ในหมู่กองมารกระดูกนั้นแม้ว่าเย่หยวนจะตื่นตกใจกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นตรงหน้าแต่ตัวเขาก็ไม่ได้หวาดหวั่น
ด้วยพลังของธงศึกดาวฤกษ์ เขาสามารถทำลายกลุ่มมารกระดูกนั้นให้แหลกสลายกลายเป็นฝุ่นผงไปได้ง่ายๆ แม้มันจะมีพลังระดับเทพถ่องแท้สามดาวก็ไม่อาจรอดพ้น
ด้วยพลังปราณเทวะของเย่หยวนในเวลานี้การควบคุมธงศึกดาวฤกษ์ของเขานั้นมันย่อมจะแข็งแกร่งและปล่อยพลังออกมาได้รุนแรงแม้จะเป็นเทพถ่องแท้สามดาวก็คงไม่อาจต้านทานรับมือเขาได้
ตัวปัญหาที่แท้จริงนั้นคือเหล่ามารกระดูกระดับเทพถ่องแท้สี่ดาว
แต่เย่หยวนเองก็ไม่ได้กังวลมากมายเพราะด้วยพลังของสองสมบัติวิญญาณเทพสวรรค์ในมือแม้จะเป็นเทพถ่องแท้สี่ดาวเองก็คงไม่อาจเข้าใกล้เขาได้ง่ายๆ
เย่หยวนนั้นแตกต่างจากผู้คนทั่วไปด้วยปราณเทวะที่แสนบริสุทธิ์อันแน่นของเขานี้มันจึงทำให้พลังการต่อสู้ของเขานั้นรุนแรงและแข็งแกร่งอย่างมาก
และการใช้ปราณเทวะออกมาในปริมาณเท่านี้มันไม่เป็นเรื่องใหญ่โตกับตัวเขาเลย
แต่พวกซัวโม่และเฟิงเสี่ยวเถียนย่อมจะไม่คิดเช่นนั้น เมื่อได้เห็นพลังอันร้ายกาจที่เย่หยวนปล่อยออกมาด้วยธงศึกดาวฤกษ์นี้พวกเขาต่างยิ้มเย้ยขึ้นมา
“หึ ใช้พลังของสมบัติวิญญาณเทพสวรรค์ออกมามันก็พอจะช่วยยืดเวลาตายออกไปได้หรอก แต่สมบัติวิญญาณเทพสวรรค์นั้นย่อมจะกลืนกินพลังปราณเทวะอย่างมากมาย ข้าอยากรู้เสียจริงว่าเจ้าจะทนได้นานสักเท่าใด!”
ซัวโม่ยิ้มเย้ยออกมาแต่ความเจ็บแค้นในหัวใจของเขานั้นย่อมไม่อาจจะปิดบังได้
สองสมบัติวิญญาณเทพสวรรค์! เขานั้นอิจฉาจนแทบตาลุกไหม้!
“ด้วยการกลืนกินพลังในระดับนี้อย่างมากที่สุดแค่ชั่วโมงเดียวพลังปราณเทวะของมันก็ย่อมจะเหือดแห้งลงแล้ว ถึงเวลานั้นมันคงไม่อาจรอดพ้นภัยอันตรายใดๆ ไปได้” เฟิงเสี่ยวเถียนพูดขึ้นเสริม
แม้ว่าคนทั้งสองจะพูดออกมาเช่นนั้นพวกเขาเองก็ย่อมตื่นตกใจกับเรื่องราวตรงหน้าอยู่ไม่น้อยเช่นกัน
เพราะตอนนี้มันมีมารกระดูกระดับเทพถ่องแท้สี่ดาวล้อมรอบตัวเย่หยวนอยู่ราวห้าถึงหกตน แต่เย่หยวนนั้นกลับสามารถต่อสู้กลับไปได้อย่างไม่เสียเปรียบแม้แต่น้อย
พลังฝีมือในระดับนี้มันเหนือล้ำกว่าที่พวกเขาทั้งหลายจะเทียบเคียง
เพราะไม่ว่าอย่างไรเสียเย่หยวนก็ไม่ได้แค่รับมือกับมารกระดูกเทพถ่องแท้สี่ดาวทั้งห้าถึงหกตนนั้นเท่านั้น แต่เขายังต้องจัดการกับเหล่ามารกระดูกที่ล้อมรอบอยู่ในทุกทิศทุกทางไปด้วยพร้อมๆ กัน!
