต่อให้คิดอยากหนีมันก็คงไม่มีทางจะหนีได้
ในพริบตา เย่หยวนกลับถูกมารกระดูกทั้งหลายนี้ล้อมปิดทางไว้สิ้น
เจ้าทัพมารกระดูกนี้มันแตกต่างจากเหล่าวิญญาณต่อสู้ทั้งหลายเพราะพลังของพวกมันแต่ละตนนั้นเหนือล้ำกว่าวิญญาณต่อสู้นับสิบๆ เท่า
แค่มองผ่านๆ ซงหยูก็เห็นได้ว่ามันมีมารกระดูกระดับเทพถ่องแท้ขั้นกลางอยู่ไม่น้อย
และด้วยจำนวนขนาดนี้มันย่อมทำให้ผู้คนสิ้นหวัง
“ฮ่าๆ ไม่นึกเลย! ไม่นึกเลยจริงๆ ว่าเจ้าเด็กคนนี้มันจะอาสาตัวไปเป็นด่านหน้ารับมารกระดูกทั้งหลายไว้ ข้าอยากรู้เสียจริงว่ามันจะรอดกลับออกมาได้อีกหรือไม่!”
ในเวลานั้นเองที่เกิดเสียงหัวเราะลั่นดังขึ้นมาจากด้านหลังพวกซงหยู และแน่นอนว่ามันต้องเป็นพวกซัวโม่ที่เพิ่งเข้ามาถึง
เมื่อได้เห็นว่าเย่หยวนนั้นถูกล้อมไว้ทุกด้านเช่นนั้น ตัวซัวโม่และเฟิงเสี่ยวเถียนย่อมจะตื่นเต้นดีใจอย่างมาก
…………………………