ที่ด้านข้างซงหยูนั้นมีใบหน้าที่เจ็บแค้นอย่างมาก
เจ้ากองทัพกระดูกนี้มันไม่มีจุดสิ้นสุด
หากเป็นตัวเขา เขาคงถูกชำแหละร่างไปนานแสนนานแล้ว
ซัวโม่มองดูซงหยูด้วยรอยยิ้มเย้ยหยัน “ซงหยู เจ้าเองก็มิใช่ว่ามีเรื่องกับเย่หยวนมันมาก่อนหรือ? ตอนนี้เห็นมันใกล้ตายแล้วเจ้าเองก็ควรจะดีใจสิ”
ซงหยูหัวเราะตอบกลับไปพร้อมกัดฟันแน่น ก่อนจะหันไปหาพวกกั๋วจิงหยาง “พวกเจ้าทั้งหลายพร้อมที่จะเข้าไปกับข้าหรือไม่?”
หูเฟยนั้นเป็นคนแรกที่ตอบกลับมาทันทีอย่างหนักแน่น “ชีวิตของข้านี้พี่เย่เป็นคนให้มา เอาคืนให้เขาไปมันจะเสียหายใดกันเล่า?”
“พี่เย่นั้นเป็นผู้มีจิตใจสูงส่ง มีหรือที่ข้าจะมองดูเขาตายไปต่อหน้าได้? ลุยกัน!” กั๋วจิงหยางตอบ
หม่าฉางเองก็พยักหน้ารับด้วยท่าทางหนักแน่น “ข้าไป”
“เอาล่ะ ตามข้ามา!”
พูดจบซงหยูก็นำหน้าพุ่งตัวเข้าใส่กองทัพมารกระดูกทันที
เมื่อพวกซัวโม่เห็นการกระทำของซงหยูและพวก พวกเขาทั้งหลายต่างตื่นตกใจกันไปตามๆ กัน
เจ้าพวกนี้มัน… บ้าไปแล้ว
เย่หยวนผู้นั้นได้ป้อนอะไรให้พวกเขาทั้งหลายนี้กินกันแน่?
ภายในมิติวิเศษนี้ใครกันบ้างที่จะไม่เห็นแก่ตัวจ้องเอาเปรียบผู้อื่น? มีหรือที่จะมีใครกล้าท้าทายชีวิตของตนเสี่ยงมันให้กับผู้อื่น?
แม้ต่างคนต่างจะเรียกกันว่าพวกพ้องแต่สุดท้ายพวกเขาก็มาพ้องกันด้วยความโลภทั้งสิ้น
เมื่อใดที่มันถึงคราวความเป็นความตายจริง พวกเขาย่อมจะทิ้งพวกพ้องใดๆ ไว้เบื้องหลังอย่างไม่คิดลังเล
เพราะพวกเขาทั้งหลายนั้นล้วนเคยทำมาแล้วสิ้น
ระหว่างทางที่เดินทางกันมาพวกเขานั้นมีจำนวนลดลงไปเรื่อยๆ หลายต่อหลายคนที่ถูกกลุ่มคนทิ้งไว้เบื้องหลังอย่างไม่คิดสนใจเหลียวแล
แต่ตอนนี้พวกซงหยูกลับพุ่งตัวเข้ากลางฝูงมารกระดูกเพื่อช่วยเย่หยวนอย่างไม่คิดสนใจชีวิตของตน
แต่สวรรค์นั้นไม่ได้ใจอ่อนนัก พวกเขาไม่ได้รู้เลยตอนที่เอาแต่นั่งดู
ตอนนี้เมื่อพวกเขาได้ลองเข้าโจมตีดูแม้แต่ซงหยู เทพถ่องแท้สี่ดาวผู้นี้ก็ยังรู้สึกได้ถึงแรงกดดันที่มหาศาลตรงหน้า
เหล่ามารกระดูกนั้นมันมีจำนวนมากเกินไป มากเกินกว่าที่จะจัดการลงได้
ดาบอาวุธใดๆ ที่ติดมือพวกมันขึ้นมานั้นพลุ่งพล่านไปทั่วทุกหนแห่ง
ต่อให้พลังของซงหยูจะแข็งแกร่งปานใดมันก็ไม่อาจจะก้าวไปข้างหน้าได้แม้แต่น้อย คนอื่นๆ ยิ่งไม่ต้องพูดถึง
คนทั้งหลายนั้นสุดท้ายก็ถูกเหล่ามารกระดูกกดดันกลับมานับร้อยๆ ก้าวจนไม่อาจพุ่งตัวเข้าไปได้อีก
เมื่อต้องเจอกับมารกระดูกระดับเทพถ่องแท้สี่ดาว ซงหยูและพวกยังต้องรับมือกับมารกระดูกตนอื่นๆ รอบกายทำให้พวกเขาไม่มีทางเลือกนอกจากต้องเดินถอยหลังกลับมาเรื่อยๆ
จนสุดท้ายพวกซงหยูก็ถูกดันกลับออกมานอกวงการต่อสู้
เหล่ามารกระดูกทั้งหลายเองก็ไม่ได้ติดตามไล่ออกมา เมื่อออกมาถึงระยะหนึ่งแล้วพวกมันก็จะหันหน้ากลับไปรุมโจมตีเย่หยวนต่อ
นั่นทำให้ใบหน้าของพวกซงหยูทั้งหลายบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บแค้น เป็นเวลานี้เองที่พวกเขาทั้งหลายได้รู้ถึงพลังที่แท้จริงที่เย่หยวนแสดงออกมา!
เขานั้นสามารถจัดการกับมารกระดูกทั้งหลายนี้ได้ด้วยตัวคนเดียว
ซัวโม่และพวกเองก็มองภาพตรงหน้าอย่างตื่นตระหนก เพราะไม่ว่าอย่างไรเสียมันเป็นตัวอย่างที่แสนชัดเจน
เขานั้นเคยต่อสู้กับซงหยูมาก่อนและย่อมจะรู้ว่าซงหยูนั้นมีพลังฝีมือที่ไม่ได้ด้อยไปกว่าตัวเขานัก
หากคนที่พุ่งเข้าไปเป็นตัวเขา ตัวเขาเองก็คงไม่อาจทำอะไรไปได้มากกว่าซงหยูนัก
แต่เย่หยวนคนนั้นกลับสามารถยืนยงอยู่ภายในการปิดล้อมของมารกระดูกทั้งหลายนี้ได้ ไม่ว่าจะอย่างไรพวกเขาก็ต้องยอมรับในพลังฝีมือนั้น
แต่พวกซงหยูทั้งหลายเองก็ไม่ได้คิดยอมแพ้ง่ายๆ ยังคงพยายามพุ่งตัวกลับเข้าไปหลายต่อหลายครั้งแต่สุดท้ายก็ต้องล่าถอยออกมาทุกครั้งไป
ตอนนี้บนร่างกายของคนทั้งหลายนั้นเริ่มปรากฏแผลที่เด่นชัดขึ้นมาด้วยแล้ว
ในพริบตาเวลากว่าชั่วโมงก็ได้ผ่านไป และเวลาที่ผ่านไปนี้มันได้ทำให้ใบหน้าของซัวโม่และเฟิงเสี่ยวเถียนซีดเซียวลงอย่างมาก
เพราะพวกเขานั้นคิดรอดูความโชคร้ายของผู้คน รอเวลาที่ปราณเทวะของเย่หยวนจะเหือดแห้งลง
แต่จนถึงเวลานี้เย่หยวนยังไม่ได้แสดงท่าทีว่าพลังปราณเทวะของเขาจะหมดลงเลยแม้แต่น้อย
ในเวลาหนึ่งชั่วโมงนี้เย่หยวนได้ขยับตัวกลับออกมาไกลนับพันก้าวจนแทบจะออกจากขอบวงของการปิดล้อมได้แล้ว
“ไอ้เจ้าหมอนี่มันยังเป็นคนหรือไม่? ใช้พลังปราณไปตั้งมากมายขนาดนั้นแต่มันกลับไม่แสดงท่าทีเหนือยากใดๆ เลย!” ซัวโม่ร้องขึ้นอย่างไม่อยากเชื่อสายตา
เฟิงเสี่ยวเถียนเองก็มีใบหน้าที่เหยเกไม่แพ้กัน “เจ้าเด็กนี่มันมีวรยุทธ์บ่มเพาะประเภทใดกัน? หรือจะเป็นทายาทจักรพรรดิเทพสวรรค์? แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นมันก็คงไม่อาจทำได้ถึงขนาดนี้หรอกใช่หรือไม่?”
พวกเขาทั้งหลายนั้นไม่อาจเข้าใจได้ว่าเย่หยวนเก็บปราณเทวะไว้ในร่างมากมายเพียงใด หรือว่าปราณเทวะในร่างของเขานี้มันจะมีใช้อย่างไม่มีทางหมดไป?
ซงหยูและพวกนั้นเลิกคิดที่จะพุ่งตัวเข้าไปแล้วแต่พวกเขาก็ได้พบถึงความแปลกประหลาดของเย่หยวนนี้และแสดงสีหน้าท่าทางตื่นเต้นดีใจออกมา
“ฮ่าๆ! ไหนพวกเจ้าว่าเย่หยวนจะตายแน่แล้วไงเล่า? เบิกตาสุนัขของเจ้ามองดูสิ เขาตายหรือยัง?” ซงหยูหัวเราะลั่น
ซัวโม่ที่ได้ยินจึงหันมาตะโกนด้วยใบหน้าที่แดงก่ำ “มันไม่ตาย แต่ว่าเจ้าเองก็จะไม่ตายหรือ? พี่เฟิง มาร่วมมือกันกำจัดมันเหล่านี้ทิ้งกันก่อนเจ้าว่าอย่างไร?”
การรอดชีวิตของเย่หยวนนี้เดิมทีมันก็ทำให้เฟิงเสี่ยวเถียนอารมณ์ไม่ดีมากอยู่แล้ว เขาจึงตอบรับทันที “ข้าเองก็กำลังจะพูดเช่นนั้นอยู่เลย”
เพราะทั้งสองนั้นคิดที่จะลงมือมาตั้งแต่แรกเจอกันแล้ว
แต่พวกเขานั้นคิดแค่ว่าจะดูชมความฉิบหายที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติก่อนจึงไม่ได้คิดลงมือใดๆ
ตอนนี้เมื่อซงหยูพูดจาเช่นนี้ขึ้นมามันจึงทำให้พวกเขาหมดความอดทน
คนทั้งสองนั้นย่อมไม่คิดจะพูดใดๆ อีกและเริ่มเข้าปะทะกับซงหยูทันที
คนทั้งหลายนี้ได้ก่อเรื่องราวว่าดูถูกพวกเขามานาน ซงหยูเองก็ไม่พอใจมาตั้งแต่เริ่มจึงยกดาบขึ้นปะทะกับคนทั้งสองด้วยตัวคนเดียว
แต่ซงหยูนั้นมิใช่เย่หยวน การต่อสู้แบบสองต่อหนึ่งนั้นมันเกินกว่าที่เขาจะทำได้
ซัวโม่และเฟิงเสี่ยวเถียนนั้นก็มิใช่ธรรมดา พวกเขาเองก็เป็นหนึ่งในยอดอัจฉริยะเช่นกัน
พวกกั๋วจิงหยางที่เหลือนั้นแม้ว่าจะมีจำนวนไม่มากแต่กำลังของพวกเขาเองก็ไม่ได้พ่ายแพ้ต่อกลุ่มของอีกฝ่ายเลย
เมื่อทั้งสองฝ่ายเหลือจะทนกันเต็มที่พวกเขาจึงเริ่มการปะทะขึ้นอย่างดุดัน
เย่หยวนนั้นรู้สึกได้ในทันทีก่อนจะเห็นว่าพวกซงหยูนั้นกำลังถูกล้อมโจมตีอยู่ทำให้จิตใจของเขากังวลอย่างมาก
แต่เหล่ามารกระดูกทั้งหลายนี้มันก็มีจำนวนมากเสียเหลือเกิน เขาไม่อาจจะใช้เวลาสั้นๆ ทะลวงกลับออกไปได้เลย
ซงหยูนั้นเข้าปะทะแบบสองต่อหนึ่งและยิ่งเหนื่อยหนักเข้าทุกทีทำให้ภัยอันตรายที่พวกเขาได้รับยิ่งมากมายขึ้น
“ซงหยู ไม่ว่าจะอย่างไรเจ้าเองก็เป็นเทพถ่องแท้สี่ดาว เจ้ากลับยอมที่จะกลายเป็นสุนัขรับใช้เย่หยวน!” ซัวโม่หัวเราะเย้ย
“สุนัขแม่เจ้าสิ! เราและเย่หยวนนั้นคือสหาย! คนอย่างพวกเจ้าไม่มีทางจะเข้าใจเราได้หรอก!” ซงหยูร้องตะโกนกลับไป
“สหาย? หึๆ เช่นนั้นก็จงสละชีวิตให้เย่หยวนไปเถิด! พี่เฟิง เจ้ามาถ่วงมันไว้หน่อย ข้าจะไปจัดการพวกที่เหลือ ให้เจ้านี่มันได้รับรู้ถึงมิตรภาพที่แท้จริง!”
พูดจบคลื่นพลังจากกายของซัวโม่ก็พุ่งทะยานทำให้คนทั้งหลายหน้าถอดสีไปทันที